พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พฤหัสฯ. 19 ธ.ค. 2024 7:09 am
"..พระพุทธเจ้าจึงยังมีอยู่ ยังเมตตากรุณาสัตว์ทั้งหลาย ยังช่วยมนุษย์สัตว์ทั้งหลายอยู่ ถ้ามนุษย์ผู้ใดมีความประพฤติปฏิบัติดี จงรักภักดี พระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ผู้นั้นก็จะมีคุณงามความดีอยู่ตลอดทุกวันฉะนั้น ถ้าเรามีปัญญา ก็จะเห็นได้ว่า เราไม่ได้อยู่ห่างพระพุทธเจ้าเลย เดี๋ยวนี้เราก็ยังนั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าเราเข้าใจธรรมะเมื่อใด เราก็เห็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น ผู้ใดที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอแล้ว ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน อยู่ ณ ที่ใด ผู้นั้นย่อมได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา.."
#พระธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)
#พระธรรมคำสอน
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
การพิจารณาขันธ์ ๕ เป็นสมาธิก็ได้ เป็นสมถะก็ได้ เป็นวิปัสสนาก็ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมอยู่ในนั้นหมด อริยสัจธรรมสี่ ก็ออกไปจากขันธ์ ๕ นี้
การพิจารณาขันธ์ ๕ เป็นกัมมัฏฐาน ขันธ์ ๕ คือตัวของเราได้แก่รูปกับนามขยายออกไปก็เป็นธาตุ ๔ เป็นอายตนะ ๖ เป็นอาการ ๓๒ ฯ แจกออกไปกว้างขวางแจกออกไปจากขันธ์ ๕ นี้ทั้งนั้น ขันธ์ ๕ ได้ชื่อว่าเป็นที่รวมของธรรมทั้งหลาย การพิจารณาขันธ์ ๕ จะเป็นสมาธิก็ได้ เป็นสมถะก็ได้เป็นวิปัสสนาก็ได้ ได้ทุกอย่าง ศีล สมาธิปัญญา รวมกันอยู่ในนั้นหมด ที่ท่านพิจารณาเรื่องทุกข์เป็นอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ก็ออกไปจากขันธ์ ๕ นี่ทั้งนั้น
คนเขายังพูดกันทั้งบ้านทั้งเมือง ได้ยินเขาร้องรํากันกลางบ้านกลางเมือง เขาพูดเป็นเล่น แต่มันเป็นของจริง เช่นเขาว่า “ทุกข์ในขันธ์ ๕ มารวมในขันธ์ ๔ ทุกข์ในโลกนี้มารวมที่ข้อย (ที่ข้า) ผู้เดียว” ทุกข์ในขันธ์๕ มารวมเป็นขันธ์ ๔ ก็คือธาตุ ๔ นั่นเอง ในโลกนี้ใครๆทั้งหมดก็มีแต่ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ทั้งนั้นแหละ ที่เกิดมาในโลกนี้มันมีทุกข์อยู่ที่ตัวแล้ว ขันธ์ ๕ นี่มารวมกันเข้าเป็นรูปกับนามแล้วก็มีแต่เสวยทุกข์อยู่ตลอดกาลเวลา ตั้งแต่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดา เป็นภาระทุกข์ยากแก่มารดา
กระทั่งคลอดออกมาก็เป็นทุกข์ เติบโตขึ้นมาแล้วก็เป็นทุกข์โดยลําดับ จนกระทั่งแก่เฒ่าชรายิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก ตายแล้วก็เป็นทุกข์แก่คนอื่นอีก ภาระมากขันธ์ ๕ นี่เป็นภาระมากทีเดียว เป็นภาระแก่ตนด้วย แก่คนอื่นด้วย
คําว่า “ทุกข์” นั้นคือ มันทนอยู่ไม่ได้ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๔ ขันธ์ ๑ ก็รวมมาอยู่ในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๔ขันธ์ ๑ มันก็ออกไปจากขันธ์ ๕ นี่เอง ขันธ์ ๔ ผู้เจริญฌาน สมาธิได้เข้าถึง ฌาน รูปฌาน อรูปฌานก็รวมลงในขันธ์ ๔ คือตายไปแล้ว ไปเกิดยังเหลือแต่นามคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่าขันธ์ ๔ ที่ไปเกิดในพรหมโลกเรียกว่าขันธ์ ๑ มีแต่รูปไม่มีนาม ก็แปลกเหมือนกันมีแต่รูปไม่มีนามเข้าใจว่ามีนามแต่ไม่ปรากฏ มีแต่ขันธ์เดียวเรียกว่ารูป ที่ไม่ปรากฏนามคือว่าไม่มีความรู้สึกนั่นแหละเรียกว่ามีแต่ขันธ์ ๑ ทั้งขันธ์ ๔ และขันธ์ ๑ ก็กลับมาเกิดในขันธ์ ๕ อีกเหมือนกัน มาเสวยทุกข์อีกเหมือนกัน คือมันทนอยู่ไม่ได้ มันจึงกลับมาเกิดเป็นขันธ์ ๕ การทนอยู่ไม่ได้นั่นเรียกว่า“ทุกข์” คือมันไม่อยู่จีรังถาวร
กายของเรานี้ตั้งแต่ปฏิสนธิมาแล้ว ค่อยเติบโตขึ้นเป็นลําดับก็เสวยทุกข์มาเป็นลําดับ จนคลอดออกมาก็เสวยทุกข์ เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆก็เสวยทุกข์เรื่อยมา ถึงแม้ว่าตัวจะไม่รู้จักว่าทุกข์ มันก็ทุกข์อยู่ดีๆนั่นเอง คนเราเกิดขึ้นมาแล้วไม่พ้นจากทุกข์สักทีเดียว พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาว่าโลกอันนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้น เกิดขึ้นแล้วดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรทั้งหมด จริงอย่างที่พระองค์ตรัส ทุกข์อันนี้เกิดขึ้นมาแล้วดับไป ดูตัวอย่าง ทุกขเวทนาเกิดขึ้นที่ตัวของเรานี่แหละ เห็นได้ง่ายๆนั่งนานเข้าเหน็ดเหนื่อยเรียกว่าทุกข์ จึงได้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืน เป็นเดิน ยืนนานหนักเข้าก็เสวยทุกข์ในการยืน นานทนไม่ไหวก็นั่ง เสวยทุกข์ในการนั่งนานๆเข้าเลยเปลี่ยนเป็นนอน ได้นอนหลับอย่าเข้าใจว่าสุขเลย แท้ที่จริงมันทุกข์ แม้ในอิริยาบถนอนก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แม้ไม่รู้สึกตัวมันก็ทุกข์อยู่ในนั้น คือในเมื่อหลับสนิทแล้วมันยังมีอาการพลิกตัว นั่นแสดงว่าเป็นทุกข์ มันจึงแสดงอาการพลิกตัวไปมาพลิกนอนหงาย มันเมื่อยแล้วก็นอนตะแคงข้างซ้ายข้างขวาเรียกว่าทุกข์เหมือนกัน
ลองคิดดูตัวคนเรามีอะไร เกิดขึ้นมาต้องทุกข์เพราะทํามาหากิน ทุกข์เพราะทํางานการอาชีพต่างๆ ทุกข์เพราะการไม่อยู่ดีสบาย เจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆปวดหัว ปวดท้องฯไม่มีสิ่งใดที่ไม่เป็นทุกข์ไม่มีสักอย่างเดียว เกิดขึ้นมาเป็นทุกข์ทั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงพิจารณาทุกด้านทุกทาง ไม่มีอันไหนไม่ทุกข์ จึงตรัสว่า นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุข ท่านว่า ความสงบเป็นความสุขอย่างยิ่ง ที่เป็นความสุขอย่างยิ่งคือ มันสงบจากความยึดถือ สงบจากการไปยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน ผมจึงพูดว่า อัน “ของว่าง” คืออันเป็นของกลาง ในสิ่งสารพัดทั้งปวงหมด เป็นกลาง ในสิ่งสารพัดทั้งปวงหมด เป็นกลางแล้วไม่ยึดของกลาง นั่นแหละเป็นความสุข สุขจากของกลางนั้น
แต่พระพุทธเจ้าตรัสเฉพาะขณะที่จิตเป็นกลาง ครั้นเมื่อกลับไปยึดมันก็เป็นทุกข์อีกเหมือนกัน หากว่ากลับไม่ยึดอีกมันก็ไม่ทุกข์ แต่มันก็ยังมีทุกข์ในกายอยู่นั่นและ ส่วนในใจไม่เป็นทุกข์ ท่านจึงสอนถึงเรื่องปฏิบัติ เพราะมันมีสุขอยู่ทางเดียวคือ ปฏิบัติฝึกหัดไม่ยึดไม่ถือ กายมันทุกข์อยู่เป็นธรรมดา อย่างที่ได้อธิบายแล้ว แม้นอนหลับอยู่ไม่มีสติ ก็ยังเป็นทุกข์ธรรมชาติของ ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นมาต้องเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดที่จะไม่ทุกข์ ทุกข์อันนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงไป ทุกข์อันใหม่เกิดขึ้นมาอีก แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปทุกข์อื่นเกิดขึ้นมาอีกแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปอีกเรื่อยๆ มันคงทนอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนอยู่เสมอ
เหตุนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์แล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากปฏิบัติทางจิตทางใจ ให้ปล่อยวางละสิ่งทั้งปวงหมด แล้วมาอยู่เป็น “กลาง” พระพุทธเจ้าทรงสอนละเอียดลออ ไม่มีใครค้นพบเห็นธรรมทั้งหลายเหล่านี้ พระองค์ทรงค้นหา ทรงพบว่า ความสุขมันก็อยู่ในทุกข์อันนั้น ถ้าไม่มีทุกข์มันก็ไม่มีสุข ของเป็นคู่กัน ทุกข์เหล่านั้นเป็นคู่แสดงของสุข มันมีสุขก็ต้องมีทุกข์ มันมีดีก็ต้องมีชั่ว มันมีหยาบก็ต้องมีละเอียดธรรมเป็นคู่กันอยู่อย่างนี้ ในโลกนี้ต้องเป็นอย่างนั้น
ครั้นเมื่อเห็นสุขเห็นทุกข์อย่างนั้นแล้ว ปล่อยวางเสีย เลือกเอาเป็นกลางๆ อันนั้นมันจึงค่อยพ้นจากทุกข์ เมื่อเมื่อไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีหยาบไม่มีละเอียด ตลอดจนไม่มีสมมติบัญญัติ มันจึงพ้นจากโลกได้ “ขันธ์ ๕ ” เป็นที่รวมของธรรมทั้งหลาย
ผู้ที่จะปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์แล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากปฏิบัติทางจิตทางใจ ให้ปมล่อยวางละสิ่งทั้งปวงหมด แล้วมาอยู่เป็น “กลาง”
"..คนเราเกิดมาย่อมมีกรรมทุกๆ คนจึงได้เกิดมา ถ้าไม่มีกรรมก็ไม่ได้เกิด เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องอาศัยกรรมนั่นแหละ เป็นเครื่องอยู่ คือการทำมาหาเลี้ยงชีพ เมื่อไม่ทำมาหาเลี้ยงชีพ จะอยู่กับเขาในโลกได้อย่างไร ฉะนั้น เมื่อจำเป็นจะต้องทำกรรม จึงควรงดเว้นกรรมชั่วเสีย จงทำแต่กรรมดี กรรมชั่วจึงค่อยหมดไปด้วยการไม่กระทำอีก.."
