นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 14 มี.ค. 2025 1:13 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การภาวนา
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 22 ธ.ค. 2024 5:56 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4859
"โรคทางกายไม่สำคัญเท่าใด
เพราะเมื่อเราตายแล้ว ถึงจะรักษา
หรือไม่รักษา มันก็หาย

ส่วนโรคทางใจนั้น เราตายแล้ว
มันก็ยังไม่หาย ทำให้ต้องเวียนตาย
เวียนเกิด อีกหลายชาติ หลายภพ"

ท่านพ่อลี ธัมมธโร







นิพพิทา...

"ให้เอาจิตพิจารณากายนี้ให้รู้จัก
เมื่อรู้จักแล้ว...
•มันก็ เป็นสิ่งไม่แน่นอน
•เป็นของ ไม่เที่ยงทั้งนั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้จิตใจของเรา ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในใจในกายนี้ ว่า...
ไม่แน่นอน ไม่คงเส้นคงวา ก็อยากจะหาทาง
ออก หาทางพ้นทุกข์

เปรียบประหนึ่งนกที่ อยู่...ในกรง
เห็นโทษว่าจะบินไปมาที่ไหนไม่ได้
ใจพะวักพะวนดิ้นรนจะออกจากกรง นั้น...
•เบื่อกรง
•เบื่อที่อยู่

ถึงแม้ว่า...จะให้อาหารให้มันกินอยู่
ใจมันก็ยังไม่สบาย เพราะมันเบื่อกรงที่ขังมันไว้ จิตใจเรา ก็เหมือนกัน
เมื่อเห็นโทษอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในรูปในนามนี้แล้ว...

มันก็จะพยายาม
พิจารณาให้ออกจากวัฏสงสารอันนั้น."
-----------------------------------------------------------------------
ธรรมคำสอน
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี








#กัลยาณมิตรหาได้ไม่ง่าย
"..หาไม่ได้สำหรับคนทั่วไป
ไม่ใช่ภริยาทุกคนเป็นกัลยาณมิตรของสามี
ไม่ใช่สามีทุกคนเป็นกัลยาณมิตรของภรรยา
ไม่ใช่เพื่อนทุกคนเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน
ผู้เป็นกัลยาณมิตรนั้น มีคุณสมบัติเป็นหลักสำคัญที่สุดคือ
ความดี มีคุณธรรมประจำใจ พร้อมด้วยสติและปัญญา
ภรรยาสามี บุตรธิดาและมิตรสหาย
หรือผู้หนึ่งผู้ใด ที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวมา
จึงไม่อาจเป็นกัลยาณมิตรได้
ที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ แม้เป็นผู้มีกัลยาณมิตร
แต่ปฏิเสธที่จะรับเป็นกัลยาณมิตร
แม้มีกัลยาณมิตรจึงเหมือนไม่มี
ไม่ได้รับประโยชน์โดยควร.."

พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






-โลกนี้คือสภาวธรรม

"โลกนี้ คือกายกับใจ
สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย
ที่เรารู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นั้น...
คือโลก โลกทั้งหลายนี่พระพุทธองค์ทรง
บัญญัติศัพท์ เรียกว่า...สภาวธรรม

สภาวธรรม เป็นสิ่งที่เกิดเอง เป็นเอง
เกิดเอง ดับเอง หมายถึงความคิดที่มันปรุงแต่ง
มันเกิดขึ้นเอง...ดับไปเอง
บางที เราก็ตั้งใจคิด
บางที เราไม่ได้ตั้งใจคิด มันก็คิดอยู่...ไม่หยุด

ทางปฏิบัติ ก็กำหนดสติตามรู้มันไป
มันจะคิดอย่างไร คิดดี คิดชั่ว
คิดเรื่องโลก เรื่องธรรม ปล่อย...ให้มันคิดไป
แต่เราเอาสติ ตัวเดียว
แล้วในที่สุด...ธรรมชาติของจิต
ถ้ามีสิ่งรู้ สติ...มีสิ่งระลึก มันจะเพิ่มพลังงาน
มากขึ้นๆ

เพราะฉะนั้น...
การปฏิบัติสมาธิ คือการทำจิตให้มีสิ่งรู้...
สติ มีสิ่งระลึกจะเป็นอะไร ก็ได้
จิต เรานึกถึงอะไร ให้มีสติ...
นึกถึงลูก ให้มีสติ
นึกถึงครอบครัว ให้มีสติ
นึกถึงงาน ให้มีสติ
เอาสติ...ตัวเดียวเท่านั้น ทีนี้ สิ่งรู้ของจิต
คือสภาวธรรมที่มันจะแสดงความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เรารู้

ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะ ของเรามั่นคง
มันก็กลายเป็นปัญญา มันจะมองดูอะไรทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มีในจักรวาลนี้...เป็นธรรมทั้งหมด"
----------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน.








คนฉลาดย่อมไม่กลืนกินอารมณ์ชั่ว
คนที่จิตยังไม่สูงเต็มที่
เมื่อใครเขาด่าว่าอะไรก็มักเก็บไปคิด
คนเราโดยมากสำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด
แต่ชอบกลืนกินอารมณ์ที่ชั่ว

อารมณ์ชั่วเปรียบเหมือนกับ
เศษอาหารที่เขาคายออกแล้ว
ถ้าเป็นคนอดอยากยากจนจริงๆ
จำเป็นจะต้องขอเขากิน
ก็ควรกลืนกินแต่อารมณ์ที่ดี
เปรียบเหมือนอาหารที่ไม่เป็นเศษของใคร

แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในลักษณะที่ยากจน
นี่เป็นลักษณะของคนโง่ ไม่ใช่คนฉลาด
เพราะความดีอยู่กับตัวเองแท้ๆ
แต่ไพล่ไปเก็บเอาความชั่วที่คนอื่นเขามา
เช่นนี้ก็ย่อมเป็นการผิดทาง

ที่ถูกนั้น...ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา
ต้องคิดว่านั่นเป็นสมบัติของเขา ไม่ใช่ของเรา
ส่วนความดีที่เราทำก็ย่อมอยู่ที่ตัวเรา..

โอวาทธรรม ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ







#เมื่อปฏิบัติในอานาปานสติอยู่อย่างนี้เป็นบุญญกิริยาสามอย่างเต็มตัว :

คือเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา อยู่เต็มตัวในเวลานั้นแล้วไม่ต้องรอ.
.

#เป็นทาน คือการให้ : ให้สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู - ของกูออกไป ซึ่งเป็นทานสูงสุดยิ่งกว่ามหาทาน มหายัญญ์.

#พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า… แม้จะนิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข มาเลี้ยงดูปูเสื่อให้มากมายอย่างไร มหายัญญ์นี้ก็ไม่ดีไปกว่าภาวนา คืออานาปานสติสักว่าชั่วขณะจิตหนึ่ง หรือเวลาหนึ่ง.
.

หมายความว่า ให้ทานวัตถุให้ทานอะไรนี้มันไม่ดีเท่ากับเราให้ทานตัวกู-ของกู, ความยึดมั่นที่เป็นตัวกู - ของกูนั่นแหละ ให้ออกไปเสียได้เมื่อไร เป็นทานอันเลิศเมื่อนั้น.
.

ฉะนั้น ในการเจริญอานาปานสตินั้น เป็นการให้ทานสูงสุด คือ #ขว้างหรือเหวี่ยงทิ้งตัวกู_ของกู_ออกไปเสียได้.
.

ทีนี้ #เป็นศีลอย่างไร? ตลอดเวลาที่ทำอานาปานสตินั้น ต้องมีการสำรวมอย่างยิ่ง เจตนาที่จะสำรวมระวังนั้นเป็นศีล

ไม่ต้องไปสำรวมระวังตามสิกขาบทปาณาติปาตา เวรมณี ฯลฯ อะไรเหล่านี้; มันเป็นเรื่องจับปูใส่กระด้ง ไม่มีที่สิ้นสุด.
.

ถ้าตั้งสติกำหนดควบคุมลมหายใจเท่านั้น ศีลทุกอย่างทุกข้อ ไม่ว่าชนิดไหน ของพระของเณร หรือของชาวบ้านไม่มีทางจะขาดจะทะลุได้;

เพราะอำนาจของการสำรวมสังวร ระวังอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น จึงเรียกว่า… มีศีลสมบูรณ์.
.

#สำหรับภาวนานั้น เห็นชัดอยู่แล้ว เพราะการเจริญอานาปานสตินั้นส่วนหนึ่งเป็นสมาธิ ส่วนหนึ่งเป็นปัญญา ทั้งสองส่วนรวมเรียกว่าภาวนา; ฉะนั้นจึงมีสิ่งที่เรียกว่าภาวนาสมบูรณ์.

#พุทธทาสภิกขุ
#โอสาเรตัพพธรรม
#หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสติปัฏฐาน_โพชฌงค์_และวิมุตติ
#หน้า_๑๗๘








ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
สังขารทั้งหลาย รูปนามขันธ์ ๕
ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลงด้วย ?
ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลง ?
ทำไมจึงไม่เที่ยง ?
เที่ยงไม่ได้หรือ ?
ตั้งอยู่ คงที่ไม่ได้หรือ ?
ทำไมต้องแปรเปลี่ยนด้วย ? เพราะอะไร ?

เพราะ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของเขา
ในเมื่อเหตุปัจจัยเค้าเปลี่ยนแปลง
สภาวะที่เป็นผล สังขารที่เป็นผล
จะไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนแปลง
สังขารที่เป็นผล มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง

แล้วทำไมสังขารมันเกิดขึ้นมาอีก ?
รูปนาม ขันธ์ 5
รูป เวทนา สัญญา สังขาร
ทำไมเกิดขึ้นมาอีก?
ทำไมต้องเห็นอีก?
ทำไมต้องได้ยินอีก?
ทำไมต้องรู้กลิ่น ทำไมต้องรู้รสอีก?
ทำไมต้องรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็ง หย่อนตึงอีก?
ทำไมต้องมีความชอบความชังเกิดขึ้นอีก?
เพราะอะไร?

เพราะมันมีเหตุมีปัจจัยประกอบขึ้นมา
สังขารเหล่านี้ก็ต้องเกิดขึ้นมา
แล้วทำไมมันต้องดับไปอีก?
เหตุปัจจัยมันดับ มันก็ต้องดับ
แล้วทำไมมันเกิดขึ้นมาอีก?
มีเหตุมีปัจจัยประกอบ มันก็เกิดขึ้นมาอีก

นี่ความเป็นธรรมดา
คำว่า "ธรรมดา" ก็คือ
มันเป็นไปของมัน ตามเหตุปัจจัยของมันอย่างนี้
ตถตา เป็นเช่นนั้นเอง

เป็นเช่นนั้น เป็นไฉน?
ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของเค้าเนี่ยแหละ
สิ่งนี้เกิด เป็นปัจจัยต่ออีกสิ่งนี้เกิด
เมื่อสิ่งนี้ดับ ก็เป็นปัจจัยต่ออีกสิ่งนี้ดับ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

ธรรมดา คืออย่างไร?
เกิดขึ้นเพราะ มีเหตุปัจจัยประกอบขึ้น

สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
ก็มีความดับไปโดยธรรมดา

ดับไปโดยธรรมดา
คืออย่างไรที่เรียกว่า ธรรมดา?
ไปตามเหตุ เหตุปัจจัยดับ มันก็ต้องดับ

ถ้าเข้าไปรู้เห็น
สัมผัสด้วยจิตวิญญาณของตนเอง
เป็นประสบการณ์จริง
.. ไม่ใช่จากการฟัง
.. ไม่ใช่จากการเดา
.. ไม่ใช่จากการคิด
แต่เป็นประสบการณ์จริง ของจิตที่มีปัญญา
อย่างนี้ก็เรียกว่า มีปัญญา มีญาณ
มีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น
............................
ธัมโมวาท โดย‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

คัดจาก : ธรรมบรรยาย
ถ่ายทอดสด คืนวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2566
คอร์สกรรมฐานคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา








#สิ่งที่เรียกว่าสัมผัสนั่นแหละ_เป็นของลมๆแล้งๆ

ยกตัวอย่างเหมือนว่า… เราเอาหินมาตีเข้าที่เหล็ก หรือเอาเหล็กมาตีเข้าที่หินจะเกิดประกายไฟออกมา;
.

ประกายไฟนั้นจะเป็นตัวตนอันแท้จริงได้อย่างไร เพราะว่ามันเพิ่งเกิดออกมาจากการเอาเหล็กฟาดเข้าที่หิน.
.

แล้วกิริยาอาการที่เอาเหล็กฟาดเข้ากับที่หินนี่ไม่ใช่เป็นของจริงจังอะไร, เป็นของชั่วขณะแวบเดียว ซึ่งก็เป็นของลม ๆ แล้ง ๆ อยู่แล้ว.
.

ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าผัสสะนั่น มันก็เป็นของลม ๆ แล้ง ๆ ที่เอาเป็นตัวเป็นตนอะไรไม่ได้
.

เพราะว่าเป็นเพียงกิริยาอาการ ที่กระทบกันเข้าในระหว่างของสองสิ่ง; เมื่อตัวของสิ่งนั้นก็ลม ๆ แล้ง ๆ ทั้งสองสิ่ง และกิริยาอาการที่กระทบกันก็ลม ๆ แล้ง ๆ อีก
.

แล้วสิ่งใดที่เกิดมาจากการกระทบกันนั้นมันจะไม่ยิ่งเป็นของลม ๆ แล้ง ๆ ไปได้อย่างไร.
.

ถ้าเข้าใจข้อนี้ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า อายตนะสัมผัส คือการสัมผัสทางอายตนะ นั่นก็เป็นของ ลม ๆ แล้ง ๆ ชั่วขณะแวบเดียว
.

แต่แล้วมันให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าขันธ์ขึ้นมา : รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ อะไรก็ตาม.
.

ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าขันธ์นั้น จะต้องเป็นของลม ๆ แล้ง ๆ ยิ่งไปกว่าอายตน-สัมผัส, หรือยิ่งไปกว่าอายตนะ, หรือยิ่งไปกว่าสัมผัส. ขันธ์ยิ่งเป็นของที่เรียกว่าลม ๆ แล้ง ๆ ยิ่งขึ้นไปทุกที;
.

แต่ในความรู้สึก ในจิตของคน ไม่เป็นอย่างนั้น;จะรู้สึกว่า เป็นตัว เป็นตน เป็นก้อน เป็นอะไร, เป็นตัวกู - ของกู ขึ้นมาในที่สุด.นี่มันทวนกลับกันเสียอย่างนี้

แทนที่จะเห็นเป็นของลม ๆ แล้ง ๆ ยิ่งขึ้นไป - ยิ่งขึ้นไป กลับเห็นเป็นของที่เป็นตัวเป็นตน เป็นชิ้นเป็นก้อนมากขึ้น ๆ.

นี่คือตัวปัญหาในทางวิชาความรู้ ที่เราจะต้องศึกษาให้เห็นชัด.

#พุทธทาสภิกขุ
#ปรมัตถสภาวธรรม
#อายตนสัมผัสให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าขันธ์ #หน้า_๓๐๓







#การหมุนของศีลสมาธิปัญญา

"..เรื่องของ "วัตถุภายนอก เรื่องของโลก" มันเป็น "ของไม่จริง ดีไม่จริง จริงไม่ดี" ถ้าใครไปยึดถือเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องของโลกแล้ว ผู้นั้นก็จะไม่มีวันได้พบของจริง ของดี ของแท้

จะต้องพบแต่ของไม่ดี ของไม่จริงอยู่เรื่อยไป จะไม่มีทางประสบกับความสุขอันแท้จริงได้เลย และผู้นั้นก็จะต้องพบแต่ "ความหมุนเวียน" อยู่ตลอดชาติตลอดภพ

ความหมุนเวียนอันนี้ เป็นความหมุนแบบ "กังหัน" คือ "หมุนจี๋ๆๆ อยู่กับที่" ไม่ไปไหน

ตรงข้ามกับในด้าน "ธรรมะ" เมื่อผู้ใดได้ปฏิบัติธรรมแล้ว แม้จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปร ก็เป็นการหมุนอย่างแบบ "ใบพัดเครื่องบิน" คือ "หมุนไปสู่ที่สูงท่าเดียว" เหมือนอย่างใบพัดที่พาตัวเครื่องบิน ให้ขึ้นไปสู่บนอากาศได้ฉะนั้น

หรือมิฉะนั้นก็เป็นการหมุนอย่าง "ล้อรถ" ซึ่งจะพารถหรือผู้โดยสารให้ไปสู่สถานีหรือที่มุ่งหมายได้ในที่สุด

"ใบพัด" หรือ "ล้อรถไฟ" นี้ เปรียบเหมือน "ธรรมจักร" ซึ่งหมุนด้วย "ศีล สมาธิ ปัญญา"

"ศีล" เมื่อหมุนไปเพื่อความบริสุทธิ์ ก็ตัด "กามตัณหา" ให้หมดไป เป็น "เนกขัมมสังกัปโป"

"สมาธิ" เมื่อหมุนไปเพื่อความบริสุทธิ์ ก็ตัด "ภวตัณหา" ให้สิ้นไปเป็น "อพยาปาทสังกัปโป"

