นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 14 มี.ค. 2025 1:58 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความไม่ประมาท
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 21 ธ.ค. 2024 11:23 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4859
หลวงตามหาบัวท่านตั้งชื่อใหม่ว่า "วัลลภ"
ซึ่งแปลว่า "ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด"

"การอุปัฏฐากรับใช้หลวงตา
อาตมาขอทำถวายรับใช้อย่างสุดชีวิต"

พระอาจารย์สมภพ อภิวัณโณ (พระอาจารย์ปิ๋ว)
สำนักสงฆ์ทรัพย์สวนพลู บ้านบึงไม้
ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

----------------------------

โยม :หลวงพ่อครับ รบกวนเล่าให้ผมฟัง
ช่วงรับใช้หลวงตา ให้ฟังหน่อยครับ

หลวงพ่อสมภพ : น่าจะประมาณช่วงปี 40 ได้นะ
ที่หลวงตาท่านเกิดอุบัติเหตุแล้วแขนหัก ตอนแรก
ทางลูกศิษย์จะให้ทางท่านหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก ไปช่วยดูแลท่าน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้หลวงตาท่านเลือกอาตมา

โยม : ความรู้สึกแรกที่จะได้รับใช้หลวงตาอย่างใกล้ชิดเป็นอย่างไรบ้างครับ

หลวงพ่อสมภพ : ดีใจที่สุด ต้องตั้งใจทำอย่างดีเยี่ยม อาตมาต้องซ้อมการครองผ้า สมมุติตั้งหุ่นเป็นขนาดความสูงของหลวงตา แล้วเราซ้อมคล้องผ้า
สมมุติว่าแขนขวาของหลวงตาเจ็บด้วยนะ ห้ามโดนเด็ดขาด...ต้องเอาให้คล่องแบบนั้นเลยนะ

หลวงพ่อสมภพ : ตอนไปดูแลท่าน ทางท่านอินทร์ฯ
ท่านให้จัดพระไปดูแล 2 รูปมีอาตมาและอีกรูปหนึ่ง
ช่วงแรกๆอีกองค์ ท่านก็อยู่ช่วยสลับๆกับเรา แต่ผ่านๆไปหลายวันองค์นั้นมีเงียบหลับยาวๆ พอรุ่งเช้าวันนึง
หลวงตาท่านว่า ท่านลพ (วัลลภ เป็นชื่อที่หลวงตาท่านตั้งให้เรา) ตอนดูแลเรา เราไม่รู้ว่าหลับหรือไม่หลับไม่รู้นะ
แต่พอเราขยับตัว ทีไร กระโถนมาถึงตัวเราตลอดเวลา ...แต่อีกองค์ เราขยับตัวแล้วมองไปอีกที
หลับพล้อย(ท่านหัวเราะ)
ตั้งแต่นั้นมา หลวงตาเลยให้เราคอยอุปัฏฐากรับใช้ท่าน
ในห้องและในมุ้งหลวงตา 2 ต่อ 2 โดยให้อีกองค์กลับไป

โยม : แล้วหลวงพ่อมีเคล็ดลับอย่างครับ ที่ไม่หลับไม่นอน ตอนกลางคืนรับใช้หลวงตาครับ

หลวงพ่อสมภพ : เรามีความมุ่งมั่น ขอถวายรับใช้ท่านแบบถวายชีวิต ทำให้ดีที่สุด ต้องมีสติตื่นรู้ตลอดเวลา
หมั่นสังเกตุอากัปกิริยาท่าน เช่น ท่านหายใจเสียงดังแบบนี้แสดงว่าท่านหลับสนิทแล้ว หรือท่านขยับตัวแบบนี้ แสดงว่าท่านตื่นแล้ว เป็นต้น
กลางคืน ถ้าเต็มที่สุดๆแล้ว ไม่ไหวจริงๆเราอัดกาแฟดำเข้มๆ แก้วสองแก้ว รู้ผล ตื่นตลอด 555 พอตอนเช้า
ช่วงไหนว่างสักนิดๆหน่อยๆ เราค่อยมาแอบเงียบเอา เพราะตอนกลางวันมีคนดูแลเยอะแล้ว....