#พระธรรมคำสอน
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
(พ.ศ.๒๔๔๕-๒๕๓๗)
#สัจจาธิษฐาน..!!
"... คราวหนึ่งหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ได้จับไข้ระหว่างเดินธุดงค์อยู่กลางป่าท่าน
จึงแวะเข้าร่มไม้ข้างทาง วางอัฐบริขารแล้ว
ล้มตัวลงนอนหลับไป เพราะพิษไข้
ท่านได้มารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อได้ยินเสียง
ดังอู้ ๆของลมพัดยอดใบไม้ เสียงฟ้าคะนอง
ฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ทั่วไป มองขึ้นไป
ท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึน ลมก็พัดกระโชกแรง
ขึ้น อาการไข้ก็ยังไม่สร่าง ฝนก็เริ่ม.ลงเม็ด
ห่าง ๆ จะกางกลดก็สู้ลมพัดไม่ไหว เมื่อ
หลวงปู่เห็นว่าไม่มีทางจะหลบหลีกฝนได้ จึงรวบรวมกำลังลุกขึ้นมานั่งสมาธิ
ตั้งสัจจาธิษฐานอ้างคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบุญบารมีที่.บำเพ็ญมา ขอฝนอย่าได้ตกมาตรงที่ข้าพเจ้าอยู่นี้เลย เมื่ออธิษฐานเสร็จ ท่านก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
ทั่วจักรวาล ไม่มีประมาณ แล้วท่านก็นั่งหลับ
ตาทำสมาธิสงบนิ่ง
เป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนกำลังลง เม็ดถี่โดยลำดับนั้นได้เกิดลมพัดอย่างแรง ทำให้
ฝนเปลี่ยนทิศทางไปโดยฉับพลัน ฝนตกห่างจากจุดที่ หลวงปู่นั่งอยู่ออกไปในรัศมี ๑ เส้น เว้นไม่ตกลงเฉพาะที่ หลวงปู่นั่งสมาธิอยู่เท่านั้น ..."
------------------------------------
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๓๐ - ๒๕๒๘
"..ทุกคนเกิดมาก็ต้องการพ้นความทุกข์ทั้งนั้น คือต้องการดับกรรมนั่นเอง แต่ดับไม่ถูก เหมือนกับไฟฟ้านั่นแหละ ไฟฟ้าโรงใหญ่ มันติดเครื่องดังอยู่ตุบๆ ส่งกระแสไฟกระจายอยู่ทั่วไปหมด ผู้ต้องการดับไฟไปดับหลอดเล็กหลอดน้อย มันดับได้เฉพาะหลอดเท่านั้น แต่ไฟต้นตอมันยังเดินอยู่ ถ้าดับต้นตอมันก็ดับวูบหมดด้วยกัน ถึงเปิดมันก็ไม่ติดอีกฉันใด กรรมก็ฉันนั้น ตัวกรรมนั้นเป็นต้นเหตุ ถ้าจะดับทุกข์ ก็ต้องดับกรรมอันเป็นต้นเหตุอย่างที่อธิบายแล้ว เมื่อไม่กระทำกรรม คือใจไม่กระทำ มันก็หมดเรื่องกันไป มันก็ดับหมดเท่านั้นแหละ มีใจอยู่ตราบใด มันต้องทำอยู่ตราบนั้น ถ้าดับตัวใจ ไม่มีใจแล้ว กรรมมันก็ดับหมด ไม่ไปต่อที่ไหน มันไม่เกิดอีกก็ไม่มีกรรมอีก จึงต้องฝึกหัดให้เห็นตัวใจที่แท้.."
#พระธรรมคำสอน
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
(พ.ศ.๒๔๔๕-๒๕๓๗)
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลายท่านเห็นไหม ว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้ มันก็เป็นทุกข์จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบายมันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อนมันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มัน ไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน"
พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สํารวมสังวรอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกาก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวายก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุกๆ สาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบาย นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อยๆ แล้ว ผมก็นํามาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
"..คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่ง บางคนก็ไม่รู้เรื่องกิเลส ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อละกิเลส แต่บางคนไม่ละ ปล่อยไปตามเรื่อง ในที่สุดจึงกลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งไม่รู้จักตนเอง ที่พึ่งอื่นก็ไม่มี ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะมีแต่กิเลสเข้าครอบงำ จึงกลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งจนตลอดชีวิต บางคนคิดจะพึ่งพระเจ้าบนฟ้า ได้แต่รอให้พระเจ้ามาช่วย ความจริงตัวเองก็ช่วยตัวเองได้ แต่ไม่รู้จักช่วย ไปรอให้ผู้อื่นมาช่วย จึงต้องตายเปล่า.."
จากหนังสือ : อุปลมณี
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑–๒๕๓๕)
“เราลองทบทวนดูหนึ่งปีที่ผ่านมา
เราเผชิญกับความทุกข์มากมายขนาดไหน
ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ปัญหาครอบครัว
ปัญหาการงาน ปัญหาการเมือง สารพัดปัญหา
แต่เราไม่อยากคิดถึงความทุกข์ที่ผ่านมา
เราอยากฝันถึงความสุขในอนาคต
เราไม่จำโทษภัยของสังสารวัฏ
เรายังยินดีพอใจในการเกิดเรื่อยไป
มีความเกิดทีไร ก็มีความทุกข์ ทุกที
ทุกข์เพราะแก่ ทุกข์เพราะเจ็บ ทุกข์เพราะตาย
ทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ทุกข์เพราะประสบแต่สิ่งที่ไม่รัก ทุกข์เพราะ
ไม่สมปรารถนา มีอยู่ตลอดทุกภพทุกชาติ
ถ้าระลึกได้ก็จะเบื่อ อยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
“แม้จะเป็นคำจริง ก็มืใช่ว่าจะควรพูดเสมอไป
แม้รู้ว่าจริง ก็ยังต้องพิจารณาถึงความเป็นธรรม
ถึงความสมควร และพิจารณาถึงประโยชน์ตน
ประโยชน์ผู้อื่นเสียก่อน
แม้จะเป็นวาจาจริง แต่เมื่อพูดไปแล้วเป็นโทษแก่ผู้อื่น
เช่น ทำให้เขาทะเลาะกัน หรือทำให้ครอบครัวเขา
แตกร้าวกัน ก็เว้นคำพูดเช่นนั้นเสีย”
ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก
"ผลของกรรม
ไม่ได้เป็นไปตามความเชื่อ
แต่เป็นไปตามความจริง"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
จากนี้ไปโลกมนุษย์จะไม่น่าอยู่เเล้ว จะมีแต่คนพาล คนเกเร จิตใจโหดเหี้ยม คนบาปหยาบหนามาเกิด เราๆจะอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้หรอก ให้พากันรีบเร่งปฏิบัติ หากเเม้นชาตินี้เรายังไม่พ้นทุกข์ ก็ให้ได้ไปบำเพ็ญภาวนารออยู่ชั้นพรหมโน่น เพื่อรอลงมาเกิดในโลกมนุษย์ยุคของพระศรีอริยเมตไตย ในยุคนั้นจะมีแต่คนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้มาเกิด ทุกคนจะมีอายุยืนเป็นหมื่นปี มีความสุข หน้าตาสวยงาม ไม่มีโรคภัย ไม่มีความยากจน และทุกคนได้บำเพ็ญภาวนา ปฏิบัติธรรม หลังจากนั้นจะได้เข้าสู่นิพพานถ้วนหน้าทุกคน
-:- หลวงปู่อว้าน เขมโก -:-
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.