"ปัญญา" เมื่อหมุนไปเพื่อความบริสุทธิ์

"ตัณหา" ก็หมดไปเป็น "อวิหิงสาสังกัปโป"

ศีล สมาธิ ปัญญา มีส่วนเกี่ยวเนื่องกันเป็น "อัญญมัญญปัจจโย"
"อนันตรปัจจโย" "สตชาตปัจจโย" และ "นิสสยปัจจโย"

เราจะต้องเอาชีวิตของเราฝังแน่นลงไปใน "ธรรม"อย่างเต็มที่จนถึงแก่น จึงจะได้ผล ไม่เวียนกลับมาเกิดอีก.."

ท่านพ่อลี ธัมมธโร
วัดอโศการาม
อ.เมือง จ.สมุทรปราการ








"...นักภาวนาทั้งหลายจะไปยึดเอาภูมิความรู้ที่เป็น
ภาษารู้ขึ้นมาในจิต หรือจะไปยึดเอานิมิตความปรุง
แต่งของจิตเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิบัติสมาธิ
ถ้าไปยึดเพียงแค่นั้นมันก็กลายเป็น วิปัสสนูปกิเลส
ถ้าจิตสงบ สว่างลงไป ไปยึดเอาความสว่างเป็นของ
ดีวิเศษขึ้นมา ก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส

สิ่งที่เป็นนิมิตก็ดี สิ่งที่เป็นความรู้โดยภาษาเกิดขึ้น
ในจิตก็ดี หรืออาจจะมีใครมาแสดงธรรมให้เราฟัง
ก็ดี อันนั้นมันเป็นเพียงอารมณ์จิต เป็นแต่เพียง
อารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ ซึ่งจิตสร้าง
เหตุการณ์นั้นๆ ขึ้นมา เพื่อเป็นการอบรมสั่งสอน
ตัวเอง ถ้านักปฏิบัติท่านใดปฏิบัติแล้วมัวแต่ไปนับ
ขั้นสมาธิ ขั้นญาณ ขั้นฌาน สิ่งรู้สิ่งเห็นทั้งหลาย
ก็ไปติดอยู่ที่ตรงนั้น

เพราะฉะนั้นจะเป็นความรู้ซึ่งเรียกว่า ปัญญา ใน
สมาธิก็ตาม เป็นนิมิตที่เกิดขึ้นก็ตาม ท่านให้กำหนด
หมายเพียงแค่เป็นอารมณ์จิตเท่านั้น จะไปยึดเอาสิ่ง
นั้นเป็นของดีวิเศษ อันนั้นไม่ได้..."

#ที่มา หนังสือ สดใส
พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )
..............................................................







*************ภาวนาตามรู้ความคิด*************

ถ้าขณะจิตของเรามีความคิดก็ปล่อยให้มันคิดไป แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ไป เมื่อกำหนดตามรู้ไปแล้ว ถ้ามันนิ่ง ว่าง ก็ปล่อยให้มันว่าง มันคิดก็ปล่อยให้คิด แต่อย่าไปตั้งใจคิด แต่ถ้ามันคิดขึ้นมาเองแล้วให้ดูมันทันที ไล่มันไปอย่างนี้ โดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีอารมณ์สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จิตของเราก็จะมีความมั่นคงต่อการจดจ้องดูอารมณ์ที่เกิดจากจิต สติสัมปชัญญะก็รู้พร้อมอยู่จิตคิดไปเอง สติกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ แล้วก็มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งซึ่งเรียกว่า “เอกัคคตา” ถ้าจิตดำเนินอยู่ในระดับนี้มีความมั่นคงไม่หวั่นไหว ก็ได้ฌานที่ ๑ ซึ่งเรียกว่า ปฐมฌาน เพราะ
ฉะนั้น จิตเดินขั้นสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี มันก็อาศัยกำลังของฌานนั้นแหละเป็นเครื่องหนุน

ทีนี้เวลาเราพิจารณาไป บริกรรมภาวนาไป ถ้าจิตมันคิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เรารู้สึกไม่สบายใจ บางครั้งจะให้มันหยุดคิดมันไม่ยอมหยุด นั่นคือมันได้วิตก วิตกก็คือความคิด ความคิดอันใด มีสติรู้พร้อมในขณะจิตนั้น เรียกว่า จิตได้วิตก วิจาร เป็นองค์ประกอบของฌาน เป็นองค์ที่ ๑ และองค์ที่ ๒ ของฌาน ทีนี้เมื่อมีฌานประกอบด้วยองค์ ๑ และองค์ ๒ แล้ว จิตมันซึมซาบในอารมณ์ของฌานนั้น มันก็เกิดมีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง จิตกำหนดรู้อารมณ์จิตอยู่ ตัวคิดก็คิดไป เพลินๆๆ สนุกไปๆ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
หนังสือฐานิยปูชา ๒๕๖๒
หน้า ๖๑-๖๒









โอวาทธรรม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

จาก จิตคือพุทธะ
>>>>>>
"ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูปตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 กองนั้น รวมกันเข้าเรียกว่า จิต
จึงมีสำนักงานของจิตติดอยู่ในวิญญาณ 5 กองรวมกัน เป็นที่ทำงานของจิตกลาง
แล้วไปติดต่อกับตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต
ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน
จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด
ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้"







“สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมนั้นแล้ว ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง พระองค์จึงเปลืองคำสอนไว้มากถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ เมื่อมีนักปราชญ์ฉลาดสรรหาคำพูดให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะอธิบายสัจธรรมนั้นนำมาแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจธรรมด้วยกัน เราย่อมจะต้องอาศัยแนวทางในสัจธรรมนั้น ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดนำแผ่ออกไปอีก โดยไม่ได้คำนึงถึงคำพูด หรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะตัวใดเลยแม้แต่น้อยเดียว”

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์








"ขอท่านทั้งหลาย "อย่าทะนงตัวว่าท่านดี"
ถ้าท่านทะนงตัวว่าดีเมื่อไหร่ #พังเมื่อนั้น
เมื่อดีแล้ว จงรักษาความดีไปด้วยจริยาอันสงบ
จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าเรายังไม่ดีพอ

ตามคติที่กล่าวว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ
จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวไว้ อย่าคิดว่าตัวดี."

หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง







#เราก็เคยเชื่อกิเลสมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว
ยังไม่เบื่อไม่พออยู่เหรอ แม้แต่อาหารเขารับประทานตอนเช้า ตอนเย็นมารับประทานอาหารประเภทเก่าเขายังเบื่อ เพราะอะไร เพราะอาหารนี้ก็ได้รับประทานแล้วเมื่อเช้านี้ รับประทานซ้ำๆ ซากๆ มันก็เบื่อ กิเลสนั่นเล่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง มันซ้ำๆ ซากๆ มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ทำไมไม่เห็นเบื่อ ทำไมไม่เห็นโทษของมัน นี่ก็เพราะกลอุบายของมันที่หลอกไว้อย่างแนบสนิทที่สุด เราจึงเพลินไปไม่มีคำที่จะรู้สึกตัวพอที่จะให้เกิดความเบื่อหน่ายอิ่มพอกับสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเดนไปแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นเดนถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วใหม่เอี่ยม ใหม่เอี่ยมทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงได้ติดจมกัน และยิ่งหมุนตัวเข้าไปไม่มีวันที่จะลดหย่อนผ่อนตัวเลยนะนี่ ถ้าเป็นรถก็ไม่มีเบรก มีแต่คันเร่ง เร่งจนกระทั่งจมลงในคลอง เดี๋ยวนี้กำลังกิเลสมันหมุนตัวเข้าสู่หัวใจของสัตว์ ด้วยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทุกสิ่งทุกอย่างมาทั้งทางนอกมาทั้งทางใน เอาเข้ามาหลอกกัน ต่างคนต่างหลอก หลอกกันไป สุดท้ายก็จมไปด้วยกัน ไม่มีใครที่จะยิ่งหย่อนกว่ากันแหละ ขั้นที่ผู้ปฏิบัติตามกิเลสหลอกลวงนี้มันต้องเป็นอย่างนั้น

เราเป็นนักธรรมะผู้ปฏิบัติธรรมะ ทำไมไม่เอาธรรมะเข้าไปจับมันบ้างล่ะ เมื่อจับแล้วทำไมจะไม่รู้ไม่เห็น ของจริงมีอยู่ต้องเห็นของจริง ของปลอมมันก็มีอยู่ทำไมจะไม่เห็นของปลอม แล้วทำไมมันจะแยกกันไม่ออกล่ะ เมื่อทราบว่าของจริงของปลอมชัดเจนแล้วต้องแยกออกซิ นี่เราจะแยกด้วยอรรถด้วยธรรมแยกไม่ได้ยังไงพระพุทธเจ้าพาแยกมาแล้ว สาวกทั้งหลายท่านพาแยกมาแล้ว ต้องแยกได้ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม

เพราะฉะนั้นจึงอย่าพากันมานอนจมอยู่เฉยๆ มาปฏิบัติธรรมอย่าให้หนักอกหนักใจ ในการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เอาจริงเอาจัง พอฉันเสร็จแล้วต่างองค์ต่างให้หลีกไปสู่ที่ประกอบความพากเพียร ให้ทำหน้าที่ของตนด้วยการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา อันเป็นหน้าที่ของพระโดยตรงโดยสมบูรณ์ อย่าให้บกพร่องในทางความเพียรเหล่านี้ สิ่งใดจะขาดเขินบกพร่องก็ตาม โลก อนิจฺจํ นี้เรายกให้ พออาศัยไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น การอยู่การขบการฉันก็เห็นไหม อาหารการบริโภคมันเหลือเฟือล้นท่วมจนจะตาย ไม่ทราบว่าน้ำส้มน้ำหวานน้ำอ้อยน้ำตาล น้ำพริกน้ำแกง ท่วมอยู่ทุกวันๆ จนกระทั่งธรรมงอกไม่ได้เกิดไม่ได้ ล้มละลายไปหมดในหัวใจ หากจะพอมีบ้างนะ นี่มันไม่มีอะไรให้ท่วมน่ะซีธรรม มีแต่กิเลส มันจึงพอกพูนเอาๆ โลภจนไม่มีเมืองพอ นั่นเป็นอย่างนั้น พิจารณาซิ

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐
#อวิชชาเป็นต้นเหตุ







“ เราอย่าไว้ใจคนอื่นเลย เมื่อเราตายแล้วเขาจะทำบุญหาอย่างนี้นะ ไม่ควรคิดอย่างนั้น
เผื่อว่าเขาไม่ทำให้ล่ะ เราก็ยากเราก็ลำบากสิ
บัดนี้นะ เราจะไปไว้ใจคนได้ไงล่ะ
แต่ใจตัวเอง ตัวเองก็ยังห้ามไม่ได้อยู่แล้ว
ฉะนั้น อย่าไปไว้ใจคน มันจะจนใจเอง

#เพิ่นว่าเราทำเอาเสียแต่ยังชีวิตอยู่นี้
#ทำเอาให้เต็มความสามารถซิ
#เรามีช่องทางไหนที่จะก่อให้เกิดบุญเกิดกุศล
เราก็ทำเองแหละ...

มันเป็นอย่างนั้น เมื่อเราทำถูกทางแล้ว
กุศลมันก็เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
นี่หมายความว่า #ชีวิตของคนเรานี่
#จะมีความสุขมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับบุญกุศลโดยตรง

บุญกุศลที่เป็นหนทางไปสู่โลกุตตรธรรมก็มี
บุญกุศลที่นำจิตวิญญาณนี้ไปเกิดสวรรค์ชั้นฟ้าก็มี
บุญกุศลที่นำดวงจิตวิญญาณนี่ให้เกิดเป็นคนอีกก็มี
#มันแล้วแต่ใครสร้างบุญมากน้อยเพียงใด
#บุญมันก็แต่งให้ตามกำลังของบุญที่ผู้นั้นทำนั่นแหล่ะ”

ธรรมเทศนา
พระคุณหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย








"...เมื่อเวลามีลาภ มียศมาก็ดีอกดีใจ
ถ้าเวลาเสื่อมลาภเสื่อมยศ ก็เสียใจ
เศร้าโศก นี่เรียกว่าคนผู้ถูกโลกธรรม
ครอบงำจิตใจ ย่อมมีแต่ความทุกข์
ความโศกเป็นอย่างงั้น

ถ้าหากว่าเรามีอุบายรู้เท่าว่า ลาภ ยศ
สรรเสริญ สุข ทุกข์ ทั้งหลายเหล่านี้
นินทาว่าร้ายต่างๆ มันเป็นธรรมประจำ
โลก ธรรมเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง
เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ก็ต้องพิจารณาให้
เห็นอย่างนี้..."

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย








"...ผู้ปฏิบัติ พึงใช้อุบายปัญญา ฟังธรรมเทศนา
ทุกเมื่อ ถึงจะอยู่คนเดียว ก็ตาม คืออาศัยการสำเหนียก กำหนดพิจารณาธรรมอยู่ ทั้งกลาง
วัน และกลางคืน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็น
รูปธรรมที่มีอยู่ปรากฎอยู่

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) ก็มีอยู่
ปรากฏอยู่ ได้เห็นอยู่ได้ยินอยู่ได้สูดดมลิ้มเลีย
และสัมผัสอยู่ จิตใจเล่า ก็มีอยู่ ความคิดนึกรู้
สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้าย ก็มีอันมี อยู่
โดยธรรมดา

เขาแสดงความจริง คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
และเป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ เช่นใบไม้ เหลืองหล่นร่วงจากต้น ก็แสดงความไม่เที่ยงให้
เห็นได้ดังนี้ เป็นต้น เมื่อผู้ปฏิบัติมาพินิจพิจารณา
ด้วยสติปัญญา โดยอุบายนี้อยู่เสมอ แล้วชื่อว่า
ได้ฟังธรรมอยู่..ทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืน..."

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







#สันตุสสโกวาท
“ทุกข์อยู่ที่ใจ”

ถ้าหากว่าจิตใจของเราปรุงฟุ้งซ่าน ถึงจะไปอยู่ ณ สถานที่ใด
นอนอยู่ในกองเงินกองทอง ก็ร้องครวญครางอยู่ในกองเงินกองทองนั้นแหละ
ทำไมจึงพูดอย่างนั้น พวกเราได้ยินไหม พวกเศรษฐีรวยๆ
บางทีฆ่าตัวตายก็มี โดดตึกตายก็มี เพราะเหตุไร
ก็เพราะใจมันทุกข์ ใจมันทุกข์
เพราะใจมันคิด ปรุงฟุ้งอยู่ตลอดเวลา ใจไม่สงบ
ถ้าจิตใจสงบแล้วอยู่ตามโคนต้นไม้ ไม่มีสมบัติอะไรก็มีความสุข
อย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย
ที่ท่านไปบำเพ็ญอยู่ในป่าดงพงไพร
มีแต่อัฐบริขาร ๘ เท่านั้นล่ะ นั่งอยู่ตามลำพัง
แต่ทำจิตใจให้สงบ จิตใจให้นิ่ง ดูจิตใจของตนเอง
อาหารก็ไม่จำเป็นอะไรมาก
อย่างมื้อเช้าเรารับประทานอาหารเพียงจานเดียวก็อิ่มแล้ว
แต่ว่าความโลภมากมายมหาศาล
หาเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ เพราะความโลภ
แต่ว่าอาหารในท้องของเราจริงๆก็ไม่มากเท่าไหร่
ทานอาหารหน่อยเดียวก็อิ่ม พออิ่มแล้วก็ได้อีกหนึ่งวัน
อย่างพระสงฆ์เผลอๆยังอดอาหารอีก ตั้งหลายวัน ก็ยังอดได้อีก
เพราะดูตัวเองการภาวนา
อันนี้ก็คือให้รู้จักกาย ให้รู้จักใจ สรุปแล้ว
กาย กายคืออะไร คือร่างกายของเราที่มองเห็น คือกาย
แต่ใจคือตัวนามธรรม ตัวผู้รู้ ตัวนั้นใหญ่กว่า
พระพุทธเจ้ายกโป้ง ยกนิ้วให้เลยว่างั้นเถอะ
ถึงว่า มโน ปุพพังคมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโนมยา
เรื่องทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วด้วยใจ
แปลว่ายกให้ทั้งหมดเลย ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านยกให้ทั้งหมดเลยยกให้ใจ ยกให้ตัวนามธรรม
ตัวผู้รู้สึกนึกคิดตัวนั้นน่ะ ให้พวกเราศึกษาทีนี่
จะทำยังไง ถึงจะจับตัวผู้รู้ คือใจตัวปรุงฟุ้งให้มันอยู่นิ่งให้ได้
ถ้ามันนิ่งให้ได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ
นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
พอเราจับตัวนามธรรมตัวผู้รู้ให้อยู่หมัดแล้ว
ให้อยู่นิ่งได้แล้ว จะมีความสุจในการเป็นอยู่ทุกอิริยาบถของแต่ละท่านแต่ละคนนะ

โดย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “เมตตาธรรม นำโลกให้ร่มเย็นเป็นสุข”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๒


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO