Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ความเจริญ

พฤหัสฯ. 28 พ.ย. 2024 11:19 am

#เมื่อไม่มีรูปร่างกายแล้วจะเอาอะไรไปใช้กรรม

เห็นไหมหลวงปู่นั้น หลวงปู่นี้ เดี๋ยวก็เจ็บโน่นเจ็บนี่เข้าโรงพยาบาล แท้ที่จริงจิตท่านหลุดแล้ว แต่ร่างกายมันเป็นของที่รองรับกรรมทั้งหลาย

อาตมาจึงไปถามหลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ อาตมาก็ศึกษา "หลวงปู่ เวลาหลวงปู่จะหนีเข้านิพพาน กรรมมันว่ากันยังไง ?" โอ้ยมันรุมกัน มากันไม่รู้ทางใต้ ทางเหนือ มาทุกรูปแบบ จะมารบกวน ก็จะหนีแล้วนี่ ใครก็อยากใช้ เหมือนญาติโยมเป็นหนี้เขาซัก ๑๐ คน พอขายที่บ้านในกรุงเทพฯได้หลายล้าน ให้เจ้าของนี่ มีแต่คนจะมาเอา รุมเลย

เค้าก็อยากมาเอาค่าหนี้ที่เราติดเค้า ก็เหมือนกับพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านจะเข้านิพพาน ก็เคยคิดนะบางที ว่า เออ..กรรมอะไรที่มันมีอยู่ มาใช้ให้หมดตอนนี้ซะดีกว่า ไข้เลยนะ ไม่ถึง ๓ วัน เอาเลย..มาจริงๆ นะ เลยไม่พูดเลยทุกวันนี้...

#หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป








"..การดูกิเลสและแสวงธรรม ท่านทั้งหลายอย่ามองข้ามใจซึ่งเป็นที่อยู่ของกิเลสและเป็นที่สถิตอยู่แห่งธรรมทั้งหลาย กิเลสก็ดี ธรรมก็ดี มิได้อยู่กับกาลสถานที่ใดๆ ทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ใจ คือเกิดขึ้นที่ใจ เจริญขึ้นที่ใจ และดับลงที่ใจดวงรู้ๆ นี้เท่านั้น การแก้กิเลสที่อื่นและแสวงธรรมที่อื่นแม้จนวันตายก็ไม่พบสิ่งดังกล่าว ตายแล้วเกิดเล่าก็จะพบแต่กิเลสที่เกิดจากใจซึ่งกำลังเสวยทุกข์เพราะมันนี้เท่านั้น แม้ธรรมถ้าแสวงหาที่ใจก็จะมีวันพบโดยลำดับของความพยายาม สถานที่ กาลเวลานั้นเป็นเพียงเครื่องส่งเสริมและเครื่องกดถ่วงกิเลสและธรรมให้เจริญขึ้นและเสื่อมไปเท่านั้น เช่น รูปเสียงเป็นต้น เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสที่มีอยู่ในใจให้เจริญยิ่งขึ้น.."

ภูริทตฺโตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือชีวประวัติของหลวงปู่ขาว อนาลโย






#ให้อโหสิกรรมเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตกันอยู่

"... กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดขึ้นที่ใจของตนเอง มิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง

... คล้ายๆ กับว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้บัญชาการอยู่ ทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรผู้บัญชาการเพื่อให้เป็นสินน้ำใจ แล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะลดหย่อนผ่อนผันให้อย่างนี้เป็นต้น หรือกรรมเวรที่เราทำแก่คนอื่นนั้น คนนั้นเองเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราเห็นโทษความผิดแล้วทำบุญอุทิศไปให้แก่เขาเพื่อเขาจะลดโทษผ่อนผันให้ อันนี้ไม่ถูก เพราะเขาตายไปแล้ว ไม่ทราบไปเกิดในที่ใด และกำเนิดภูมิใด

... คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้ว เมื่อยังเป็นคนอยู่นี้ จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกัน ในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละ ตายไปแล้วจะอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไม่ได้เด็ดขาด

... มิใช่ว่าเราได้ทำกรรมชั่วทุจริตด้วยจิตที่
เป็นบาปมีอกุศลมูลเป็นพื้น มาภายหลัง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือเท่าไรก็ตาม ระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วกลัวบาป จึงทำบุญอุทิศไปให้แก่ผู้ที่เราได้กระทำแก่เขานั้น เพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้ ดังนี้ไม่เป็นการยุติธรรม เป็นการตัดสินคดีภายหลังจากเหตุการณ์ ถ้าถือว่าเราระลึกถึงความชั่วของตนแล้วทำความดีเพื่อแก้ตัวหรือปลอบใจของตัวเอง เป็นการสมควรแท้

... การทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วจะได้หรือไม่ มีอรรถาธิบายกว้างขวางมาก ..."
--------------------
#ธรรมโอวาท
#พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)​ วัดหินหมากเป้ง
จังหวัดหนองคาย (พ.ศ.๒๔๔๕-๒๕๓๗)







#กายนี้เป็นก้อนทุกข์ก้อนธรรมทั้งหมด : หลวงปู่ขาว อนาลโย

ในเรื่องการนั่งสมาธิภาวนา หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ท่านแนะนำไว้ดังนี้

"...วิธีการนั่งก็ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้ตั้งมั่นเฉพาะหน้า ไม่ส่งจิตไปในอดีตอันผ่านมาแล้วให้หวนกลับมาในจิตอีก ไม่ส่งจิตไปในอนาคตอันยังมาไม่ถึง หรือสร้างวิมานสวยหรูของอนาคตขึ้นในจิตใจ ให้กำหนดในปัจจุบัน ว่าเรากำลังนั่งสมาธิ น้อมเอาคุณพระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจ น้อมเอาคุณพระสงฆเจ้าเข้ามาไว้ที่ใจ

ตั้งจิตไว้ที่จิต ตั้งใจไว้ที่ใจ โดยใช้ตัวสติเป็นตัวบังคับให้นิ่งอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ อารมณ์เดียว จนกว่าจิตจะลงรวมแล้วก็พักผ่อนอยู่ในความสงบอันนั้น เมื่อครั้งจิตถอนออกมา ให้ใช้ปัญญาค้นคว้าในกายนี้ลงสู่ ไตรลักษณ์ จนเห็นแจ้งประจักษ์ในไตรภพ ลงสู่ไตรลักษณ์อันเดียว

ผลงานค้นคว้า คือ จิตของเราจะรู้สึกสลดสังเวชเป็นเหตุให้เกิด นิพพิทาญาณ การเบื่อหน่ายในชาติ - ความเกิด ชรา - ความแก่ พยาธิ - ความเจ็บไข้ได้ป่วย มรณะ - ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลาย เห็นโทษของ สมุทัย ใจ ตัณหา พาเราเกิดตายอยู่บ่อยๆ ความเกิดทั้งหลายเป็นทุกข์หลาย หาความสุขไม่มี

มีแต่ทุกข์เกิดแล้ว ตั้งอยู่ ดับไป ตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีเกิดเป็นเบื้องต้น กลางก็เปลี่ยนแปลง ท้ายสุดก็นอนทับพื้นปฐพี ให้ปลวกมากินตา ให้หมากินไส้ ถ้าไม่ฝังเอาไว้ ฝูงแร้งฝูงกาก็เป็นลาภของมัน
อาหาระลาภะปัจจะโย สัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ด้วยอาหาร อาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญของสัตว์ พิจารณาดูว่า สรรพสัตว์ที่เกิดมาแล้วต้องหากินอยู่ ค่ำไม่ได้กิน คืนไม่ได้นอน ตากแดดตากฝนทนทุกข์ทรมาน อาหาระปริเยสิทุกขัง ทุกข์เพราะต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อันเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง เพราะฉะนั้นทุกคยต้องระวังปากระวังท้อง

ถ้าจะพูดกันจริงๆ ละก็ บอกว่า ถ้าข้าวไม่ตกถึงท้องอย่ามายุ่งนะ ผัวเมียเกิดศึกหิวข้าวก็ตอนนี้ ลูกฆ่าแม่ก็เรื่องนี้ เรื่องปากมันหิว เรื่องท้องมันอยาก ถึงจะมีอาหารการกินดีแสนดีอย่างไรก็ตาม ก็ไม่พ้นเรื่องทุกข์ แต่ก็พากันหลงระเริงสำคัญว่า มันมีความสุข

ถ้ามาพูดความจริงของสภาวธรรมแล้ว กายนี้เป็นก้อนทุกข์ก้อนธรรมทั้งหมด ตั้งแต่หัวจรดเท้า หาช่องสุขในระหว่างกลางมิได้เลยแม้แต่น้อยนิด จึงเรียกว่า กองทุกข์ คือ ทุกข์ทั้ืงหลายมันมากองอยู่ในขันธ์ 5 จึงสามารถแยกทุกข์ออกเป็นกองๆ แล้วได้ถึง 5 กอง กองหนึ่งรวมอยู่ที่รูป กองสองอยู่ที่เวทนา กองสามอยู่ที่สัญญา กองที่สี่อยู่ที่สังขาร กองสุดท้ายกองห้าอยู่ที่วิญญาณ...ฯลฯ "

#คัดลอกจากหนังสือหลวงปู่ขาว อนาลโย โครงการหนังสือบูรพาจารย์








"..จงพากันรีบชำระแก้ไขให้พอเห็นช่องทางเดินของจิตเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครเพียร ใครอาจหาญ ใครอดทนในการต่อสู้กับกิเลสตัวฝืนธรรมอยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นจะเจอร่มเงาแห่งความสงบเย็นใจในโลกนี้ ในบัดนี้และในใจดวงนี้ ไม่เนิ่นนานเหมือนการท่องเที่ยวที่เจือไปด้วยสุขด้วยทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันจบสิ้นลงได้นี้ ธรรมทุกบททุกบาทที่ศาสนาสอนไว้ ล้วนเป็นธรรมรื้อขนสัตว์ผู้เชื่อฟังพระองค์ให้พ้นทุกข์ไปโดยลำดับ จนถึงขั้นธรรมที่ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายนี้อีกต่อไป.."

ภูริทตฺตธมฺมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






ไถ่ถอนตัวเอง

เมื่อเราเห็นความจริง เราก็ยอมรับความจริง เราก็เห็นเหตุที่ทุกข์เกิดขึ้นมา ตรงไหนที่ทุกข์เกิดเราก็ไม่ไปทำมัน ไม่ไปพูดมัน ปฏิบัติให้มันถูกขึ้นมา ทุกข์มันก็ไม่เกิด ฉันใดก็ฉันนั้น

คนไปทำความผิดมาบ่อย ๆ เพราะไม่รู้จักความผิด ไม่รู้จักไฟ ถ้ารู้จักไฟ ใครจะไปจับมันไหม ใครไปจับมันก็ร้อนกันทุกคนนั่นแหละ ถ้ามันรู้จักเช่นนั้นก็ไม่มีใครจะไปจับไฟหรอก

"จิตนี้มันร้อนยิ่งกว่าไฟอีกนะ แต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันร้อน... ก็ว่าไม่เป็นไร คือไม่รู้ว่า ไอ้ความไม่ถูกต้องน่ะคือมันร้อน"

ฉะนั้นมนุษย์ทั้งหลายจึงฝืนทำ บางทีเอาทั้งรู้ ๆ อย่างนั้นแหละ มันเป็นขี้ข้าตัณหา มันเป็นทาส พวกเราทั้งหลายถ้าไม่รู้ธรรมะก็เป็นทาสตัณหาเท่านั้นแหละ

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)







" ภาวนาต้องให้ถึงความสงบ ต้องให้ถึงอัปปนานะ มันจะมีกำลัง ลงให้ได้บ่อยๆ จนชำนาญ ไม่ถึงอัปปนา ไม่ได้กินหรอก สู้กิเลสไม่ไหว สงบแล้วมันจะมีกำลัง จะขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะเป็นไปเอง บางทีภาวนาไปมันเหมือนมีมด มียุงมากัดนะ จะพาเราออกจากสมาธิ พอลืมตามาก็ไม่มี อย่าไปเชื่อ ปล่อยเลย มันหลอก นั่งไปแป๊บเดียวจะให้เราออก 2,3 ชั่วโมงก็ยังไม่พอ นั่งไปทั้งคืน

เอาพุทโธตลอดนะ อย่าทิ้งพุทโธ ทำจริงๆนะ อย่าทำเล่น ถึงตรงสงบ ไม่มีอะไรถึงใจได้เลย เข้าไม่ถึงไม่มีอะไรเกิด พาทุกข์ได้ มันล้างกันตรงนี้ ตอนนี้ทุกข์นี่แหละพาเรามาเกิด เอาตามที่บอกนะ "
.
--- โอวาทธรรม หลวงปู่เนตร จิรปุญโญ
วัดมหาธาตุแหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่







#คนเราเกิดมาทุกรูปทุกนาม..!!

"... รูปสังขารเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้ว
ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่า
พระราชามหากษัตริย์ พระยานาหมื่น คน
มั่งมีเศรษฐีและยาจก ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

... มีทางพอจะหลุดพ้นทุกข์ได้..!? คือ.. ทำ
ความเพียร เจริญภาวนา อย่าสิมัวเมาในรูป
ร่างสังขารของตน มัจจุราชมันบ่ไว้หน้าผู้ใด ก่อนจะดับไป ควรจะสร้างความดีเอาไว้ ...”
_______________________
โอวาทธรรม ::/.......
#หลวงปู่พรหม_จิรปุญฺโญ
วัดป่าประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี (พ.ศ. ๒๔๓๑ – ๒๕๑๒)








"..เมื่อเราทราบอยู่แก่ใจว่า ธรรมเป็นธรรม และเป็นเครื่องนำความเจริญมาสู่ตน และทราบอยู่ว่าโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณเผาอยู่ในดวงใจ เหมือนไฟลุกโพลงอยู่ด้วยเชื้อ คอยแต่จะสังหารทำลายสิ่งต่าง ๆ ให้ย่อยยับดับสูญลงไปทุกเวลานาทีเช่นนี้ จึงควรเร่งบำเพ็ญตนให้พ้นภัยไปเฉพาะหน้า ซึ่งยังควรแก่วิสัยพอจะทำได้ หากกาลอันควรผ่านไปแล้วจะเสียใจภายหลัง เพราะโลกนี้คือโลกอนิจฺจํ และตั้งอยู่บนร่างกายและจิตใจของคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาม
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








"..สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟก็ทำให้ฉิบหายได้ จริงๆข้อนี้ขึ้นอยุ่กับความฉลาดและความโง่เขลา ของผู้แสวงหาแต่ละราย ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา จะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังคนตายอย่างนั้นหรือจึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนกลัวแต่จะไม่ได้เพลิดไม่ได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญไปเดี๋ยวนี้ จึงรีบพากันตักตวงเอาความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สัตว์เขามีได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตามาทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่เตรียมทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
ตอบกระทู้