พระพุทธองค์ตรัสว่า "ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ" วิญญูชนทั้งหลายรู้เฉพาะตนก็ต้องหาเอาจากเจ้าของให้รู้จากตัวเองนี้แหละ
ถ้าเชื่อตัวเองก็รู้สึกสบาย เขาว่าไม่ดีก็สบาย เขาว่าดีก็สบาย เขาจะว่าอย่างไรก็สบายอยู่ เพราะอะไรจึงสบาย เพราะรู้ตัวเอง ถ้าคนอื่นว่าเราดีแต่เราไม่ดีเราจะเชื่อเขาอย่างนั้นหรือ เราก็ไม่เชื่อเขา เราปฏิบัติของเราอยู่ คนไม่เชื่อตนเองเมื่อเขาว่าดีก็ดีตามเขาก็เป็นบ้าไปอย่างนั้น ถ้าเขาว่าชั่วเราก็ดูเรามันไม่ใช่หรอก เขาว่าเราทําผิดแต่เราไม่ผิดดังเขาว่า เขาพูดไม่ถูกก็ไม่รู้จะไปโกรธเขาทําไม เพราะเขาพูดไม่ถูกตามความเป็นจริง ถ้าเราผิดดังเขาก็ถูกดังเขาว่า แล้วไม่รู้จะไปโกรธเขาทําไมอีก ถ้าคิดได้ดังนี้รู้สึกว่าสบายจริงๆ มันเลยไม่มีอะไรผิด ล้วนแต่เป็นธรรมทั้งหมด อาตมาปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้มันลัดตรงจริงๆ แม้จะเอาธัมมะธัมโมหรืออภิธรรมมาเถียง อาตมาก็ไม่เถียงไม่เถียงหรอก ให้แต่เหตุผลเท่านั้น
ให้เข้าใจเสียว่า เรื่องปฏิบัตินี้พระพุทธเจ้าให้วางทั้งหมด วางอย่างรู้มิใช่ว่าวางอย่างไม่รู้ จะวางอย่างควายอย่างวัวไม่เอาใจใส่อย่างนี้ไม่ถูก วางเพราะการรู้สมมติบัญญัติความไม่ยึด
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
#บ้านไหนมีบุญเรารู้ได้ คนในบ้านรู้จักเคารพพ่อแม่ เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ทำอะไรก็มีความสุข มีความหมาย คนไม่รู้จักบุญก็วุ่นวายอยู่นั่น จะทำบุญแต่ละครั้งต้องฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ไม่รู้จักเสียเลยจริงๆ บุญไม่ลำบากอย่างนั้นนะ ง่ายๆทำไปแล้วสบาย คิดขึ้นมาตอนไหนก็สบายใจ จะอยู่บ้านไหนเมืองไหนก็สบาย ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าเข้าถึงธรรมะแล้วเป็นอย่างนั้น.
จากหนังสือกบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว จัดพิมพิ์โดย วัดหนองป่าพง โอวาทธรรม : หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
"..อันนี้พระพุทธเจ้าก็ว่าอยู่ กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นลาภใหญ่ เกิดมาชาติหนึ่ง ๆ แสนทุกข์แสนยากแสนลำบาก เราได้มาแล้ว เราเป็นผู้ไม่ประมาท รีบเร่งเอาทรัพย์ภายในไว้เสีย ความได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นลาภอันสำคัญ มนุษย์เป็นชาติอันสูงสุด เป็นสัตว์ใจสูง มีเมตตาซึ่งกันแลกัน ได้สมบัติมาดีแล้วก็รีบเอามัน รับทำเอาเสีย อบรมบ่มอินทรีย์ให้มันแก่กล้า แก่กล้ามันสุก สุกมันก็ดี หมากไม้มันสุกมันก็หวานไม่ใช่สุกแกมดิบ นอกจากอัตภาพร่างกายของเราแล้วสิ่งอื่นไม่มีเรื่องนอกธรรม เรื่องข้างนอกกว้างขวาง ต้องเข้ามาพิจารณาแต่กายกับใจของเราเท่านั้น อันนี้ได้ชื่อว่าเข้ามาใกล้แล้ว ใกล้เข้ามาทุกที ใกล้ทางพระนิพพาน เป็นผู้อยู่ต้นทางพระนิพพานก็ว่าได้ เป็นผู้ไม่ประมาท เข้าใกล้เข้าทุกที ๆ ครั้นบารมีของเราพร้อมบริบูรณ์แล้วก็สามารถที่จะพิจารณาได้.."
อนาลโยวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู (พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)
"..ท่านว่า กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม ทำกรรมแล้วย่อมได้รับผลของกรรม แล้วก็ดีชั่วไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ตลอดมา ท่านเรียกว่าวัฏวน ๓ กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ ในคัมภีร์บอกไว้ กิเลสวัฏฏ์ คือกิเลสตัวนี้เป็นเครื่องหนุนให้ทำกรรม ดีชั่วออกละที่นี่ ทำกรรมแล้วย่อมได้รับผลของกรรม สุขทุกข์ไปเรื่อย ๆ กิเลสเป็นต้นเหตุให้ทำกรรม อันสองก็เรียกว่าทำกรรม อันสามก็เรียกว่าผลของกรรม ท่านว่า วัฏวน ๓ ไม่มีทางออก เหมือนมดไต่ขอบด้ง มีธรรมเท่านั้นมาดึงออกได้ นอกนั้นไม่มี สามแดนโลกธาตุเป็นขอบด้งของกิเลสทั้งหมด ธรรมที่จะเข้าไปทำลายขอบด้งนี้ขาดออกแล้ว สัตว์ก็ออกได้ ๆ นอกนั้นไม่มี บอกว่าไม่มีเลย.."
พระธรรมเทศนา เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๕ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี (พ.ศ.๒๔๕๖-๒๕๕๔)
"..เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัยก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ.."
#พระธรรมคำสอน พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) วัดถ้ำผาปล่องอ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๕๒–๒๕๓๕)
"..พึงเป็นคนมีสติ อย่าถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง ความเสื่อมปัญญา นักปราชญ์ท่านติเตียน ความเจริญปัญญา เลิศกว่าความเจริญทั้งปวง การปฏิบัติเป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์ สติปัฏฐาน เป็นชัยภูมิ คือสนามฝึกตน พละธรรม ๕ ใครไม่เหินห่าง ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ขาดทุนและล่มจม.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
"... ให้แสวงหาที่สงัดวิเวก เร่งทำความเพียร ... ภาวนาอย่างหนัก อย่าประมาท การทำ ... ความเพียร ให้ปฏิบัติจนเกิดความเคยชิน ... ไม่เลือกกาลเวลาหรือสถานที่ ..." ____________ โอวาทธรรม ::/..... #หลวงปู่ชอบ_ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย ( พ.ศ.๒๔๔๔ - ๒๕๓๘ )
"ธรรมะ คือ ดับความโกรธ ดับความโลภ ดับความหลง คือ รู้ทันใจเราบ้าง นั่นเขาเรียกว่าเป็นคนมีธรรมะประจำใจ คนที่ไม่มีธรรมะประจำใจ หมายถึง คุยธรรมะได้ แต่ทำใจไม่ได้"
หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
"ถ้าคนไม่ต้องการพลาด ก็ไม่ต้องทำอะไร เมื่อทำ ก็ต้องมีการพลาดอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ ก็อาศัยความพลั้งพลาดแต่ละครั้งเป็นบทเรียน ที่เราต้องจำ รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักจดรู้จักจำ ในสิ่งที่เราพลาดไปแล้ว ต่อไปเรื่องอย่างนี้ ก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก ถือความพลาดพลั้ง เป็นบทเรียน ถือเป็นครู เป็นอาจารย์ ที่จะบอกสอนตัวเราว่าต่อไป อย่าให้พลาดอีก อย่าให้ผิดอีก"
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
"ชีวิตมนุษย์นั้น มีขึ้นมีลง วันนี้สูงส่งพรุ่งนี้อาจตกต่ำ ไม่มีสิ่งใดแน่นอนหรือยั่งยืนได้เลย หมั่นทำความดี หรือสร้างบุญกุศลไว้ให้มากๆ เถิด แม้ยามที่ชีวิตตกต่ำ ก็จะมีบุญกุศลหนุนนำช่วยให้พ้นจากความมืดมิด ได้อย่างแน่นอน บุคคลที่เป็นคนดีนั้น ย่อมเป็นที่รัก ไปทั้งสามโลก"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
|