Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

การปฏิบัติสมาธิ

อาทิตย์ 29 ธ.ค. 2024 8:14 am

"..ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







การปฏิบัติ ต้องตั้งใจและพยายาม
พระกรรมฐาน พระธุดงค์นี่ ไม่ใช่ว่าท่านพูดตามตำรา ท่านพูดตามความรู้ ความเห็นจากใจให้ฟัง

ความโลภ" เวลามันเกิดในใจไม่เหมือนตัวหนังสือ เวลาโกรธก็เหมือนกันเขียนใส่กระดานดําเป็นอย่างหนึ่งมันเป็นตัวอักษร เวลามันเกิดในใจอ่านอะไรไม่ทันหรอก มันเป็นขึ้นมาที่ใจเลย สําคัญนัก สําคัญมาก

ปริยัติเขียนไว้ก็ถูกอยู่ แต่ต้องโอปนยิโกให้เป็น คนน้อมถ้าไม่ น้อมก็ไม่รู้จักจริงๆ มันไม่เห็น อาตมาก็เหมือนกันไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก เคยสอบปริยัติธรรมมีโอกาสได้ไปฟังครูบาอาจารย์เทศน์ให้ฟังจนจะเกิดความประมาท ฟังเทศน์ไม่เป็น พวกพระกรรมฐาน พระธุดงค์นี่ไม่รู้พูดอย่างไรพูดเหมือนกับมีตัวมีตนจริงๆ จะไล่เอาจริงๆ ต่อมาค่อยทําไป ปฏิบัติไปๆ จึงเห็นจริงตามที่ท่านสอน ท่านเทศน์ให้ฟังก็รู้เป็นเห็นตามมันเป็นอยู่ในใจของเรานี่เอง ต่อไปนานๆ จึงรู้ว่ามันก็ล้วนแต่ท่านเห็นมาแล้ว ท่านเอามาพูดให้ฟังไม่ใช่ว่าท่านพูดตามตำรา ท่านพูดตามความรู้ ความเห็นจากใจให้ฟัง เราเดินตามก็ไปพบที่ท่านพูดไว้หมดทุกอย่าง จึงนึกว่ามันถูกแล้วนี่ จะอย่างไหนอีก เอาเท่านี้แหละ อาตมาจึงปฏิบัติต่อไป

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)







ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองมืดแปดด้าน ก็ไม่ต้องท้อ ขอให้ตั้งใจพัฒนาตนให้มืดแค่เจ็ดด้านเสียก่อน จากนั้นให้มืดหกด้าน แล้วห้าด้าน สี่ด้าน...วันใดวันหนึ่งจะตื่นขึ้นมา สว่าง

พระอาจารย์ชยสาโร






#พูดดีเข้าใจง่าย_พูดร้ายเข้าใจยาก

คนที่ฉลาดแล้ว สอนไม่มากหรอก ถ้าคน
ไม่ฉลาด สอนมากแค่ไหน..ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่มันเกี่ยวกับคนสอนด้วยนะ

โดยมาก..คนเราเวลาไม่สบายใจ จึงสอน
อย่างเราจะสอนลูกเรา เราโกรธแล้วจึงสอน มันก็ด่ากันเท่านั้นหล่ะ
ไม่ยอมสอนกันดี ๆ หรอก ก็คนใจไม่ดี ไป
สอนกันทำไม

อาตมาว่า.. อย่าไปสอนในเวลานั้น ให้ใจมันสบายก่อน
มันจะผิดอย่างไรก็เอาไว้ก่อน ให้มันใจดี ๆ
ซะก่อน

นี่โยมจำไว้นะ อาตมาสังเกตโยมสอนลูกแต่เวลาโมโหเท่านั้นละ
มันก็เจ็บใจละซิ เอาของไม่ดีให้เขา.. เขาจะ
เอาทำไม
ตัวเราก็เป็นทุกข์ ลูกเราก็เป็นทุกข์ นี่มันเป็นอย่างนี้

คนเรามันชอบดี ๆ ทั้งนั้นละ
แต่ความดีเราไม่พอ ให้ความดีมันไม่เป็นเวลา
ไม่รู้จักบทบาท ไม่รู้จักกาลเวลา มันก็เป็นไป
ไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น

อาหารที่มันอร่อย เราต้องทานทางปาก มัน
จะเกิดประโยชน์
ลองเอาเข้าทางหูซิ มันจะเกิดประโยชน์ไหม อาหารอร่อย ๆ จะมีประโยชน์ไหม
คนเรามันมีประตูเหมือนกันละ ต้องเข้าหาประตู ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น
------------------------------
#พระโพธิญาณเถระ
(หลวงพ่อชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง
จังหวัดอุบลราชธานี (พ.ศ.๒๔๖๑ -​ ๒๕๓๕)






"เหล่านี้ เป็นสมบัติของโลก
คือเมื่อธรรมไม่มี ในใจ
จะคว้าตลอดเลย คว้าสิ่งเหล่านี้ตลอด

พอธรรม มีในใจมากน้อย ๆ
จะปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา
พอธรรมเต็มหัวใจ ปล่อยหมด...
โดยสิ้นเชิง ไม่มี...อะไรสู้ธรรมได้

ธรรมเลิศเลอสุดยอด
พอเข้าถึงธรรม แล้ว...ปล่อยหมด."
________________________________________
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.








"หากเราจะไปพิจารณาตาม
พระโอวาท ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงสอนเอาไว้ว่า...
ศีล อบรมสมาธิ
สมาธิ อบรมปัญญา
ปัญญา อบรมจิต
ในเมื่อเรามาพิจารณาถึงพระโอวาทในข้อนี้แล้ว ได้ความว่า...
ถ้าสมาธิไม่มี ฌานจะมีไม่ได้
เมื่อฌานไม่ได้ ญาณจะมีไม่ได้
เมื่อญาณไม่มี ปัญญาจะมีไม่ได้
ปัญญาไม่มี วิปัสสนาจะมีไม่ได้

ในเมื่อวิปัสสนา...ไม่มี
วิชชา ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นคุณธรรม ที่หนุนเนื่องกัน"

---------------------------------------------------------------------
พระธรรมคำสอน…หลวงพ่อพุธ ฐานิโย.








