Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ธรรมของมนุษย์

เสาร์ 07 ธ.ค. 2024 5:05 am

..,กลัวมากจนไม่กล้าคิดถึงมัน
พอคิดถึงความตายแล้วใจมันสั่นไปหมด
ความสุขหายไปหมด

.กิเลสพยายามต่อต้าน
ไม่ให้เราคิดถึงเรื่องนี้ ให้ลืมๆไป
เพื่อจะได้หลงไปกับ
การหาความสนุกสนานเฮฮาไปเรื่อยๆ

.ใจจึงไม่พร้อมที่จะรับความตาย
เวลาความตายมากระทบกับใจ
จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างมาก

.แต่ถ้าสอนใจอยู่เรื่อยๆว่า
ร่างกายนี้จะต้องไปแน่ๆ
เราก็ซ้อมเอาไว้

.มันจะไปแบบไหน จะตกเครื่องบินตาย
หรือจะถูกรถชนตาย จะจมน้ำตาย
จะถูกยิงตาย ถูกฟันตาย เป็นโรคตายไป
ก็ซ้อมคิดไปเรื่อยๆ

.ทดลองว่าจะตายแบบไหนดี
วันนี้ลองตายแบบนี้ พรุ่งนี้ตายแบบนั้นดู
คิดไปเรื่อยๆให้มันชิน
แล้วก็ยอมรับกับความตายแบบต่างๆ

.พอถึงเวลาที่มันเกิดขึ้น เราก็จะไม่ทุกข์
เหมือนกับซ้อมเล่นละคร ซ้อมบทนี้ไว้แล้ว
พอถึงเวลาจะต้องเล่นบทนี้ก็เล่นไป

.เพราะผู้เล่นคือใจ ไม่ได้ตาย
ผู้ที่ตายคือร่างกาย ไม่รู้เรื่อง
แต่ผู้เล่นวุ่นวายไปเอง
เพราะไม่รู้ว่าเป็นการเล่นละคร.

…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๑๓ กัณฑ์ที่ ๓๘๑
วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๑






#บ้านที่แท้จริง "บ้านที่แท้จริง" หลวงปู่ชา สุภัทโท
บ้านที่แท้จริง
ตึกรามบ้านช่องทั้งหลายก็สร้างขึ้นมาได้ อย่างบ้านคุณหมออุทัยนี่อาตมาก็เคยไปขึ้นบ้านใหม่ให้ สร้างขึ้นจะสวยใหญ่โตก็ได้ สร้างนั้นมันสร้างบ้านข้างนอกใครๆก็สร้างกันได้ทั้งนั้น แต่ว่าพระพุทธองค์ท่านเรียกว่าบ้านข้างนอก ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง มันเป็นบ้านโดยสมมติบ้านอยู่ในโลก มันก็เป็นไปตามโลก บางคนก็ลืมนะ ได้บ้านใหญ่โตสนุกสุขสำราญ ลืมบ้านจริงๆของเขา บ้านที่จริงของเราอยู่ที่ไหน บ้านที่จริงของเราคือที่ว่ามีความ รู้สึกที่มันสงบ คือความสงบนั่นแหละเป็นบ้านจริงๆของเรา บ้านที่เราอยู่นี้ หรือบ้านที่ไหนก็ตามทีเถอะ บ้านก็สวยหรอก แต่อยู่กันไม่ค่อยสงบ เดี๋ยวก็เพราะอันโน้น เดี๋ยวก็เพราะอันนี้ เดี๋ยวก็ห่วงอันนั้น เดี๋ยวก็ห่วงอันนี้อยู่อย่างนี้แหละ เรียกว่าไม่ใช่บ้านเรา ไม่ใช่บ้านข้างใน มันเป็นบ้านข้างนอก อีกประเดี๋ยววันใดวันหนึ่งเราก็เลิกมันเท่านั้นแหละ บ้านนี้เราอยู่ไม่ได้หรอก มันเป็นบ้านของโลก ไม่ใช่บ้านของเรา

สกลร่างกายของเรานี้ ก็ยังเห็นว่าเป็นตัว เป็นตนเป็นเรา เป็นเขาอีก อันนี้ก็เป็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งติดอยู่กับตัวของเราที่เราเข้าใจว่าตัวเราหรือของเรานี้ อันนี้ก็ไม่ใชอีก อันนี้ก็เป็นบ้านของโลก ไม่ใช่บ้านของเราอย่างแท้จริงแต่คนก็ชอบแต่จะสร้างบ้านข้างนอก ไม่ชอบสร้างบ้านข้างใน บ้านที่มันสำหรับอยู่จริงๆ ที่มันสงบจริงๆ ไม่ค่อยจะสร้างกัน ไปสร้างแต่ข้างนอกก็เพราะมันเป็นอย่างนี้แหละ

อย่างคุณยายนี่ ก็ลองคิดดูซิ เวลานี้มันเป็นอย่างไรนะ คิดดูตั้งแต่วันที่เราเกิดมาเรื่อยๆ มาจนถึงบัดนี้ คือเราเดินหนีจากความจริงเดินไปเรื่อย และเดินมาจนแก่ จนเจ็บขนาดนี้ ไม่อยากจะให้เป็นอย่างนี้ ห้ามมันก็ไม่ได้ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ จะให้เป็นอย่างอื่นมันก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนกันกับเป็ดจะให้มันเหมือนไก่มันก็ไม่เหมือนเพราะว่ามันเป็นเป็ด ไก่อยากให้เหมือนกับเป็ด มันก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่ามันเป็นไก่ ถ้าใครไปคิดอยู่ว่าอยากให้เป็ดเหมือนไก่ อยากให้ไก่เป็นเหมือนเป็ดมันก็ทุกข์เท่านั้นล่ะ ก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าโยมมาคิดเสียว่า เออ เป็ดมันก็ต้องเป็นของมันอย่างนั้น ไก่มันก็ต้องเป็นของมันอย่างนั้น จะให้เป็ดเหมือนไก่ จะให้ไก่เหมือนเป็ดมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นอยู่อย่างนั้น

ถ้าเราคิดเช่นนี้แล้ว เราจะมีพละ เราจะมีกำลังเพราะว่าสกลร่างกายนี้ อยากจะให้มันยืนนานถาวรไปเท่าๆไรมันก็ไม่ได้ มันก็เป็นอย่างนี้นี่ท่านเรียกสังขาร

อนิจฺจา วตสงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข

สังขาร คือ ร่างกายจิตใจนี้แหละมันเป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่แน่นอน มีแล้วก็หาไม่ เกิดแล้วก็ดับไป แต่มนุษย์เราทั้งหลายอยากให้สังขารนี้มันเที่ยง อันนี้คือความคิดของคนโง่ ดูซิว่าลมหายใจของคนเรานี้มันเข้ามาแล้วมันก็ออกไป เป็นธรรมดาของลม มันก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้น ต้องกลับไปกลับมา มีความเปลี่ยนแปลง เรื่องสังขารมันก็อยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ จะให้มันไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ลองคิดดูซิว่า หายใจออกอย่างเดียว ไม่ให้มันเข้ามาได้ไหม สบายไหม สูดลมเข้ามาแล้วไม่ให้มันออกดีไหม นี่ อยากจะให้มันเที่ยงอย่างนี้ มันเที่ยงไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ออกไปแล้วก็เข้ามา เข้ามาแล้วก็ออกไป เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วเจ็บและก็ตาย เป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ เหมือนกับลมเข้าแล้วไม่ให้ออกไม่ได้ออกแล้วไม่ให้เข้าไม่ได้ ถ้ามีการเข้าแล้วออก ออกแล้วเข้า ก็ทำให้ชีวิตเช่นมนุษย์ทั้งหลายเป็นอยู่ได้เท่าทุกวันนี้เพราะสังขารมันทำตามหน้าที่ของมันอย่างนี้แหละมันจริงอยู่แล้วไม่ใช่เป็นของไม่จริง มันจริงของมันอยู่อย่างนั้นแหละ

#พระธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถระ (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานี







"... ไตรสรณคมน์หรือศีล ๕
นี่แหละคือ รากฐานของการบำเพ็ญ
เพียรภาวนา ถ้าไม่มีฐาน ไม่มีศีลรองรับ
ก็ยากจะดำเนินความเพียรได้ ..."
--------------------
#โอวาทธรรม
#หลวงปู่ชอบ_ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ( พ.ศ.๒๔๔๔ - ๒๕๓๘ )









"..ความต้องการเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรนั้นไม่มีความหมาย ถ้าความเพียรไม่เป็นเครื่องสนับสนุน ความเพียรจึงเป็นสิ่งสำคัญ อดทนต่อความจริง อดทนต่ออรรถต่อธรรมไม่เสียหาย เราอดทนต่อสิ่งอื่น ตรากตรำต่อสิ่งอื่น ๆ เราเคยตรากตรำมามากแล้ว เราเคย! คำว่า “เราเคย” แล้วสิ่งนี้ทำไมเราจะไม่สามารถ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ “เพชฌฆาต” พอจะฆ่าคนที่มีความเพียรอันกล้าหาญให้ฉิบหายวายปวงไปนี่ นอกจากฆ่ากิเลสอาสวะซึ่งเป็นตัวข้าศึกอยู่ภายในจิตใจให้เราลืมหลงไปตามเท่านั้น.."

#พระธรรมคำสอน
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
(พ.ศ.๒๔๕๖-๒๕๕๔)








"..เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้จักว่ามันทุกข์ ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร มันจะเห็นอะไรไหม ถ้าเราเห็นตามธรรมดา มันก็ไม่ทุกข์ เช่นว่าเราอยู่อย่างนี้ เราก็สบาย อีกวาระหนึ่งเราอยากได้กระโถนใบนี้ เรายกมันขึ้นมา ต่างแล้ว ต่างกว่าแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ยกกระโถน ถ้าไปยกกระโถนขึ้นมา มีความรู้สึกว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา มันมีเหตุ หนักมันจะเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยกมันก็เบา อะไรเป็นเหตุผล ดูเท่านี้ก็รู้แล้ว ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน ถ้าเราไป ยึด อะไร อันนั้นแหละเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าเรา ปล่อย มันก็ไม่ทุกข์.."

สุภทฺโทวาท
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑–๒๕๓๕)





"..ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม คืออาศัยการกำหนดพิจารณาธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยู่ ได้ยินอยู่ สัมผัสอยู่ ปรากฏอยู่ จิตใจเล่าก็มีอยู่ ความนึกคิด รู้สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้ายก็มีอยู่ ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอก ภายใน ก็มีอยู่ ธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมดา เขาแสดงความจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ เช่น ใบไม้มันเหลืองหล่นร่วงลงมา พินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยอุบายมีอยู่เสมอแล้ว ชื่อว่า ได้ฟังธรรมทุกเมื่อแล.."

ภูริทตฺโตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








วิปัสสนาภาวนา ปัญญากับจิตมันอยู่ร่วมกัน

ถาม: การภาวนานี้เราไปยืน เดิน นั่ง นอน อะไรอย่างนี้จะมีผลอะไรบ้างครับ

ตอบ: มีบ้าง แต่เหตุมันต้องสงบถึงที่มันเสียก่อน ให้มันถึงปัญญาล่ะดีมากที่สุด คือมันบ่มมาถึงที่สุดแล้วมันก็สุกขึ้นมาได้ แต่ว่ามันมีแง่อยู่อย่างหนึ่งว่า ความสำเร็จในการปฏิบัตินี้มันมีเรื่องติดไปด้วยปัญญา

วิปัสสนาภาวนา ปัญญากับจิตมันอยู่ร่วมกัน อย่างคนมีปัญญาไม่ต้องไปทำอะไรมากมาย มันรวมเข้าไปของมัน เรื่องสมาธิคล้ายๆ ว่า สมมติเราเป็นช่างวาดเขียน เราไปมองเห็นแล้วและก็เข้าใจ จนมันติดอยู่ในใจของเรา เราไปเขียนออกจากใจของเราได้ ไม่ต้องไปนั่งวาดอยู่ตรงนั้น คนที่ไม่เข้าใจคนนั้นต้องไปนั่งเขียนเสียก่อน ให้มันซาบซึ้งเข้าไป อันนี้เรื่องปัญญาไม่ต้องไปนั่งเขียน เรามามองดูก็เข้าใจ เขียนมันไปเลยก็ได้ มันเป็นอย่างนี้ บางคนก็ใช้ปัญญาน้อย บางคนก็ใช้ปัญญามาก อาจจะตรัสรู้ธรรมะในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งก็ได้ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ท่านให้ทั้งนั้น ก็เพราะอะไร ก็เพราะเราเป็นอย่างนี้ ท่านจึงให้ทำอย่างนั้น

บางคนไม่ต้องไปนั่งเขียนอะไรที่ตรงนั้น เราไปมองแป๊บเดียวเข้าใจ ไปนั่งเขียนมันเสียเวลา ถ้าเราไปนั่งเขียนตามความเข้าใจของเรา มันก็คล่องขึ้น มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าต้องพยายามแบบของมัน อย่าไปทิ้ง มันก็เหมือนกับที่ว่าการนั่งสมาธิแบบเดิมก็นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายตรง บางคนก็ว่าเดินก็ได้ นั่งก็ได้ คุกเข่าจะได้ไหม ได้...แต่ว่าเราเป็นนักเรียนใหม่ เรียนหนังสือต้องคัดตัวบรรจงเสียก่อน ให้มันมีหัวมีหางเสียก่อน ถ้าเราเข้าใจดีแล้ว เราเขียนเองอ่านเอง เราเขียนหวัดไปก็ได้ อย่างนี้ไม่ผิด แต่แบบเดิมมันต้องทำอย่างนั้นเสียก่อน ดีมาก เข้าใจไหม ทำถึงโน่นแล้วหรือยัง ไม่ทำถึงโน่น พูดให้ฟังก็ไม่รู้เรื่องสินะ รู้แต่ว่าฟังไป

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)








#ไม่ฉลาดรักษาใจจึงกวัดแกว่งไปตามอารมณ์

"..เปรียบน้ำฝน มันเป็นน้ำที่สะอาด มันจะมีความใสที่สะอาดปกติดี
ถ้าหากเราเอาสีเขียว สีเหลืองใส่เข้าไป น้ำมันก็เป็นสีเหลือง สีเขียว
จิตใจเรานี้เช่นกัน ฉันนั้น
เมื่อมันถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจมันก็สบาย
ถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ใจมันก็ไม่สบาย
เหมือนกับใบไม้ ที่มันถูกลม มันก็กวัดแกว่ง เอาแน่นอนไม่ได้
ดอกไม้ ผลไม้ มันก็ถูกลมเหมือนกัน ถูกลมมาพัดมันก็ตกไปเลย ไม่มีสุก
จิตใจมนุษย์เรานี้ก็เหมือนกัน ถูกอารมณ์มาพัดไป
ถูกอารมณ์มาฉุดไป มาดึงไป ตกไป ก็เหมือนกันกับผลไม้.."

#พระธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)






"..วิปัสสนานี้มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพคือมนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบื้องหน้าหากยังไม่บรรลุผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมีก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว"

"อนึ่ง ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ก็ได้โดยยากยิ่งนัก เพราะอันตรายของชีวิตทั้งภายในภายนอกมีมากต่างๆ การที่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็ได้โดยยากยิ่งนัก เพราะกาลที่เปล่าว่างอยู่...ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบบางสมัยจึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง

เหตุนั้น เราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ... อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย.."

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
ตอบกระทู้