นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 15 มี.ค. 2025 1:09 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความเพียรพยายาม
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 11 ธ.ค. 2024 4:14 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4859
"จิตปล่อยจิต" เป็นธรรม "อันเดียว"

"..เป็นธาตุที่บริสุทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ ทาง "สมาธิปัญญา" ใดที่เคยผ่านมา

พอ "จิตวางปั๊บ" ฮุกหมัดเด็ดคือ "วิปัสสนาญาณ" เข้าปลายคาง ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

ตามดูลมหายใจไปด้วย ผ่อนลงไป...ผ่อนลงไป... ทีแรกมันอยู่ตรงนี้ พออยู่ตรงนี้หมด... หมด... หมด... หมดขึ้นมาเรื่อย หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิดๆ

เราก็พิจารณาอยู่ ยังไม่หมดนี่ พิจารณาค้นอยู่อย่างนั้นตลอด

พอพิจารณาตรงนี้มันดับหมดแล้ว เราก็ "หยุดความคิด" คือเรียกว่า “หยุดความค้น”

ลองวางปั๊บ แหม !! มันขาดเชียว

การ "ขาด" ครั้งนี้ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา

พอจิตวางปั๊บ... "จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด" ปล่อยวาง "สังขารโลก" "คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะ" อันเป็นประดุจตาข่าย

ด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือวิปัสสนาญาณ เข้าปลายคาง

"อวิชชา" ถึงตาย ไม่มีวันฟื้น !!

พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ คำว่า "เป็นหนึ่ง" นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก

"ภพ" "ชาติ" ที่หมุนวนมา ตั้งกัปตั้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้

"ชาติ" "สังขาร" อยู่ที่ใด "ใจ" ไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วย "ธรรมชาติ" ที่เป็น "หนึ่ง" นั้น

จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดเดาได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

สำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว

"ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" ไม่มีช่องทางให้ "อวิชชา" เดิน ถูกปิดด้วย "มหาสติ มหาปัญญา"

"วิปัสสนาญาณ" ตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้าง "อวิชชา" อันเป็นตัวการ

"จิตปล่อยจิต" เป็น "ธรรมอันเดียว" เป็น "ธาตุที่บริสุทธิ์" เป็น "มหัศจรรย์" ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทาง "สมาธิปัญญาใด" ที่เคยผ่านมา.."

#พระธรรมคำสอน
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท) วัดป่าภูริตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง







"..การดูกิเลสและแสวงธรรม ท่านทั้งหลายอย่ามองข้ามใจซึ่งเป็นที่อยู่ของกิเลสและเป็นที่สถิตอยู่แห่งธรรมทั้งหลาย กิเลสก็ดี ธรรมก็ดี มิได้อยู่กับกาลสถานที่ใดๆ ทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ใจ คือเกิดขึ้นที่ใจ เจริญขึ้นที่ใจ และดับลงที่ใจดวงรู้ๆ นี้เท่านั้น การแก้กิเลสที่อื่นและแสวงธรรมที่อื่นแม้จนวันตายก็ไม่พบสิ่งดังกล่าว ตายแล้วเกิดเล่าก็จะพบแต่กิเลสที่เกิดจากใจซึ่งกำลังเสวยทุกข์เพราะมันนี้เท่านั้น แม้ธรรมถ้าแสวงหาที่ใจก็จะมีวันพบโดยลำดับของความพยายาม สถานที่ กาลเวลานั้นเป็นเพียงเครื่องส่งเสริมและเครื่องกดถ่วงกิเลสและธรรมให้เจริญขึ้นและเสื่อมไปเท่านั้น เช่น รูปเสียงเป็นต้น เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสที่มีอยู่ในใจให้เจริญยิ่งขึ้น.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) จากหนังสือชีวประวัติของหลวงปู่ขาว อนาลโย









"..ผู้ที่มีคุณธรรมอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรืออริยสาวกผู้ที่ไกลจากกิเลสเหล่านี้เป็นต้น ท่านจึงหลีกเร้นไปอยู่ในที่อันสงบสงัด ปราศจากสิ่งที่รบกวน เป็นอย่างนั้นเพราะสถานที่เหล่านั้นเป็นที่บำเพ็ญความสงบสงัดของใจท่านให้ได้รับความร่มเย็น

เพราะฉะนั้นอย่างเรานี้ก็เหมือนกันผู้ที่เข้ามาฟัง เข้ามาวัดเข้ามาวาฟังเทศน์ฟังธรรมจำศีลภาวนาอย่างนี้ ก็เป็นการปลดเปลื้องภาระอันภายนอกให้คลายออกไปได้เปราะหนึ่ง
เช่นมารักษาศีลอุโบสถอย่างนี้เป็นต้นก็ทิ้งภาระตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำ จนกระทั่งรุ่งสว่างก็ปลดเปลื้องภาระของร่างกายออกไปจากใจจากกายได้ชนิดหนึ่ง

แต่ทีนี้การเข้ามาปลดเปลื้องอย่างนี้ด้วยรักษาอุโบสถ แต่บางทีใจนั้นยังกังวลวุ่นวาย คิดอาลัยสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องใช้การประหัตประหารอย่าให้สิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอน บั่นทอนความดีของเราอันนั้นที่ตั้งใจจะบำเพ็ญให้เกิดขึ้น คือไม่ได้อะไรก็ให้นึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่ง อย่าให้สิ่งนั้นเข้ามากวนใจของเรา เมื่อรู้ตัวอย่างนั้นแล้ว ก็พยายามระลึกอยู่ตลอดเวลา ใจนั้นก็จะบังเกิดความสุข คือ เกิดความสงบของหัวใจนั่นเอง

อย่างนั้นจึงเรียกว่า "ศีลบริสุทธิ์" ไม่ด่างพร้อย ไม่เศร้าหมอง ถึงซึ่ง "ความบริสุทธิ์ของสมาธิ" ได้อย่างนั้น นั่นเรียกว่า "ผู้ที่อบรมถูกทาง" ถูกต้องเรียกว่าตามกายวาจาใจ
พร้อมด้วยศีลและก็เข้าถึงสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น.."

#พระธรรมคำสอน
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
(พ.ศ.๒๔๕๙-๒๕๔๗)







#ศีล_ธรรม_นี่แหละคือของดี

"... ศีล คือการนำความผิดความชั่วออก
จากกาย ออกจากวาจา ธรรม ก็คือความดี
ที่ป้องกันไม่ให้ความผิดหวังความชั่วเกิดขึ้น
ใน กาย วาจา ใจ ทั้งศีล ทั้งธรรม ก็อันเดียว
กันนั่นแหละ แต่เราไปแยกสมมติ เรียกไป
ต่างหาก กาย วาจา ใจ ของเรานี้เป็นที่ตั้งของธรรม เป็นที่เกิดของธรรม เป็นที่ดับของธรรม ความดีก็เกิดจากที่นี่ ความชั่วก็เกิดจากที่นี่ สวรรค์ก็เกิดจากที่นี่ นรกก็เกิดจากที่นี่

... เราจะรักษาศีล ภาวนา ให้ทาน ก็ต้อง
อาศัย กาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะทำ
ความผิด ความชั่ว ไปนรกอเวจีก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะรักษาศีล ทำสมาธิ ภาวนา ให้เกิดปัญญา ทำมรรค ผล นิพพาน ให้แจ้ง ให้เกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้แหละ ...”
--------------------------
#ธรรมโอวาทโดย
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๔๓๐ – ๒๕๒๘)








"..การสวดมนต์ไหว้พระ ก็เป็น สิ่งดี ทำให้จิตใจมีความสุขก่อนนอนตื่นนอนก็กราบพระขอความดี มีสิริมงคล กับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำจิตใจ ให้มีความสุขก่อนไปทำงาน อย่างนี้เป็นต้นคุณธรรมความดีอย่างง่าย ๆ นี้เราควรทำสะสมไว้แต่วันนี้... เพราะว่านานไป ต้นบุญกุศลความดีนี้ย่อมผลิดอกออกผล ให้สิ่งดี ๆ มีความสุขความเจริญ แก่เราผู้ทำสะสมไว้แล้ว ได้จริงแท้ ขอให้แน่ใจ.."

#พระธรรมคำสอน
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)







"..เวลานั่งสมาธิ อย่านึกว่าเรามานั่งที่ศาลานี้ ให้นึกว่าเรานั่งอยู่ในป่าลึกคนเดียว ตัดปลิโพธกังวล ไม่คิดถึงหมู่คณะและใครทั้งหมด

เรื่องดี ชั่ว มี จน ก็ไม่ต้องคิด คิดแต่เรื่องในกายของตัวเอง และตั้งสติสูดลมหายใจของตนอย่างเดียว

หรือมิฉะนั้นก็ให้คิดว่าเวลานี้เรากำลังนั่งอยู่เฉพาะพักตร์พระพุทธเจ้า เราจะต้องระวังตัวระวังมารยาทของเราให้ดี ไม่ทำกิริยาลุกลิกลุกลน หรือแกะโน่น เก่านี่ กายก็ตรง ใจก็ตั้งเที่ยงเฉพาะพระองค์ หรือ "พุทโธ" อย่างเดียว มีสติทุกลมหายใจเข้าออก ไม่วอกแวกไปไหน.."

#พระธรรมคำสอน
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)






"..จะตัดบาปตัดกรรม ไม่มีวิธีอื่น เราต้องทำจิตให้สงบ ถ้าจิตเราไม่สงบแล้ว มันก็ไปก่อกรรม ก่อภัย ก่อเวร พอจิตเราสงบแล้ว มันก็ไม่มีกรรม ความชั่วทั้งหลายไม่มี มีแต่ความสุข ความสบาย เราต้องการความสุข ความสบาย จะไปหากับทรัพย์สมบัติไม่มีหรอก มีแต่ที่ใจเราสงบ พอใจเราสงบแล้ว มันได้รับความสุข ความสบาย.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)










#การบำเพ็ญทาน
"..เท่ากับเราหาทรัพย์ไว้ให้ตัวของเรา การบำเพ็ญศีล
เท่ากับเราสร้างร่างกายของเราให้เป็นคนสมบูรณ์
ไม่พิการ ง่อยเปลี้ย บอดใบ้
การบำเพ็ญภาวนา
เท่ากับสร้างจิตใจของเราให้เป็นคนสมบูรณ์
"ทาน" ไม่สามารถคุ้มศีลได้ แต่ศีลคุ้มทานได้
ส่วน "ภาวนา" คุ้มได้ตลอดทั้งทานและศีล
สามารถทำให้ทานบริสุทธิ์และศีลของเราก็บริสุทธิ์
เข้าถึงสุคติสวรรค์โลกุตตระ และนิพพานเป็นที่สุด
สมมติคนหนึ่งเกิดมาในตระกูลสูง
มีทรัพย์สมบัติมาก และร่างกายก็บริสุทธิ์ทุกส่วน
แต่จิตใจไม่ปรกติ วิกลวิการ เป็นผีบ้า
อย่างนี้จะมีประโยชน์อย่างไร
เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้อบรมจิตให้เป็นกุศล
พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์เป็นเทวดา
เทวดาเป็นพรหม พรหมเป็นอริยะ จนถึงอรหันตขีณาสพ เป็นที่สุด.."

ธมฺมธโรวาท
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ






"..ศาสนาคือคำสั่งสอนของท่านผู้ฉลาด ท่านสอนคนเพื่อให้เกิดความฉลาดทุกแง่ทุกมุม ซึ่งพอจะพิจารณาตามท่านได้ แต่เราอย่าฟังเพื่อความโง่ อยู่ด้วยความโง่ กินดื่มทำพูดด้วยความโง่ คำว่าโง่ไม่ใช่ของดี คนโง่ก็ไม่ดี สัตว์โง่ก็ไม่ดี เด็กโง่ ผู้ใหญ่โง่ มิใช่ของดีทั้งนั้น เราโง่จะให้ใครเขาชมว่าดี จึงไม่ควรทำความสนิทติดจมอยู่กับความโง่โดยไม่ใช้ความพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง จึงไม่ควรแก่สมณะซึ่งเป็นเพศที่ใคร่ครวญไตร่ตรอง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาม
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ








"..ตัวของเรานี้แล อันได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นชาติสูงสุด เป็นผู้เลิศตั้งอยู่ในฐานะอัน
เลิศด้วยดี คือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ แลมโน
สมบัติบริบูรณ์ จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอก
คือ ทรัพย์สินเงินทองอย่างไรก็ได้ จะสร้างสม
เอาสมบัติภายในคือมรรคผลนิพพานธรรมวิเศษ
ก็ได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี้เอง มิได้ทรงบัญญัติ
แก่ ช้าง ม้า โค กระบือที่ไหนเลย

มนุษย์นี้เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้
ฉะนั้นจึงไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจว่า ตนมีบุญวาสนา
น้อย เพราะมนุษย์ทำได้ เมื่อไม่มี ทำให้มีได้ เมื่อมีแล้วทำให้ยิ่งได้สมด้วยเทศนานัยอันมาในเวสสันดรชาดกว่า ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยํ
เมื่อได้ทำกองการกุศล คือ ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา ตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารย์เจ้า
แล้ว บางพวกทำน้อยก็ต้องไปสู่สวรรค์
บางพวกทำมากและขยันจริงพร้อมทั้งวาสนาบารมี
แต่หนหลังประกอบกัน ก็สามารถเข้าสู่พระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัยเลย พวกสัตว์ดิรัจฉานท่านมิได้กล่าวว่าเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย์ไม่ได้
จึงสมกับคำว่ามนุษย์นี้ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดี
สามารถนำตนเข้าสู่มรรคผล เข้าสู่พระนิพพานอันบริสุทธิ์ได้แล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(๒๔๑๓-๒๔๙๒)








#อย่าพากันไว้ใจในชีวิตของตน "..ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่แน่นอน

วันนี้เรามีชีวิตอยู่ อาศัยอยู่ วันหลังมาชีวิตจะเป็นจั๋งใด๋ ดีหรือไม่ ชีวิตของเรานั้นวันหลังจะเป็นอย่างไรในพรรษานี้

พวกเราทั้งหลายเชื่อหรือ ชีวิตเราจะตลอดพรรษา เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา จิตมันจะตายเวลาไหนก็ไม่รู้ เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่มันจะเป็นไปเมื่อเรามีชีวิตอยู่

อย่าพากันประมาท จงพากันรีบบำเพ็ญความดี ให้เกิดให้มีขึ้นในดวงจิตความคิดของเรา.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก)
จ.บึงกาฬ






"..ของดี ก็มีอยู่ด้วยกัน ทุกคนแล้ว จะไปเอาของดี ที่ไหนอีก ของดีก็ต้องทำให้มันเกิด มันมีขึ้นในจิตใจของตน ความดีอันใด ที่ยังไม่มี ก็ต้องเพียรพยายาม ทำให้เกิด ให้มีขึ้น นี่แหละ ของดีมองให้มันเห็น หาให้มันเห็น ภายในตน ของตน นี่แหละ จึงใช้ได้ ถ้าไปมองหาแสวงหา ของดีภายนอกแล้ว ใช้ไม่ได้ ให้เอาของดี ของจริง คือ ธรรมะปฏิบัติ ทำให้เกิดให้มีขึ้น เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ.."

#พระธรรมคำสอน
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๓๐-๒๕๒๘)








การฟังพระธรรมเทศนา
ความสงบที่ไม่มีปัญญา ก็เหมือนกับใบไม้ที่มักกวัดแกว่งเมื่อโดนลม

ก็เหมือนกับการจะนำผ้าไปย้อม คือ ต้องซักต้องทำให้สะอาดเสียก่อน จะย้อมได้ดี ความสงบที่ไม่มีปัญญา ก็เหมือนกับใบไม้ที่มักกวัดแกว่งเมื่อโดนลม คือ สงบจิตแต่ไม่มีปัญญา มันมีมืดมันก็มีสว่าง เหมือนคนที่กินเนื้อติดในซีกฟัน พอเอามันออกก็สบาย เมื่อหิวก็กินอีก มันก็ติดอีก มันก็ปวดอีก เมื่อแคะมันออกมันก็สบาย

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)








"การอยู่ในโลกนี้ ให้เข้าเหมือนอยู่ในกองไฟ
และเหมือนอยู่ในคุกตะราง ให้เร่งรีบแสวงหา
ทางออกเสมอ อย่าได้นิ่งนอนใจและหลงยินดี
เพลิดเพลินอยู่

จงถือเอาศรัทธา ความเชื่อ เป็นทางเดินแห่งวิถีจิต
เอาสติ คือความระลึกรู้สึกตัว พร้อมเป็นเพื่อนพ้อง
เดินทาง
เอาวิริยะ คือความเพียรพยายาม เป็นกำลังกาย
เอาขันติความอดทน เป็นอาวุธสำหรับป้องกันอันตราย
เอาปัญญาความรอบรู้ เป็นประทีปส่องทางไป

แล้วรีบเร่งเดิน อย่าแวะซ้ายแวะขวา อย่าหยุดพัก
อยู่ในที่ใดๆ ก็จะได้ถึงซึ่งที่สุดแห่งขันธ์โลก คือพระนิพพาน"

ครูบาเจ้าพรหมา พฺรหฺมจกฺโก


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO