Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

บุญวาสนา

จันทร์ 16 ธ.ค. 2024 4:48 am

#การฝึกตนดีแล้จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า

"..ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา
สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานฝึกหัดพระองค์จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พุทฺโธ ผู้รู้ก่อนแล้วจึงเป็น ภควา ผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ สตฺถา จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้มีอุปนิสัยบารมีควรแก่การทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏว่า กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต ชื่อเสียงเกียรติศัพท์อันดีงามของพระองค์ย่อมฟุ้งเฟื่องไปในจตุรทิศจนตราบเท่าทุกวันนี้ แม้พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นเดียวกัน ปรากฏว่าท่านฝึกฝนทรมานตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรม สั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าบุคคลใดไม่ทรมานตนให้ดีก่อนแล้ว และทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร้ ก็จักเป็นผู้มีโทษ ปรากฏว่า ปาปโกสทฺโท คือเป็นผู้มีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปในจตุรทิศ เพราะโทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าในก่อนทั้งหลาย.."

มุตโตทัย โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร จากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเทระ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
(พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๔๙๒)







“...**เมื่อเราเดินไป-เดินมา
หรือว่าสร้างจังหวะไป-สร้างจังหวะมา
หรือว่าจะทำอย่างใดก็ตามเถิด
มันเกิดรู้-เห็น-เข้าใจต้นตอของความคิด
แน่ะ! วิธีของมันน่ะ-วิธีทางจิต
ทีนี้จึงว่า‘แบ่งจิตก็ได้ หรือว่ามันหากเป็นเอง’
เมื่อรู้(-เห็น)ความคิดแล้ว ก็ดูความคิด
โดยเอาสติ-สมาธิ-ปัญญา คอยดูความคิด
ไม่ต้องไปติดตำรา ไม่ต้องไปติดสิ่งที่สมมติ
ไม่เอา-อย่าเอา ไม่ติด-ยกเลิก
เอาทิ้งไว้ตรงนั้นของมัน**
*คนที่ไม่รู้ ให้เขาทำไปอย่างนั้น*
**ส่วนคนที่รู้ เรารู้-เราเข้าใจแล้ว
เราก็ไม่ไปทำลายสิ่งเหล่านั้น
การไม่ไปทำลายนี้ ก็ไม่เข้าไปติดด้วย
การติด ก็ติดแนบแน่น ฝังอยู่กับตัวเองนี้
คอยดูจิตใจตัวเองนี้**
นี่แหละ เป็นการปฏิบัติวัตรพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้า คืออะไร ?
*พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่รูปร่าง-ร่างกาย อะไรทั้งนั้น*
**ตัวจิตใจ อันไม่เกี่ยวไม่ข้องกับอะไรทั้งหมด
เป็นจิตใจสะอาด-จิตใจสว่าง-จิตใจสงบ-จิตใจราบรื่น
อย่างนั้นสิ(คือ)พระพุทธเจ้า
สิ่ง ๆ นั้น-มีหมดทุกคน**
มันเป็นอย่างนั้นน่ะ
เดี๋ยวนี้ ถ้าว่าจะพูดถึงจิตใจ
หลวงพ่อเทียน : เป็นอย่างไรจิตใจหมู่เพื่อน เดี๋ยวนี้ ?
พระ : ปกติ-เฉย ๆ ครับ
หลวงพ่อเทียน : หมู่แม่ออกเป็นอย่างใดบ้าง จิตใจน่ะ ?
แม่ออก : ----(เงียบ)----
หลวงพ่อเทียน : มันเป็นอย่างไรบ้างจิตใจ เดี๋ยวนี้ ?
โยม : เฉย ๆ
หลวงพ่อเทียน : เฉย ๆ มีใครเป็นอย่างไรบ้างเดี๋ยวนี้-จิตใจน่ะ ?
ทุกคน : ----(เงียบ)----
ไม่รู้จักจิตใจตัวเองเนาะ ก็ต้องดูใจตัวเองสิ
ที่ถามนี่ ถามถึงความจริงนะนี่
เดี๋ยวนี้ ถ้าผู้ใดเป็นอย่างไรก็บอก-จะได้รู้
ไม่ใช่หลวงพ่อจะไปมองเห็นจิตใจคนนั้น-คนนี้
ไม่ใช่อย่างนั้น
เพียงเล่าให้ฟังเฉย ๆ แล้วก็ถาม
*ถ้าหากผู้ใดจิตใจวุ่นวาย ยุ่งวุ่นวายอยู่
นั้นเรียกว่า‘จิตใจเป็นทุกข์
จิตใจเป็นอกุศล-จิตใจเป็นบาป’*
**ส่วนผู้ที่จิตใจมันซือ ๆ มันเฉย ๆ อยู่นี่
(เราไม่)ไปทำอย่างใดให้มัน
เพราะเราเจริญสติอยู่นี่ เราดูมันอยู่นี่**
นี่ล่ะ ท่านว่าล่ะ
**อันจิตใจเฉย ๆ จิตใจซือ ๆ นี้
ถ้าว่าตามภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘อุเบกขา-วางเฉย’
และมันมีอยู่ในคนทุกคน** ไม่ใช่ว่าจะเลือกชั้นวรรณะ
(ไม่ใช่)เลือกตระกูล ว่าต้องเป็นคนร่ำรวย
คนมีความรู้ คนไม่มีความรู้
มันไม่ใช่จะเป็นอย่างนั้น
มีหมด(ทุกคน)
คนยาก-คนจนก็มี คนร่ำ-คนรวยก็มี ...”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ







"ปฏิบัติกันเถิด"

"จงหายใจเข้า-หายใจออก
อยู่...อย่างนี้แหละ
อย่าใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น ใครจะยืนเอาก้นขึ้นฟ้า
ก็ช่าง อย่าไปเอาใจใส่
อยู่...แต่กับลมหายใจเข้า-ออก
ให้ความรู้สึกกำหนดอยู่กับลมหายใจ
ทำอยู่...เท่านี้แหละ!!

ไม่ไปเอาอะไรอื่น
ไม่ต้องคิดว่า...จะเอานั่น เอานี่ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น
ให้รู้จัก แต่...ลมเข้า-ลมออก
ลมเข้า-ลมออก พุทเข้า-โธออก
อยู่...กับลมหายใจ อย่างนี้แหละ
เอาอันนี้! เป็นอารมณ์ ให้ทำอยู่อย่างนี้...

จนกระทั่ง...
ลมเข้า ก็รู้จัก...ลมออก ก็รู้จัก...
ลมเข้า ก็รู้จัก...ลมออก ก็รู้จัก...
ให้รู้จัก อยู่...อย่างนั้น...
จนจิตสงบ หมดความรำคาญ ไม่ฟุ้งซ่านไปไหน
ทั้งนั้น

ให้มีแต่...
ลมออก-ลมเข้า
ลมออก-ลมเข้า อยู่...เท่านั้น
ให้มันเป็นอยู่...อย่างนี้ ยังไม่ต้องมีจุดหมาย
อะไรหรอก นี่แหละ! เบื้องแรกของการปฏิบัติ."
___________________________________________
-หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.









"...มรรคผลนิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือรู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้ ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่น เต่ากับปลา เต่าอยู่ได้สองโลกคือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียวคือในน้ำ ขืนมาบนบกก็ตายหมด วันหนึ่ง เต่าลงไปในน้ำแล้ว ก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ

ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่า บนบกนั้นลึกมากไหมเต่า ...มันจะลึกอะไร ก็มันบก. เอ บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม ...มันจะคลื่นอะไร ก็มันบก. เอ บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม ...มันจะมีอะไร ก็มันบก ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ จิตปุถุชนที่เดามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา..."

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์







#ข้อปฏิบัติการปัดการตาดนี่มีความสำคัญมากๆนะ

... " ถ้าหากว่าการปฏิบัติของเรามีความละเอียดถี่ถ้วน หรือจิตมีความละเอียด จะบกพร่องนิดเดียว บกพร่องนิดเดียวบอกทันที แม้แต่หลับก็บอก นอนหลับนี่บอกทันที นั่งสมาธิก็บอก เพียงแต่ว่าปัดตาดไม่แล้วนิดเดียวเท่านั้นล่ะ หลับไปยังไม่ทันได้หลับสนิทเห็นแผล้บไปเลย ไอ้ที่ปัดไม่เรียบร้อยน่ะมันแลรกรุงรังไปเลย บางทีปรากฏว่าที่หน้าพระประธานหรือหน้าพระพุทธรูปนี่รกรุงรัง นั่น แล้วจะว่าข้อปฏิบัติการปัดการตาดไม่มีความสำคัญได้อย่างไร

... ถ้าข้อปฏิบัติปัดตาดนี่ไม่มีความสำคัญ ครูบาอาจารย์ท่านไม่มั่นคงอยู่ ท่านไม่รักษากันไว้ดอก

... แล้วถ้าข้อปฏิบัติมีการปัดตาดสำคัญ ทำไมจึงพากันหละหลวมละเลย สิ่งที่ไม่ละเลยมันก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะ สิ่งที่ปราถนา สิ่งนั้นๆล่ะ ไม่ยอมละ ไม่ยอมเลย ไม่ยอมเลิก

... ใครอยู่ตรงไหนๆ ซอกไหน มุมไหน ต้องปัดตาดในจุดนั้นๆ ซอกนั้น มุมนั้นให้สะอาดสะอ้านเรียบร้อย เป็นของใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ เทวดาอนุโมทนา ในบริเวณกุฏิ ในบริเวณใต้กุฏิ บริเวณรอบๆกุฏิ ทางเดินจงกรม ทางเดินไปนั่นมานี่ต้องให้อยู่ในสภาพที่สะอาดสะอ้านในสายตา นี่ข้อปฏิบัติ

... สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีความสำคัญ ครูบาอาจารย์ท่านไม่พากันรักษากันไว้ แม้แต่พระบัญญัติพระวินัยการจำพรรษา ให้เตรียมไม้ตาดไว้อย่างน้อยสองกำ ให้มากไม่มีปัญหา แต่ไม่ให้ต่ำ ถ้าหากว่าไม่เตรียมไว้เป็นอาบัติ เป็นโทษ ก็แสดงว่าการปัดตาดนี่เป็นส่วนประกอบในการที่จะทรงไว้ซึ่งพระศาสนา หรือเป็นส่วนประกอบที่จะยังมรรค ยังผล ให้เกิดขึ้นมีขึ้น ขาดอันนี้ได้ พระพุทธเจ้าจะบัญญัติไว้ทำไม นี่มันขาดไม่ได้หน่ะ

ข้างนอกมันรกรุงรัง แล้วมันแสดงถึงข้างใน "
_____________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร








..." ใจที่ขาดการสำรวมนี่แหละ..เป็นข้าศึกแก่เรา " ...
_____________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร




"...เพราะไม่มีที่พึ่งทางจิตใจ หรือไม่รู้ที่พึ่งอันเกษมอันอุดม จึงกลัวการตายแต่ไม่กลัวการเกิด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงคว้าโน้นคว้านี่เป็นที่พึ่ง บางคนกลัวตายคว้าเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่เคารพนับถือด้วยความงมงาย
นอกจากนี้ยังมีการทรงเจ้าเข้าผี สะเดาะเคราะห์ สะเดาะนาม สืบชะตาราศี ตัดกรรมตัดเวร โดยวิธีการต่าง ๆ ที่พึ่งอันอุดมมั่นคงนั้นคือ "การภาวนา"
น้อมรำลึกนึกเอาพระคุณอันวิเศษของ พระพุทธเจ้า พร้อมพระธรรม และพระอริยสงฆ์ มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ จึงจะเป็นการถูกต้อง..."

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต









"..ถ้าดินดี นานั้นปลูกข้าวงามแน่นอน พระดีอยู่ที่ศีลอยู่ที่ข้อวัตร เราจะหานาดีเราก็ต้องเอาดินเป็นเกณฑ์ เราจะดูวัดดูพระ เราก็ดูข้อวัตรปฏิบัติเป็นเกณฑ์ เมื่อเรามีหลักเกณฑ์แล้ว เราไปหานา เราก็หานาไม่ผิด เราไปหาวัด เราก็หาวัดไม่ผิด.."

#พระธรรมคำสอน
หลวงพ่อสุธรรม สุธมฺโม
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี







ประกอบความเพียร
ต่อเนื่องกันมาหลาย ๆ วัน
นิวรณ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็คลี่คลายลงไป
ก็เป็นผลของการปฏิบัติ

สติก็ตั้งมั่นขึ้น
ความหลงความเผลอน้อยลง

ถ้าสติมีกำลังสูงขึ้น สติตั้งมั่น
สติตั้งมั่นก็จะไม่หลงลืม
ไม่เผอเรอ ไม่หลุดลอย
เรียกว่า สติสัมโพชฌงค์
องค์แห่งความตรัสรู้ คือสติตั้งมั่น

เมื่อสติตั้งมั่น ก็พิจารณาธรรม
ดูสภาวธรรมที่เค้ามีความเกิดขึ้น
เขามีความเสื่อมไป มีความหมดไป
มีความเปลี่ยนแปลง
มีเหตุมีปัจจัยเกี่ยวข้อง เป็นเหตุเป็นผล

ต้องมีเหตุปัจจัยประกอบขึ้น
ก็มีสภาวธรรมที่เป็นผลเกิดขึ้น
เมื่อเหตุปัจจัยหมดไป
สภาวธรรมที่เป็นผลก็ดับไป
ได้เห็นธรรมชาติตามที่เขาเป็น

กฎธรรมชาติ
สิ่งนี้เกิดเป็นปัจจัยต่อสิ่งนี้เกิด
สิ่งนี้ดับไป เป็นปัจจัยต่อสิ่งนี้ดับไป

อิทัปปัจจยตา
เห็นกฎธรรมดาของธรรมชาติ
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
มีความดับไปโดยธรรมดา

ธรรมดาอย่างไร ?
ทำไมจึงไม่เที่ยง ?
สังขารทำไมไม่เที่ยง ?
สภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้
ทำไมจึงไม่เที่ยง ? ตอบได้ไหม ?

สังขารทั้งหลาย รูปนามขันธ์ ๕
ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลงด้วย ?
ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลง ?
ทำไมจึงไม่เที่ยง ?
เที่ยงไม่ได้หรือ ?
ตั้งอยู่ คงที่ไม่ได้หรือ ?
ทำไมต้องแปรเปลี่ยนด้วย ? เพราะอะไร ?

#เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของเขา
#ในเมื่อเหตุปัจจัยเขาเปลี่ยนแปลง
#สภาวะที่เป็นผล #สังขารที่เป็นผล
#จะไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
#เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนแปลง
#สังขารที่เป็นผล #มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง

แล้วทำไมสังขารมันเกิดขึ้นมาอีก ?
(อ่านต่อในครั้งถัดไป)
............................
ธัมโมวาท โดย‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา






เทียบโลก เทียบธรรม
บนโลกใบนี้ทุกอย่างมีคู่เสมอ
ถ้าเป็นถนนก็มี ๒ เส้น คู่ขนาน
เส้นที่ ๑ เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คน
เดินอย่างรีบเร่งเต็มไปหมด
ถนนเส้นนี้ถูกเรียกขานว่า
#ถนนแห่งชัยชนะ
ถนนแห่งความสำเร็จ
ทั้งที่ผู้คนที่เดินอยู่มีทั้งสมหวัง
และผิดหวัง มีทั้งทุกข์ และสุข
เมื่อได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
และผู้ผิดหวัง – ทุกข์
เมื่อไม่ได้อย่างที่ตัวเองหวัง
หรือผู้อื่นอยากให้เป็น

ส่วนเส้นที่ ๒ เรียกว่า
#ถนนแห่งความผิดหวัง
เป็นถนนที่ดูเงียบเหงา ปราศจากผู้คน
ถนนโล่งแจ้ง
ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีรางวัล
ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้
ถนนเส้นนี้จึงตรงกันข้าม
ในทุกๆอย่าง ทุกๆเรื่อง
กับถนนอีกเส้น
ผู้ผิดหวังหลายคน จำต้องเลือก
ทางเส้นนี้

#แต่ก็มีผู้มีปัญญาหลายๆท่าน
#ก็เลือกที่จะเดินทางเส้นนี้เช่นเดียวกัน
เป็นทางเดินที่ว่างเปล่า
ไม่มีแท่นแห่งชัยชนะไว้เชิดชูเกียรติ
ไม่มีรางวัล ไม่มีคำสรรเสริญ
ไม่มีลาภ – ยศตำแหน่ง
เป็นถนนที่ดูปราศจากทุกอย่าง
เป็นถนนที่ผู้คนไม่อยากเดิน

#แต่ผู้เดินอยู่บนถนนเส้นนี้
#ยิ่งเดินไปได้ไกลแค่ไหน
#ทุกคนกลับดูเงียบสงบ
#ปราศจากการดิ้นรน_ความเร่าร้อน
#ไม่มีให้เห็นในกริยาอาการ

แต่หลายคนต้องพลัดตกออกไปสู่เส้นทางเดิม
เหตุเพราะทางเส้นนี้
ไม่มีสมบัติที่ตัวเองต้องการ
ไม่มีลาภยศ ไม่มีคำสรรเสริญ
ไม่มีกระดาษที่ทุกๆชาติกำหนด
ให้แลกเปลี่ยนสินค้าได้
ไม่ตกอยู่ภายใต้กฎ
หรือข้อบังคับการกำหนดใดๆของใคร
เดินเข้าหาความมืดที่ปกคลุมปิดบัง
ค้นหา เปิดออก ในความมืดนั้น
มีแสงสว่างจริงหรือ?

เพราะผู้ที่ท่านเดินก่อน ท่านยืนยันว่า
“ท่ามกลางความมืด
มีความสว่างอยู่จริง
ท่านพบแล้ว และหาวิธีจัดการกับความมืด
ที่ปกปิดความสว่างได้สำเร็จ
จนความมืดไม่กลับมา
ทำให้ท่านได้รับความเดือดร้อนอีกต่อไป…”

ทางคู่ขนาน ๒ เส้นนี้
สุดแต่ผู้ต้องการจะตั้งชื่อ
แต่ความเป็นจริง
มันก็คือ ทางดำมืด
และทางสว่าง ที่มีอยู่คู่กันเสมอ

ทุกๆอย่างมีคู่
มีทุกข์ – สุข,
มั่งมี – ยากจน,
ผู้แพ้ – ผู้ชนะ,
ผู้ดีใจ – ผู้เสียใจ
เช่นเดียวกับมืด และสว่าง
มีอยู่คู่กันเสมอมา
และตลอดไป…
สุดแต่ใครจะค้นพบ และยอมเดินทางสว่าง

ผู้เดินทางเส้นนี้ทุกท่านแลกมาด้วยชีวิต
ท่านผู้พบเจอ พยายามชี้ทางบอกผู้คน
และท่านเหล่านั้น ก็หายไปพร้อมอายุขัย
และทิ้งแผนที่บอกทางเดิน
ไปสู่ชัยชนะแห่งความสว่าง…ที่นั่นมืด
ที่นี่สว่าง มันอยู่ในใจของทุกคน..

คุณแม่จันดี โลหิตดี






คนโง่เป็นอย่างไร
คนโง่คือคนที่ทำบาปได้ทุกอย่าง
คนโง่ในที่นี้คือคนที่แพ้ใจตัวเอง
ใครด่ามาด่าตอบ
ใครโกรธมาโกรธตอบ
นี้แหละคือคนโง่

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี









"..อย่าไปเหยียบย่ำซ้ำเติม สาปแช่งใคร กรรมวิบากที่ตนทำมาแต่ก่อนนั้น มันมาให้ผลเอาให้ได้ถึงซึ่งความวิบัติ อะไรขึ้นมาอย่างนี้นะ แทนที่จะไปแช่งซ้ำ
นั้นไม่เอา ผิดธรรม เป็นกรรม

ถ้าเห็นใครตกทุกข์ได้ยาก เกิดอุบัติเหตุ แล้วแช่งซ้ำนะ เป็นบาป ต้องตั้งความเมตตาเอ็นดู สงสารขึ้นมา ถึงแม้ว่า เราจะรู้ว่าคนนั้น มีประวัติอันชั่วร้ายมาก็ตาม แต่มันก็เป็นเรื่องของเขาอันความชั่วนั้นน่ะ แต่ว่า ไอ้ความเอ็นดูกรุณานี้เป็นหน้าที่ของเรา ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม กรุณาธรรม ที่จะต้องแสดงออกต่อบุคคลทุกประเภท ทั้งคนดี และคนชั่ว.."

#พระธรรมคำสอน
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย









ขอให้พวกเราสร้างเหตุดี ในเมื่อสร้างเหตุดี ผลก็ต้องออกมาดี ถ้าเราขี้เกียจ ขี้เกียจเรียนขี้เกียจศึกษา ขี้เกียจทำมาหาเลี้ยงชีพ ขี้เกียจทำการงาน มีแต่สิ่งไหนที่มันชั่วขนเข้ามาหาตัวเอง กินเหล้าบ้าง สุราบ้าง นารีบ้าง ภาชีบ้าง กีฬาบัตรบ้าง สิ่งไหนที่มันเลวๆ ขนเข้ามาหาตัวเอง จะเป็นยังไง มันก็จนละซิ เราจะตำหนิใคร ตำหนิประเทศชาติ ทำหนิดินฟ้าอากาศ ตำหนิใคร ตำหนิพ่อแม่ โดยมากมันจะไม่ตำหนิตัวเอง

ให้ดูตนเอง ให้ดูเจ้าของ เบิ่งเจ้าของ เรานี่ขาดเหลือขาดตกบกพร่องอะไร ถ้าพวกเรามองตัวเองไว้อยู่เสมอ ไม่ลืมไม่หลงตัวเอง มีสติอยู่กับตนเอง จะทำอะไร จะเดินก้าวไปที่ไหน จะคบค้าสมาคมกับใคร เรื่องอะไร ผิดหรือถูก เหมือนเราเฝ้าบ้านตลอดเวลา ก็เห็นสิ่งที่มันขาดตกบกพร่อง เห็นสิ่งที่เราจะเดินไปทางไหน เพราะเรามีสติสัมปชัญญะในตัวของเรา

สิ่งเหล่านี้ ขอให้พวกเราทุกท่าน ให้ดูเจ้าของ และให้พึ่งตนเอง ถึงจะไม่มีบุญวาสนาบารมีเก่า แต่เกิดมาภพในนี้ชาตินี้ขยัน ถึงอย่างไรก็เอาตัวรอดได้ ถ้าทั้งขี้เกียจด้วย ทั้งไม่มีบุญวาสนาบารมีด้วย อันนั้นแปลว่า ตกต่ำ เอาตัวไม่รอดแน่

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๗







"..พวกเราทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่มีโชคมีบุญมากเพราะเมื่อมองไปที่สัตว์ทั้งหลายแล้ว จะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็นต้น เป็นสัตว์ที่อาภัพมาก เพราะไม่มีโอกาสที่จะเรียนธรรม ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่จะรู้ธรรม ฉะนั้นก็หมดโอกาสที่จะพ้นทุกข์ จึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่อาภัพ เป็นสัตว์ที่ต้องเสวยกรรมอยู่ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่ควรทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ คือไม่มีข้อประพฤติ ไม่มีข้อปฏิบัติ อย่าให้เป็นคนอาภัพ คือ คนหมดหวังจากมรรค ผลนิพพาน หมดหวังจากคุณงามความดี อย่าไปคิดว่าเราหมดหวังเสียแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้น จะเป็นคนอาภัพเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย คือไม่อยู่ในข่ายของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น เมื่อมนุษย์เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีเช่นนี้แล้ว จึงควรที่จะปรับปรุงความรู้ ความเข้าใจ ความเห็นของตนให้อยู่ในธรรม จะได้รู้ธรรม เห็นธรรม ในชาติกำเนิดที่เป็นมนุษย์นี้ ให้สมกับที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่ควรตรัสรู้ธรรมได้..''

#พระธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร
(หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
ตอบกระทู้