โยม : ผมฟังเรื่องที่หลวงพ่อเล่าให้พวกเราฟังแล้ว
พวกเรายังห่างไกลกับความสามารถที่ท่านได้ทำกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์นัก พวกผมขอน้อมกราบและขอน้อมอนุโมทนาบุญด้วยเศียรเกล้าครับ และเป็นบุญวาสนา
ที่ได้มาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อด้วยครับ
ขอน้อมกราบสาธุๆๆครับ....

ถอดเรียบเรียงโดย : จ่าเมี่ยง
ศิษยานุศิษย์ได้มีโอกาสนั่งสนทนาธรรม
ณ สำนักสงฆ์ทรัพย์สวนพลู พ.ย.2563

โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงพ่อสมภพ อภิวัณโณ (หลวงพ่อปิ๋ว)
สำนักสงฆ์ทรัพย์สวนพลู อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี







"..อย่าปล่อยให้ตัวมานะ เข้าไปยื้อแย่งครอบครองศีลธรรมภายในใจได้ จะกลายเป็นผู้มีเขี้ยวมีเขาแฝงขึ้นมาในศีลธรรมอันเป็นธรรมชาติเยือกเย็นมาดั้งเดิม การฝึกหัดทรมานตนให้เป็นเหมือนผ้าเช็ดเท้าจนเคยชิน โดยไม่ยอมให้ตัวทิฏฐิมานะโผล่ขึ้นมา ว่าตัวมีราคาค่างวดนี้ เป็นทางก้าวหน้าของธรรมภายในใจโดยสม่ำเสมอ จนกลายเป็นใจธรรมชาติ ไม่หวั่นไหวเหมือนแผ่นดิน ใครจะทำอะไร ๆ ก็ไม่สะเทือน จิตที่ปราศจากทิฏฐิมานะทุกประเภทโดยประการทั้งปวงแล้ว ย่อมเป็นจิตที่คงที่ต่อเหตุการณ์ดีชั่วทั้งมวล.."

ภูริทตฺตวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







#ต้องตั้งใจทำให้แน่วแน่จะได้ไม่เสียเวลาเปล่า

"..การบริกรรม พุทโธ เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป

แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิต จะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอนดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่อง ถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละเจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้

เปรียบได้ว่า มีลักษณะการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้

ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลา และบั่นทอนความศรัทธาตนเองเลย.."

#พระธรรมคำสอน
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖ )







"... โชคดีอย่างใหญ่หลวง
... คือโชคดีที่รู้จักธรรมะ
... นั่นแหละเป็นโชคดีที่สุดแล้ว ..."
___________________
#พระโพธิญาณเถระ
(หลวงพ่อชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง
จังหวัดอุบลราชธานี (๒๔๖๑ -​ ๒๕๓๕)








"..เมื่อมนุษย์เป็นคนไม่ดี แม้วัตถุเหล่านั้นจะเป็นของดีก็ตาม มันจะกลับกลายเป็นโทษแก่ปวงชนได้เหมือนกัน
ถ้ามนุษย์มีธรรมประจำใจ สิ่งทั้งหลายที่ให้โทษก็จะกลายเป็นประโยชน์

ถ้าใครไม่จริงกับพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาก็ไม่จริงกับผู้นั้น
และผู้นั้นก็จะรู้จักพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้
เหตุนั้น ท่านจึงสอนให้ทำสิ่งใดด้วยการทำจริง
ทานก็ทานให้จริง ศีลก็ศีลให้จริง ภาวนาก็ภาวนาให้จริง อย่าทำเล่นๆ แล้วผลแห่งความจริงก็ย่อมจะต้องเกิดจากการกระทำเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัย
ถ้าใจของเราเป็นโทษเสียแล้ว จะไปทำบุญทำทานอะไรก็ไม่ได้ผล เหมือนกับเราขนปุ๋ยไปใส่ต้นไม้ที่ตายแล้ว

พวกเราทั้งหลายไม่มีความสัตย์ความจริงต่อตัวเอง
จึงมิได้ประสบสุขอันแท้จริงเหมือนอย่างพระพุทธองค์ เราบอกกับตัวเองว่าอยากได้ความสุขแต่เราก็โดดเข้าไปสู่กองไฟร้อนๆ เรารู้ว่าสิ่งนั้นๆ เป็นยาพิษ
แต่เราก็ดื่มมันเข้าไป นี่แหละเป็นการทรยศต่อตัวเอง

ร่างกายนั้น เขาวางเราและหนีเราไปทุกวันๆ แต่เราสิไม่เคยหนีเขา ไม่ยอมวางเขาเลยสักที เราติดเขาทุกๆ อย่าง เหมือนเรากินข้าว เราก็ติดข้าว แต่ข้าวมันไม่เคยติดเรา เราไม่กินข้าว ข้าวก็ไม่ร้องไห้สักที มีแต่เราติดมันฝ่ายเดียว

สุขโลกีย์ มันก็ดีแต่ใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ เท่านั้น เหมือนข้าวสุกที่เราตักใส่จานใหม่ๆ ยังร้อนๆ ควันขึ้น ก็น่ารับประทาน แต่พอตักไว้นานจนเย็นชืด ก็จะกินไม่อร่อย ยิ่งทิ้งไว้จนแข็งเป็นข้าวเย็น
ก็ยิ่งกลืนไม่ลง พอข้ามวันก็เหม็นบูด ต้องเททิ้ง กินไม่ได้เลย

มนุษย์นั้นโง่ ชอบกลืนกินแต่อารมณ์เลว
ใช่แต่เท่านั้น เรื่องที่ไม่มีความจริงก็ยังกลืนเข้าไปอีก ของดีก็ไม่อยากจะสนใจ ส่วนของไม่ดีอุตส่าห์ไป กระแด่วๆ เอาใจไปจดไปจำ เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ

คนไม่มีธรรมะ ก็เหมือนกับคนที่ไม่มีบ้านอยู่ ต้องไปนั่งตากแดด ตากฝน และตากลม อยู่ทั้งกลางวันกลางคืน

ทำให้มันรู้ว่า อ้อ… อ้อ… ขึ้นมาในตัว
อย่ามัวไปรู้แต่ โอ้… โอ้… ตามเขาพูด

สรุปแล้วความไม่ประมาทคือ ความไม่ตายใจ ไม่นอนใจ ไม่ไว้ใจในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ส่วนใดที่เป็นความดีควรได้ควรถึง ให้มีความพยายามสร้างสรรค์ขึ้นให้มีในตน บุคคลผู้นั้นจึงชื่อว่า
เป็นผู้ไม่ประมาท.."

#พระธรรมคำสอน
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)








"..ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้ละโลกนี้ไปแล้วก็คือชีวิตในโลกหน้า ในโลกใหม่ของแต่ละคน หัดนึกถึงความจริงที่จะต้องหนีไม่ได้ คือการเกิดใหม่ในทันทีที่การเกิดเก่าจบสิ้นลง ที่ว่าชีวิตในภพชาติใหม่น่ากลัวที่สุด ก็เพราะไม่มีใครรู้ว่าชาติหน้าของเราแต่ละคนจะเป็นเช่นไร ดีหรือร้ายเพียงไหน

จะขึ้นสวรรค์หรือจะลงนรก ต่างก็น่าจะไม่รู้กัน และเพราะน่าจะพากันไม่เคยสนใจแม้เพียงจะคิด ว่าทันทีที่ขาดใจตาย เราจะเป็นอย่างไร เราจะไปไหน ไปเป็นอะไร เราพากันไม่สนใจ ไม่นึกถึง

สิ่งที่ควรสนใจ ควรนึกถึง อย่างที่สุดนี้ เพื่อจะได้ให้เวลาตัวเองในการจัดที่ใหม่ให้ชีวิตตนชาติหน้า ที่ทุกคนต้องไปถึงแน่ทันทีที่ออกจากร่างในชาตินี้ จะเป็นการช่วยตนเอง ให้มีโอกาสหาที่ทางเตรียมไว้สำหรับชีวิตใหม่ ที่ต้องพบแน่ในวันหนึ่งข้างหน้า เพียงแต่อาจจะช้า หรืออาจจะเร็วเท่านั้น

ใครจะไม่มีภพชาติใหม่ไม่มี นอกจากพระอรหันต์ ผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงเท่านั้น ที่ท่านจะไม่เกิดอีกต่อไปแล้ว.."

พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO