พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พฤหัสฯ. 05 ธ.ค. 2024 5:19 am
"..จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน.."
ภูริธมฺทตฺตโวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
กาย เวทนา จิต ธรรม...น่ะ อันนี้มันของอย่างเดียวกัน รู้อันหนึ่งก็เหมือนรู้หมด เหมือนเรารู้คนคนหนึ่ง ก็รู้หมดทุกคนในโลก
ถาม : ในมหาสติปัฏฐานบอกว่า ทางนี้เป็นทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์ ก็มีต้องพิจารณา "กาย เวทนา จิต ธรรม" ผู้ที่จะพ้นทุกข์จะต้องพิจารณาทั้ง ๔ อย่างทั้งหมดหรือเปล่าครับ
ตอบ : กาย เวทนา จิต ธรรม...น่ะ อันนี้มันของอย่างเดียวกัน รู้อันหนึ่งก็เหมือนรู้หมด เหมือนเรารู้คนคนหนึ่ง ก็รู้หมดทุกคนในโลก เหมือนเรารู้จักลิงตัวหนึ่ง ลิงตัวอื่นนอกนั้นเหมือนลิงตัวนี้เหมือนกัน นี่จะพูดกันง่ายๆ หลักใหญ่ของสติปัฏฐานมันเป็นอย่างนี้ อันนั้นมันเป็นลักษณะของมัน เมื่อรู้กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรม มันเป็นสักว่าทั้งนั้นแหละ ทั้ง ๔ นั่นน่ะ...มันก็พอแล้วนะ ถึงแม้ว่ามันจะรู้อันเดียวมันก็ได้
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
#คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่ง "..บางคนก็ไม่รู้เรื่องกิเลส ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อละกิเลส แต่บางคนไม่ละ ปล่อยไปตามเรื่อง ในที่สุดจึงกลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งไม่รู้จักตนเอง ที่พึ่งอื่นก็ไม่มี ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะมีแต่กิเลสเข้าครอบงำ จึงกลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งจนตลอดชีวิต บางคนคิดจะพึ่งพระเจ้าบนฟ้า ได้แต่รอให้พระเจ้ามาช่วย ความจริงตัวเองก็ช่วยตัวเองได้ แต่ไม่รู้จักช่วย ไปรอให้ผู้อื่นมาช่วย จึงต้องตายเปล่า.."
อ้างอิงหนังสือ : อุปลมณี
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑–๒๕๓๕)
"..บาปมีบุญมีประจำโลก ใครจะมาลบล้างธรรมทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ากรรมอยู่ใต้อำนาจของผู้หนึ่งผู้ใดได้แล้ว ผู้มีอำนาจนั้นจะต้องลบล้างกรรมเหล่านี้ให้สูญไปจากโลกนานแล้ว ไม่สามารถยังเหลือมาถึงพวกเราเลย เท่าที่กรรมดี-ชั่วยังมีอยู่ ก็เพราะกรรมมิได้ขึ้นอยู่กับผู้ใดโดยเฉพาะ แต่ขึ้นอยู่กับผู้ทำกรรมนั้นๆ เท่านั้น.."
ที่มาหนังสือ : ปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"..การบวชเป็นพระตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นการทรมานใจ ทรมานสันดานของคนมีกิเลสที่ชอบในสิ่งที่หลักศาสนาไม่ชอบ แต่กลับไม่ชอบในสิ่งที่หลักศาสนาสั่งสอนให้ชอบได้เป็นอย่างดี ความลำบากเพราะการฝืนกิเลสอาตมาก็ทราบ แต่ก็จำต้องเข้ามาบวชเพื่อทรมานหัวใจตัวเอง การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทราบว่าลำบากทุกระยะที่ฝืนทรมาน แต่ก็จำต้องทรมานเพราะอยากดี และอยากหลุดพ้นจากกรรมอันลามก คือกิเลสตัวไม่ยอมลงรอยเหตุผลและอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า แม้การมาพักบำเพ็ญประพฤติตัวเป็นคนเหลือเดน ไม่คิดคุณค่าในชีวิตอยู่ในถ้ำเวลานี้ เพราะกลัวบาปกลัวกรรมนั่นแล มิใช่กลัวอะไรที่ไหน.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
#ทางพ้นทุกข์
การสำเร็จมรรคสำเร็จผล ไม่ได้สำเร็จที่อื่นที่ไกล สำเร็จที่ดวงใจของเรา
ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านวางไว้ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ท่านก็ไม่ได้วางไว้ที่อื่น วางที่กาย ที่ใจของเรานี้เอง นี่เรียกว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรมวินัย
ความที่พ้นทุกข์ ก็จะพ้นจากที่ไหนเล่า คือ "ใจเราไม่ทุกข์" แปลว่า "พ้นทุกข์" เพราะฉะนั้น ได้ยินแล้วให้พากันน้อมเข้าภายใน
ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมไว้ในจิตดวงเดียว
"เอ กํ จิตฺตํ" ให้จิตเป็นของเดิม
"จิตฺตํ" ความเป็นอยู่ ถ้าเราน้อมเข้าถึงจิตแล้ว ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ถ้าเราไม่รวมแล้ว มันก็ไม่สำเร็จ ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องรวมถึงจะเสร็จ ถ้าไม่รวมเมื่อไรก็ ไม่สำเร็จ
"เอกํ ธมฺมํ" มีธรรมดวงเดียว
เวลานี้เราทั้งหลายขยายออกไปแล้วก็กว้างขวางพิสดารมากมาย ถ้าวิตถารนัยก็พรรณนาไปถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ รวมเข้ามาแล้ว สังเขปนัยแล้ว มีธรรมอันเดียว
"เอ กํ ธมฺมํ" เป็นธรรม อันเดียว
"เอกํ จิ ตฺตํ" มีจิตดวงเดียว
นี่ เป็นของเดิมให้พากันให้พึงรู้พึงเข้าใจต่อไป
นี่แหละต่อไปพากันให้รวมเข้ามาได้ ถ้าเราไม่รวมนี่ไม่ได้ เมื่อใด จิตเราไม่รวมได้เมื่อใด มันก็ไม่สำเร็จ
นี่แหละให้พากันพิจารณาอันนี้ จึงได้เห็นเป็นธรรม เมื่อเอาหนังออกแล้วก็เอาเนื้อออกดู เอาเนื้อออกดูแล้ว ก็เอากระดูกออกดู เอาทั้งหมดออก
ดู ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ตับไตออกมาดู มันเป็นยังไง มันเป็นคนหรือเป็นยังไง ทำไมเรา ต้องไปหลง เออนี่แหละ พิจารณาให้มันเห็นอย่างนี้แหละ
มันจะละ "สักกายทิฐิ" แน่ มันจะละ "วิจิกิจฉา" ความสงสัย จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันเลยไม่มีสีลพัตฯ ความลูบคลำ มันก็ไม่ลูบคลำ อ้อจริงอย่างนี้ เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้ว จิตมันก็ว่าง
เมื่อรู้จักแล้วก็ตัด นี่มันจะได้เป็นวิปัสสนาเกิดขึ้น
อันนี้เรามีสมาธิแน่นหนาแล้ว ทุกขเวทนาเหล่านั้น มันก็เข้าไม่ถึงจิตของเรา เพราะเราปล่อยแล้ว เราวางแล้ว เราละแล้ว
ในภพทั้งสามนี้ เป็นทุกข์อยู่ เรื่องสมมติทั้งหลาย จิตนั้นก็ละ ละภพทั้งสาม มันก็เป็น "วิมุตติ" หลุดพ้นไปหมด
นี่ละเป็น "วิมุตติ" แปลว่า หลุดพ้นจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ จิตนั้นจะได้เข้าสู่ปรินิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสารไม่ต้องสงสัยแน่
เวียนว่ายตายเกิดในโลกอันนี้ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ วัฏสงสาร ทำไมจึงว่า "วัฏ" คือ เครื่องหมุนเวียน "สงสาร" คือ ความสงสัยในรูป เฮอ.. ในสิ่งที่ทั้งหลายทั้งหมด มันเลยไม่ละวิจิกิจฉาได้ซี
เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วไม่ต้องวนเวียนอีก เกิดแล้วก็รู้แล้วว่ามันทุกข์ ชราก็รู้แล้วมันทุกข์ พยาธิก็รู้ แล้วว่ามันทุกข์ มรณะก็รู้แล้วมันทุกข์
เมื่อเราทุกข์เหล่านี้ ก็ทุกข์เพราะความเกิดเราก็หยุด ผู้นี้ไม่เกิดแล้วใครจะเกิดอีกเรา
ผู้นี้ไม่เกิดแล้ว ผู้นี้ก็ไม่แก่ไม่ตาย ผู้นี้ไม่ตายแล้วอะไรจะมาเกิด มันไม่เกิดจะเอาอะไรมาตาย
ดูซิ ใจความคิดของเรา เดี๋ยวนี้เราเกิด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตายอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นทุกข์ไม่แล้วสักที.
#พระธรรมคำสอน
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
#ที่มาของบทความ : คัดมาจากหนังสือรวมคำสอนจากพระป่า จากหนังสือรวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม 1
"เมื่ออะไรเกิดขึ้นในชีวิต
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่คนอื่นทำให้
อย่าคิดว่าเป็นโชคชะตาราศี
อย่าคิดว่าดวงดี ดวงไม่ดี
อย่าคิดว่าอะไรๆ มาทำให้เป็น
แต่จงคิดให้ถูกต้องว่า
ฉันเองนี่แหละ เป็นผู้ทำสิ่งนั้น"
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.