#การรู้โดยไม่คิดเองคือการเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด

"...ตราบใดที่ยังเห็น ว่า จิต คือตัวเรา เป็นของ ของเรา เราที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น ตราบนั้น ตัณหาหรือสมุทัย ก็จะสร้างภพของจิต ว่างขึ้นมาร่ำไป ขอย้ำว่าขั้นนี้ จิต จะดำเนินวิปัสสนาไปเอง ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยที่จงใจ หรือตั้งใจบรรลุมรรคผล นิพพานได้ มีแต่จิต เค้าปฏิบัติตนเองไป เท่านั้น

เมื่อจิตทรง ตัวรู้แต่ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้งจะมีบางสิ่งผุดขึ้นมา สู่ภูมิรู้ ของจิต แต่จิตไม่สำคัญมั่นหมายว่ามันคืออะไรเพียง แค่รู้ เฉย ๆ ถึงความเกิดดับนั้น เท่านั้น ในขั้นนี้ เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียดที่สุด ถึงจุดหนึ่ง จิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง

การเข้า สู่มรรคผลนั้นรู้มีตลอด แต่ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมาย ในสังขารละเอียด คือความสงบอันประณีต ที่ผุดขึ้นมานั้น เมื่อจิตถอนออกจากอริยะมรรค และอริยะผลที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็นอย่างนี้

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป ธรรมชาติบางอย่าง
มีอยู่ แต่ก็ ไม่มีความเป็นตัวตนสักอณูเดียว นี้เป็นการรู้ธรรม ในขั้นพระโสดาบัน คือ ไม่เห็นว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่ตัวจิตเอง เป็นตัวเรา แต่ความยึดถือ ในความเป็นเรายัง มีอยู่ เพราะ ขั้นความเห็น
กับความคิด นั้นมันคนละขั้นกัน..."

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล







ชีวิตของพวกเรา ถ้าน้อยหนุ่มก็ไม่เป็นไร แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรประมาท เพราะชีวิตของพวกเราไม่ได้บอก ไม่ได้ตราเอาไว้ว่า ชีวิตของท่านจะต้องเท่านั้นจึงจะจากไป ก็ไม่มีใครที่จะประทับตราให้มั่นคงถึงขนาดนั้น พร้อมที่จะไปได้ทุกเวล่ำเวลาทุกโอกาส ยืมวันอยู่ทุกคน แต่ว่าก็มีโอกาสมากกว่าผู้สูงอายุ

แต่ผู้สูงอายุอย่างหลวงพ่อนี่ จะอยู่นานสักเท่าไหร่ คนอายุ ๘๐ เป็นยังไง เป็นบทเรียนมองดูเห็นแล้วก็รู้แก่ใจว่าคืออะไร แต่ลูกหลานก็มองเห็นว่า คงจะมีความสุขกายสบายใจ อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าผู้สูงอายุอย่างหลวงพ่อ หลวงพ่อมองเห็นชัดเจน ถึงใครจะยกย่อง บอก โอ้ หลวงพ่อสุขภาพดี ไม่เปลี่ยน ไม่ต่างเก่า เขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แต่ในใจของหลวงพ่อ ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งกว่าตัวของเรา เรารู้กับตัวของเราเอง มันไม่เหมือนเก่า เราต้องรู้ มันก็ไปตามสภาพของมัน อย่าตั้งอยู่ในความประมาท

สรุปแล้ว ขอให้พวกคณะศรัทธาญาติโยมลูกหลานทุกคน ที่หลวงพ่อพูดทั้งนี้ทั้งนั้น หลวงพ่อกล่าวย้ำเตือน ขอให้พวกเราอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ให้สั่งสมคุณงามความดี สั่งสมบุญกุศล เก็บหอมรอมริบ ไปเรื่อยๆ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “จงเตือนตนด้วยตนเอง”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗







..โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

" ธรรม แม้จะมีเต็มไปทั่วทั้งโลกธาตุ
ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรม
ธรรมก็อยู่แบบธรรม สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก
โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่า จะสิ้นสุดทุกข์กันลงได้เมื่อใด "

จากประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี






-โลกนี้คือสภาวธรรม

"โลกนี้ คือกายกับใจ
สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย
ที่เรารู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นั้น...
คือโลก โลกทั้งหลายนี่พระพุทธองค์ทรง
บัญญัติศัพท์ เรียกว่า...สภาวธรรม

สภาวธรรม เป็นสิ่งที่เกิดเอง เป็นเอง
เกิดเอง ดับเอง หมายถึงความคิดที่มันปรุงแต่ง
มันเกิดขึ้นเอง...ดับไปเอง
บางที เราก็ตั้งใจคิด
บางที เราไม่ได้ตั้งใจคิด มันก็คิดอยู่...ไม่หยุด

ทางปฏิบัติ ก็กำหนดสติตามรู้มันไป
มันจะคิดอย่างไร คิดดี คิดชั่ว
คิดเรื่องโลก เรื่องธรรม ปล่อย...ให้มันคิดไป
แต่เราเอาสติ ตัวเดียว
แล้วในที่สุด...ธรรมชาติของจิต
ถ้ามีสิ่งรู้ สติ...มีสิ่งระลึก มันจะเพิ่มพลังงาน
มากขึ้นๆ

เพราะฉะนั้น...
การปฏิบัติสมาธิ คือการทำจิตให้มีสิ่งรู้...
สติ มีสิ่งระลึกจะเป็นอะไร ก็ได้
จิต เรานึกถึงอะไร ให้มีสติ...
นึกถึงลูก ให้มีสติ
นึกถึงครอบครัว ให้มีสติ
นึกถึงงาน ให้มีสติ
เอาสติ...ตัวเดียวเท่านั้น ทีนี้ สิ่งรู้ของจิต
คือสภาวธรรมที่มันจะแสดงความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เรารู้

ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะ ของเรามั่นคง
มันก็กลายเป็นปัญญา มันจะมองดูอะไรทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มีในจักรวาลนี้...เป็นธรรมทั้งหมด"
----------------------------------------------------------------------หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน.






ในความสงบนั้น สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี แต่มนุษย์เรานั่นแหละจะอดสุขไม่ได้ เพราะเห็นว่าความสุขเป็นยอดของชีวิตแล้ว แม้พระนิพพานก็ยังมาว่าเป็นความสุขอยู่ เพราะความคุ้นเคย ตามเป็นจริงแล้ว เลิกสิ่งทั้ง ๒ อย่างนี้ ก็เป็นความสงบ

หลวงปู่ชา สุภัทโท






"การรู้ธรรม เห็นธรรม
หมายถึงมีสติรู้...เท่าทัน

รู้เท่าทันความคิด และอารมณ์
ที่เกิดขึ้นในจิต ในปัจจุบัน...
แม้ว่าเราจะไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ตาม
ถ้าความคิดของเรา เกิดขึ้น...

จิตมีสติ...กำหนดตามรู้
สามารถประคับประครองจิต ให้อยู่...
ในสภาพปกติได้ตลอดเวลา
อันนี้ คือ...
สิ่งที่เราจะพึงได้ จากการปฎิบัติธรรม

เรามุ่ง สู่...จุดที่เราเรียกว่าสติสัมปชัญญะ
ในเมื่อสติสัมปชัญญะ
ตัวนี้ กลายเป็นมหาสติ
เป็นสติพละ
เป็นสตินทรีย์
เป็นสตินวินโย

ตัวสติสัมปชัญญะ
จะกลายเป็นองค์ แห่ง...ปัญญา."
---------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน.







#รู้ทันมันก็ดับไปเอง

ระหว่างที่หลวงปู่อยู่รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น มีผู้ไปกราบนมัสการและฟังธรรมเป็นจำนวนมาก คุณบำรุงศักดิ์ เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนา นัยว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ แห่งวัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นวัดปฏิบัติที่เคร่งครัดฝ่ายธุดงคกัมมัฏฐานในยุคปัจจุบัน ได้ปรารภการปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ ถึงเรื่องการละกิเลสว่า

“หลวงปู่ครับ ทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้”

หลวงปู่ตอบว่า
“ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง”

พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

ที่มาของบทความ : หนังสือ “อตุโล ไม่มีใดเทียม” ประวัติ ปฏิปทา และคำสอน พระราชวุฒาจารย์ (ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ หน้า ๕๑๙






"..ถ้าหาความสุขจากความมัวเมา ท่านกำลังจะจับเงาในกระจก
ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ อย่าเหยียดหยามคนอื่น
ถ้าอยากมีความรู้ อย่าลบหลู่อาจารย์
ถ้าอยากหาความสำราญ อย่าผลาญสมบัติ
ถ้าอยากเป็นคนมีอำนาจ อย่าขาดความยุติธรรม
ถ้าอยากเป็นคนดัง อย่าหวังความสงบ
ถ้าอยากเป็นคนงาม อย่าวู่วามโกรธง่าย.."

#กระแสใจกระแสธรรม
๗ ธ.ค. ๒๓
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)








***********ภูตผี เทวดา มีจริงหรือไม่***********

ภูตผี เทวดา นี้มีจริง ถ้าใครยังไม่เคยโดนผีตบหน้า ก็ปฏิเสธว่าไม่มี ถ้าใครไม่เห็นผีเป็นแต่เพียงรับฟังไว้ อย่าปฏิเสธและรับรอง เพราะในโลกนี้สิ่งที่เรายังศึกษาไม่ถึงและมองไม่เห็นยังมีอยู่ ถ้าหากว่าภูตผีปีศาจ เทวดาไม่มี คัมภีร์ท่านไม่เขียนไว้หลอกเด็ก ผู้ที่เขียนคัมภีร์ว่า ภูตผีปีศาจ เทวดา มีนี้ เป็นผู้ที่เคยสัมผัสเห็นภูตผีมาแล้ว พระภูมิเจ้าที่ก็เป็นพวกภูมิเทวดา เราถือว่าเป็นเทวดาผู้รักษาผืนแผ่นดินนี้ เราไปปลูกบ้านปลูกช่องอยู่ แล้วเราตั้งศาลพระภูมิเอาไว้เป็นหลักบ้านหลักเมือง อันนี้เป็นจารีตประเพณีของเราซึ่งปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ

แต่การตั้งศาลพระภูมิก็มีทั้งผิดและถูก เพราะคนเรายังมีความเห็นไม่ลงรอยกันอยู่ ถ้าใครเห็นดีเห็นชอบก็ว่ามันถูก ใครไม่เห็นชอบก็ว่ามันผิด ตอบเอาอย่างนี้ดีกว่า

ถ้าใครจะปฏิบัติกับพระภูมิ ควรจะปฏิบัติอย่างนี้ จะไปจุดธูป จุดที่บนที่บูชาหรือเช่นสังเวยอะไรก็แล้วแต่ ทำไป แต่เมื่อทำบุญ ทำกุศลสิ่งใดแล้ว อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พระภูมิบ้าง บอกว่าเราได้ทำบุญอย่างนั้นๆ เรามาจุดธูปนี้ เรามาบอกข่าวบุญให้ท่านทราบ เราได้ตักบาตร เราได้บวชพระ เราได้ฟังเทศน์ เราได้ทำสมาธิ เราขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ท่าน ท่านทราบแล้วจงอนุโมทนา อนุโมทนาแล้วไปเกิดดีถึงสุข อย่ามานอนคุดคู้อยู่ในกระท่อมเล็กๆนี้ มันไม่สบาย บอกท่านอย่างนั้น

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
สหนังสือฐานิยปูชา ๒๕๖๓
หน้า ๕








องค์แห่งการบรรลุเป็น “พระโสดาบัน”
.
…. “ ทีนี้ จะดูกันต่อไปให้ละเอียด โดยเฉพาะที่ผู้รู้ ก ข ก กา ของนิพพาน กล่าวคือ พระโสดาบัน นั้น เรื่องเกี่ยวกับพระโสดาบันนี้ก็มีตรัสไว้มากมาย, อย่างไรเรียกว่าเป็น พระโสดาบัน นี้ก็ตรัสไว้มากมาย เรียกว่า
“#โสตาปัตติยังคะ” แปลว่า องค์แห่งการบรรลุความเป็นพระโสดาบัน
…. องค์แห่งความเป็นพระโสดาบันนี้มีมาก และที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่บ่อยๆ นั้น ก็เช่นว่า เป็นผู้มีศรัทธาไม่หวั่นไหวเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ในพระพุทธเจ้า ๑, ในพระธรรม ๑, ในพระสงฆ์ ๑, แล้วก็มี “#อริยกันตศีล” คือศีลที่เป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า อีก ๑, รวมเป็น ๔ องค์ ๔ นี้เป็นองค์แห่งพระโสดาบัน
…. มีศรัทธาไม่หวั่นไหวเปลี่ยนแปลงในพระพุทธเจ้าอีกต่อไปนี้ก็หมายความว่า พระโสดาบันต้องรู้จักพระพุทธเจ้าจริงๆ ถึงขนาดนั้น. ที่ว่ารู้จักพระพุทธเจ้าจริงก็ต้องรู้คุณธรรมที่ทําความเป็นพระพุทธเจ้า เช่น ความหมดกิเลสโดยสิ้นเชิงของพระพุทธเจ้า, ความไม่มีทุกข์เลยของพระพุทธเจ้า, พระโสดาบันรู้จักพระพุทธเจ้าจริงถึงขนาดนี้ จึงมีศรัทธาไม่หวั่นไหวหรือไม่เปลี่ยนแปลงในพระพุทธเจ้าอีกต่อไป
…. สําหรับพระธรรมนั้น พระโสดาบันรู้สิ่งที่เรียกว่าพระธรรม ว่าจะเป็นเครื่องนําสัตว์ออกจากทุกข์ได้จริง, เห็นชัดอยู่อย่างนั้นจริงๆ นี้จึงจะเรียกว่ารู้จักพระธรรมจริงๆ จึงมีศรัทธาในพระธรรมอย่างที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป
…. สําหรับพระสงฆ์ พระโสดาบันก็รู้ว่าพระสงฆ์นั้นเป็นผู้ที่ปฏิบัติได้อย่างนั้นจริง ไม่ใช่คนโลเลเหลวไหล, และว่าพระสงฆ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ธรรมะนี้ไม่เหลือวิสัย, และพระสงฆ์นี้เป็นบุคคลจะหาได้ในโลก, ก็เลยมีความเชื่อหรือมีศรัทธาในความเป็นพระสงฆ์ว่ามีอยู่จริง แล้วก็น่าเลื่อมใสจริง, และพยายามปฏิบัติเพื่อความเป็นพระสงฆ์นั้นด้วย ก็เลยเรียกว่ามีศรัทธาในพระสงฆ์จริงๆ
…. นี่ปุถุชนคนไหนที่มีศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้ ถ้ามีอย่างนี้มันก็ไม่เป็นปุถุชน ก็เลยจากความเป็นบุถุชน คือเป็น “พระโสดาบัน”
…. คนที่มีศรัทธาอย่างนี้ ย่อมจะมีศีลดีถึงขนาดที่เรียกว่า “อริยกันตศีล” คือ ศีลเป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า เป็นศีลที่ไม่ตลบแตลง, เป็นศีลที่กลับกลอกไม่ได้ ว่าเป็นศีลที่มาจากปัญญา ที่รู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็เลยล่วงศีลไม่ได้ ถ้าปุถุชนคนพาลหรือคนธรรมดานั้นมีศีลไม่ได้ จะมีศีลให้ได้ก็ต้องตั้งอกตั้งใจที่จะรักษาศีลตามสิกขาบท มันก็เลยเป็นการต่อสู้ ฮึดฮัดอึดอัดกันไปตามเรื่อง ที่เพียงแต่จะรักษาอันนี้ไว้ให้ได้ เพราะว่ามิได้มีปัญญามาช่วยให้มันง่ายขึ้น แต่ถ้าผู้ที่เป็นพระโสดาบันมีปัญญาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเห็นธรรมะอย่างอื่นๆของสังขารทั้งหลายทั้งปวง มันก็เกิดความไม่ยึดถือในบางสิ่งบางอย่าง ในบางระดับซึ่งเป็นเหตุให้กิเลสถอยกําลังอยู่แล้ว ฉะนั้น การรักษาศีลจึงเป็นไปได้ง่าย และเป็นไปได้โดยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ด่างไม่พร้อย, ถึงขนาดที่เรียกว่าศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ
…. #นี่ศีลของคนธรรมดาต้องอาศัยเจตนา; #ส่วนศีลของพระอริยเจ้าท่านอาศัยปัญญา รากฐานจึงมั่นคงกว่ากันมาก. ฉะนั้น เมื่อท่านผู้ใดจะมีศีลอย่างพระโสดาบันมี ก็จงพิจารณาในทางปัญญาให้มาก กระทั่งเกิดความรู้สึกจางคลายในความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่เป็นเหยื่อของกิเลสเหล่านั้น อย่างนี้อยู่เฉยๆ มันก็ไม่มีทางจะขาดศีล, แล้วคิดดูซิว่าจิตใจมันสูงถึงขนาดที่จะไม่ไปหลงใหล ในเรื่องเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนาน เป็นที่ตั้งของกิเลส อย่างนี้มันก็จะทําให้อยู่เฉย ไม่อยากจะไปล่วงศีล. แต่คนโง่ที่ยังหลงใหลในเรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องเอร็ดอร่อย เรื่องต้องการอะไรต่างๆมากมายอย่างนี้ เมื่อไม่ได้มันก็ต้องไปเอามาโดยยอมขาดศีล ไม่นึกถึงศีล
…. เพียงแต่ศีลมันก็ผิดอย่างนี้เสียแล้ว ว่าพระอริยเจ้ามีศีลได้ด้วยเหตุอะไร, ด้วยสมุฏฐานอะไร. แล้วบุถุชนจะมีศีลได้ด้วยสมุฏฐานอะไร, ฉะนั้น ถ้ายังจะต้องมีอะไรบังคับ มีอะไรชักจูง มีคนมาจ้างให้รักษาศีล หรือมีอะไรมาขู่ให้กลัวสําหรับจะรักษาศีล อย่างนี้ก็ต้องเป็นศีลของปุถุชนไปก่อน ถ้าจิตใจสูงถึงขนาดที่ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เพราะมีปัญญาเพียงพอแล้ว มันก็เป็นศีลขึ้นมาโดยอัตโนมัติ, เป็นศีลที่ไม่ต้องอาศัยเจตนา แต่อาศัยปัญญา. ถ้ายังอาศัยเจตนาอยู่มันก็ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่: เหมือนกับที่ว่าคนปุถุชนธรรมดารักษาศีลจนตายก็ไม่เคยมีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่องได้. ถ้าเป็นพระอริยเจ้าอาศัยสติปัญญา มันอยู่เหนือเจตนา มันบังคับไว้ได้ด้วยปัญญา ก็เลยมีศีลได้โดยแทบว่าไม่ต้องรักษาศีล, ไม่ต้องตั้งใจจะรักษาศีล, มันก็มีศีลเสียได้ด้วยอํานาจของปัญญา คือความคิดมันไม่เป็นไปในทางที่จะไปฆ่า ไปลัก ไปทําให้มันผิดศีล อย่างใดอย่างหนึ่ง
…. ถ้าพูดด้วยภาษาธรรมดาให้ฟังง่ายกว่านี้ก็เรียกว่า คนมันดีเสียแล้ว คนมันดีถึงขนาดที่จะทําอย่างนั้นไม่ได้อีก, มันดีเกินกว่าที่จะไปทําผิดอย่างนั้นเสียแล้ว, นี่คือ พระอริยเจ้า. ถ้าเป็นปุถุชนมันไม่ถึงขนาดนั้น มันต้องระวังกันเรื่อยไป, มันต้องคอยห้ามปราม, ควบคุมอยู่เรื่อยไป, ต้องผูกต้องล่ามต้องคอยกระตุกอยู่เรื่อยไป มันก็ยังเอาไว้ไม่ค่อยจะอยู่
…. #ฉะนั้นพระโสดาบันเป็นผู้มีอริยกันตศีล #เพราะว่าละ #สักกายทิฏฐิ #วิจิกิจฉา #สีลัพพัตตปรามาสได้, ไม่ไปหลงในเหยื่อต่างๆ ในโลกนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้คนเราผิดศีล.
…. นี้พระโสดาบันเป็นผู้รู้ ก ข ก กา ของพระนิพพานในอันดับแรกยังเป็นได้มากถึงอย่างนี้...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ครั้งที่ ๑๐ แห่งภาคมาฆบูชา หัวข้อเรื่อง “ผู้รู้ ก ข ก กา ของนิพพาน” บรรยายเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๑๗ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา” หน้า ๒๘๔ - ๒๘๘








"ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้ที่รักษาพระศาสนา
พระศาสนาไม่ใช่หมายถึงวัดวา กุฏิ วิหาร
สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติของพระศาสนาเท่านั้น
เป็นสถานที่ประพฤติปฏิบัติรักษาไว้ซึ่งพระศาสนา พระศาสนาซึ่งจะทรงไว้ที่จะมีอยู่ไม่หมดไม่สิ้นต้องอาศัยข้อปฏิบัติ มีการปฏิบัติ มีข้อปฏิบัติอยู่ตราบใดพระศาสนายังคงอยู่ตราบนั้น"

หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร







“ #บุญ #เปรียบเหมือนเป็นครูอาจารย์หรือบิดามารดาของเรา #ท่านเหล่านี้ย่อมจะอุปการะช่วยเราได้ในยามคับขันสิ้นท่า เช่น ถึงคราวป่วยไข้หรือใกล้จะตาย บิดามารดาก็จะป้อนข้าว น้ำ หยูกยา ซักผ้าขี้เยี่ยวให้ หรือให้เราขึ้นขี่คอแบกใส่บ่าไปก็ได้

#ส่วนบาปอกุศล #นั้นเปรียบเหมือนศัตรูหรือคนร้าย ซึ่งมันคอยแต่จะปล้นฆ่าเราท่าเดียว

#คนที่ทำบุญกุศลไว้น้อย
#พอถึงคราวทุกข์ประสพภัย
บุญจึงช่วยไม่ได้เพราะเข้าไม่ถึง
#พวกโจรมีมากกว่า
#อยู่ขอบในบุญมีน้อยก็ช่วยได้แต่ห่างๆ

#ฉะนั้นจึงให้พวกเราพากันสับสร้างบุญกุศลไว้ได้มากๆ เป็นขอบในอย่าให้เป็นขอบนอก

#บิดารมารดาครูอาจารย์ที่เคยดุว่าเฆี่ยนตีนั้น
#ก็เพราะหวังดีต่อเราภายหน้า
#แต่เมื่อถึงคราวเราคับขันสิ้นท่าแล้ว
#ท่านก็จะต้องช่วยเราเสมอ ”

ธรรมเทศนา
พระคุณท่านพ่อลี ธมฺมธโร






#กายคตาสติกรรมฐาน

"... เป็นกรรมฐานที่มีอานิสงส์มาก เพราะสามารถทำให้ละ "สักกายทิฐิ" อันเป็นสังโยชน์ข้อต้นๆ ได้โดยง่าย และเป็นกรรมฐานที่เกี่ยวกับการพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง

ซึ่งมักพิจารณาร่วมกับอสุภกรรมฐาน มรณัสสติกรรมฐาน ซึ่งพระอริยะเจ้าทุกๆ พระองค์ที่จะบรรลุพระอรหัตผลได้จะต้องผ่านการพิจารณากรรมฐานทั้งสามกองนี้เสมอ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนามิได้

ทั้งนี้เพราะบรรดาสรรพกิเลสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความหลง และความโกรธ ต่างก็เกิดขึ้นที่กายนี้ เพราะว่าความยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจอุปาทานว่าเป็นตัวตนและของตน จึงได้เกิดกิเลสดังกล่าวขึ้น

การพิจารณาละกิเลสก็จะต้องพิจารณาละที่กายนี้เอง มรรค ผล และนิพพาน ไม่ต้องไปมองหาที่ไหนเลย แต่มีอยู่พร้อม ให้รู้แจ้งเห็นจริงได้ที่ร่างกายอันกว้างศอก ยาววา และหนาคืบนี่เอง..."

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร







" สติเป็นสำคัญ_ตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย "

"สติที่รู้เท่าทัน คิดขึ้นเรื่องใดก็ดับ
คิดเท่าใดก็ดับถ้ามีสติพร้อมกัน
ปรุงขึ้นก็ดับ ปรุงขึ้นดับ เรียกว่ามีสติพร้อมกัน

คิดไปก็หลงไป ลืมไป แปลว่าไม่มีสติ
ถ้ามีสติแล้วคิดขึ้น ร้ายก็ดี คิดดีก็ดี รู้พร้อมกันนั่นแหละ
สติรู้พร้อมกัน ดับลงทันทีนั่นแหละ

ตัวสตินี่สำคัญ ถ้ามีสติก็มีปัญญาพร้อมกัน
คิดขึ้นรู้พร้อม คิดดีก็ตาม คิดชั่วก็ตาม หลงก็ตาม
โกรธก็ตาม คิดขึ้นแล้วมีสติมันก็ดับไปทันที
ไม่ต้องไปคุมมัน มีสติแล้วจะมีปัญญา

เมื่อไม่มีสติก็จะเผลอ เผลอแล้วก็จะหลงไป
ตัวสติครั้นเกิดขึ้นพร้อมกันทุกๆ เมื่อแล้ว
เมื่อเวลามันเกิดขึ้นพร้อมกันคราวใดจะดับพร้อมๆ กัน ถ้าไม่มีสติก็จะไม่ดับ"

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ. พร้าว จ. เชียงใหม่








"... สตินี้มันก็ทันน่ะ คิดขึ้นเรื่องใดมันก็ดับ คิดขึ้นเท่าใดมันก็ดับ ถ้ามีสติพร้อมกับ ปรุงขึ้นดับ ปรุงขึ้นดับ เรียกว่า สติพร้อมกัน คิดไปก็หลงไปลืมไป แปลว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติแล้ว คิดขึ้นร้ายก็ดี คิดดีก็ดี รู้พร้อมกันนั้นล่ะ สติรู้พร้อมกันดับลงทันทีนั่นล่ะ

มีสติแล้ว มีปัญญาเมื่อไม่มีสติมันก็เผลอ เผลอแล้วมันก็หลงไป ครั้นไม่เผลอแล้วมีสติแนบอยู่ทุกเมื่อแล้ว
คิดดีก็ดับลง คิดชั่วก็ดับลง พอใจก็ดับลง ไม่พอใจก็ดับลง เอาลงทันทีนั่นล่ะ มีสติแล้วก็ใช้ได้ ใจเบิกบานขึ้น

ปัจจุบันมีสติพร้อมกันกับคิด คิดผิดก็ดี คิดถูกก็ดี รู้พร้อมกันก็ดับทันที เรียกว่า สติ สัมมาสติ สติสัมโพฌงค์ ฯลฯ อุบายก็อาศัย ความเพียรความหมั่นนั่นล่ะ ตั้งอยู่นั้นล่ะ ตั้งดูมันอยู่นั้นล่ะ มันปรุงขึ้นรู้ทันที เป็นสติ..."

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
อ.พร้าว จ.เชียงใหม่







“มีใครบ้างที่โกรธคนอื่น แล้วมีความสุข
มีใครบ้างที่เกลียดคนอื่น แล้วไม่มีทุกข์
เกลียดเขา เราก็ทุกข์ โกรธเขา...เราก็ทุกข์
แล้วเราจะเกลียดจะโกรธไปให้เราเป็นทุกข์ทำไม
คนที่เราเกลียดเราโกรธ เขาไม่ทุกข์ไปกับเราหรอก
มีแต่เรานั่นแหละ ที่ทุกข์เองอยู่ฝ่ายเดียว”

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา







#คำสอนจากหลวงปู่บุดดา #ถาวโร

..."อดีตจะรู้ไปทำไม อนาคตจะรู้ไปทำไม รู้ปัจจุบันสิ จึงจะตัดกิเลสและหมดทุกข์ได้"
"ต้องรู้ว่าทุกข์แต่ไม่ยึดถือ รู้ว่าสุขแต่ไม่ยึดถือ"
"รู้จักทุกข์แล้วปล่อยทุกข์ซะ"
"ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ทำบาปก็เป็นบุญอยู่แล้ว"

=================
" กรรมฐานทั้งหลาย กำจัดกิเลสได้ทุกประเภท
ไม่ต้องเลือกว่าสูตรไหนบทไหน
ทำให้จิตใจไม่เศร้าหมองได้ทั้งนั้น
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีจริงอยู่ทุกเมื่อ ที่ใจของเราผู้ปฏิบัติต้องมีสติ
เพ่งบริกรรมอยู่ที่เราเสมอ เดิน ยืน นั่ง นอน
ทุกลมหายใจเข้าออก "
.
#โอวาทธรรมหลวงปู่บุดดา #ถาวโร
วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจันจ.สิงห์บุรี






พิจารณา ต้องสดๆ ร้อนๆ

การพิจารณา จะยึดอารมณ์อดีตที่เคยพิจารณาได้ผลมาแล้วมาพิจารณาอีกอย่างเดิมไม่ได้นะ ต้องให้มันคิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆด้วยอุบายของเราในปัจจุบัน แต่ละครั้งๆ ให้คิดขึ้นมาเอง แม้จะตรงกับอุบายอันเก่าก็ได้ไม่ผิด และได้ผลเท่ากัน ขอให้คิดค้นขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ในปัจจุบัน เป็นความถูกต้องเหมาะสมในการแก้กิเลสทุกประเภทและทุกๆ ครั้งไป

ถ้าไปคาดเอาอุบายของวันนั้นมาใช้เอาอุบายของวันนี้มาใช้ ไม่ได้นะ มันต้องเอาอุบายใหม่เท่านั้นมาใช้คิดขึ้นมาปัจจุบัน ค้นขึ้นมาพิจารณาขึ้นมาเป็นปัจจุบัน มันหากรู้
ขึ้นมาเอง นั่นแหละเหมาะกับการแก้กิเลสที่มีอยู่ในปัจจุบันและอยู่ภายในจิต พิจารณาแยกแยะโดยอุบายต่างๆ ตามแต่ความแยบคายของแต่ละราย

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ







"จิตคิด จิตเกิด​
จิตไม่คิด จิตไม่เกิด
จิตคิด จิตถูกทำลาย​
จิตไม่คิด จิตไม่ถูกทำลาย

จิตปรุงแต่ง จิตถูกทำลาย​
จิตไม่ปรุงแต่ง จิตไม่ถูกทำลาย
จิตแสวงหา จิตถูกทำลาย
จิตไม่แสวงหา จิตไม่ถูกทำลาย
จิตปรารถนา จิตถูกทำลาย

จิต ไม่มี...ความกำหนัด
จิต...ไม่ถูกทำลาย
ทิ้ง...หมด รู้หมด
ทิ้ง...หมด ได้หมด
ไม่ทิ้งเลย ไม่รู้เลย
ไม่ทิ้งเลย ไม่ได้เลย

ทรงจิต เข้ามรรคจิต
แล้วจิต...พิจารณาจิต
รู้ธรรม ใน...จิต
แล้วถนอมมรรคจิต จงทำให้ชำนิชำนาญ
จิต...อบรมจิต
รู้ธรรมภายในจิต แล้วอบรมธรรมในธรรมภายในจิต​ ผู้รู้...ไม่คิด

ผู้คิดยังไม่รู้
รู้แล้วไม่ต้องคิด ก็เกิดปัญญา

เอาธรรม มาอบรมธรรม
รู้ธรรม ในธรรม
เอาธรรมชาติ มาปฏิบัติธรรมชาติ
ให้รู้ธรรมชาติ ใน...ธรรมชาติ​
เอาธาตุ มาปฏิบัติธาตุ ให้รู้ธาตุ ใน...ธาตุ​

เอาธรรม อบรมในธรรม
เอาจิต อบรมจิต ให้รู้ธรรม ภาย...ในจิต

รู้แล้ว ละวาง
ปล่อยทิ้ง และไม่อาลัย และไม่ยึดมั่นธรรมต่างๆ
ธรรม ที่เกิดขึ้นภายในจิต ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว​ บาป-บุญ เปรียบเหมือนมายา
เกิดขึ้นแล้วดับ ปล่อย...ทิ้งทั้งสอง

มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ้นแห่ง...ความรู้ หุบปากเงียบ อิ่มในธรรม
ธรรม เติมธรรม ไม่มีธรรม นั่นคือ...ธรรม

อย่าปล่อย ให้จิตปรุงแต่งมากนัก
ข้อสำคัญ...
ให้รู้จัก...จิต ของเราเท่านั้นเอง
เพราะว่าจิต คือ...ตัวหลักธรรม
นอกจากจิตแล้ว ไม่มี...หลักธรรมใดๆ เลย

ภาวนามากๆ แล้ว
จะรู้ถึงความเป็นจริง เท่านั้นเอง...
ไม่มีอะไรมากมาย...
มีเท่านั้น...เปล่า...เปล่า...บริสุทธิ์."

หลักธรรมคำสอน
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม
อ.เมือง​ จ.สุรินทร์
#คัดลอกจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้








"..เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัยก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ.."

#พระธรรมคำสอน
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) วัดถ้ำผาปล่องอ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๕๒–๒๕๓๕)







#โอวาทธรรมคำสอน #หลวงปู่ดูลย์ #อตุโล

" หลวงปู่ดูลย์สอน #อย่าส่งจิตออกนอก
แม้ตั้งสัจจะจะไม่พูด
แต่ใจกับพูดไม่หยุดหย่อน ส่งจิตออกนอกฟุ้งไปโดยไม่เห็นใจตนเอง

ผู้ปฏิบัติที่เจริญปัญญาไปมาก ๆ
แล้วอ่อน "สติ" รู้สึกตัวให้ระวังตรงจุดนี้
" #ทิฐิวิปลาสจะวิจารณ์ไม่หยุด
#ทิฐิวิสุทธิ์จะหยุดวิจารณ์ "

ผู้ที่เดินทางถูกทางตรงหวังในมรรคผลนั้น แม้ยังไม่สําเร็จพระอรหันต์ แต่มรรค8 ก็ต้องเจริญอย่างมากในบุคคลนั้นๆ(เอาไว้ดูความก้าวหน้าของตนเอง)

สัมมาหนึ่งในมรรค8 ก็คือ สัมมาวาจา มีแต่ใจที่รู้แต่ไม่เข้าไปยึด
หมดการวิจารณ์ส่งออกไปของใจ
ไม่ใช่เพียงแค่หยุดพูดฟุ้งเฟ้อพูดไร้สาระ หรือพูดไม่จริงเท่านั้น เพราะอะไร ?

" มรรคผลนั้นเกิดที่ใจ ไม่ใช่ความคิด ที่ส่งออกมาเป็นคําพูด คําเขียน เลย "

การเจริญสติปัฏฐานนั้น จึงเป็นการ เฝ้ารู้ เฝ้าดู กายใจตนเองเป็นหลัก
-------------------------
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล







โยมคนหนึ่งเขาเล่าให้ฟังว่าเป็นมะเร็งเต้านม
ตอนหลังตรวจ เป็นหลายที่
หมอจะผ่าตัด แกก็ไม่ผ่า
แกว่าตายครบอาการ ๓๒ ยอม
ก็ปฏิบัติอย่างเดียว
ฟังธรรมะทางวิทยุแล้วก็ปฏิบัติ

ปฏิบัติไปปฏิบัติมา
คล้าย ๆ ว่าจิตมันรวมตัวเป็นสมาธิ
มองร่างกายตัวเองใส
มีความอิ่มเอิบ มีความสุข ร่างกายใส
ตอนหลังไปตรวจ กลับหายเสีย
มะเร็งฝ่อหมด หาย
นี่ก็เรียกว่าจิตมีธรรม
มันมีสมาธิ มีปีติ มันไปชำระกันได้

แต่บางคนถึงจะปฏิบัติได้ แต่มันก็ต้องไปตามกรรม
เพราะว่าโรคเหล่านี้มันก็เป็นเรื่องกรรมที่จะต้องชดใช้กรรม
เพราะฉะนั้นบางคนก็ต้องไปทำบุญทำกุศลมาก ๆ

โยมบางคนป่วยเป็นมะเร็ง คิดว่าจะต้องตาย
ก็มาปฏิบัติธรรม
ถือศีลปฏิบัติธรรม
ช่วยงานวัด ช่วยงานศาสนา ช่วยสังคม
ปรากฏว่าบุญกุศลที่ทำ ๆ ไปกลับช่วย
ก็อยู่รอดมาได้นานแสนนาน
นี่ก็เรียกว่ามันอาศัยบุญกุศลเข้าไป

แต่บางคนมันก็ไม่ทัน
เพราะว่าบาปเก่าทำไว้เยอะ มันก็ต้องรับผล
แต่มันก็อาจจะลดกำลังลง
ความทรมานก็อาจจะน้อยลง

แต่อย่างไรก็ตาม
#การประพฤติปฏิบัติธรรมเป็น #อย่างไรก็ต้องดีแน่
#ถึงจะต้องตาย #แต่มันตายดี
#ตายไปสุคติภพแน่นอน

คนที่ไม่ป่วยไม่เจ็บ อยู่ดี ๆ ปุบปับตาย
บางทีไม่ได้สติ ไม่ได้ธรรมะ
ใช้ชีวิตประมาท ประมาทอยู่ตลอดชีวิต
ไม่ป่วยไม่เจ็บ
ยังคิดว่าตัวเองยังไม่ตาย
ถึงคราวปุบปับตายขึ้นมา ก็เลยไม่ได้มีโอกาสที่จะปฏิบัติ

#ฉะนั้นคนป่วยถ้าเอาความป่วยมาเป็นเครื่องเตือนใจ
#ความตายใกล้เข้ามา
#อย่าประมาทเลย
#ขวนขวายพากเพียรภาวนาในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
#อาศัยความป่วยช่วยให้เราไม่ประมาท
#ก็เลยมีโอกาสได้อบรมจิต #บำเพ็ญกุศลความดี
#ก็ได้ธรรมะ #ได้ที่พึ่ง
#เรียกว่าเสียแล้วได้
#เวลาสูญเสียก็ได้มา

ถ้าไม่มีสติปัญญา
เสียก็ยิ่งเสีย
เสียทรัพย์ เสียบุคคล เสียของ
แล้วก็มาเสียอกเสียใจมากอีก
เสียซ้ำสอง

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา
เวลาเสีย มันได้สติปัญญา
เสียแล้วได้ข้อคิดได้ปัญญา
ได้รู้จักเห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัยของสังสารวัฏ

ธรรมบรรยาย ประทีปทองนาทีธรรม ธรรมโอสถ
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา








..รู้จักรักษาใจของตน เรียกว่าทำความดีให้อยู่ให้สบายไม่เดือดร้อน ก็ให้ญาติโยมได้พากันศึกษา เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ ในการรักษาศีลสมาธิปัญญา รักษาศีลสมาธิปัญญาก็จะเป็นเครื่องสงบระงับกายวาจาใจให้เรียบร้อย นั่งสมาธิก็ฝึกจิตใจให้สงบ จิตใจตั้งมั่นอยู่ก็จะสงบไม่วุ่นวายอะไร เมื่อจิตใจสงบแล้วจิตใจก็มีปัญญา รู้อะไรก็เข้าใจ ไม่หลงใหลไปตามกระแสของสิ่งของที่เปลี่ยนแปลงของโลก เรียกว่าจิตใจฉลาด คนฉลาดก็เลยสบาย มีความสบายเกิดขึ้นนั่นเอง รู้จักอะไรถูกรู้จักอะไรผิด อะไรไม่ควรทำ อะไรที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด อะไรที่ควรคิดหรือไม่ควรคิด มันก็จะลงมาที่ตรงนี้รวมกันสั้นๆ เราก็เลยจะแก้ไขตนเองได้ เป็นคนดีได้..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..








"...เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้วในเรื่อง
เบียดเบียนกัน ฆ่ากันตายในโลกนี้ มันก็ล้วนแต่แย่ง
กามคุณกันนี่เอง ไม่ใช่อย่างอื่นใดแล้ว กามทั้งหลาย
เปรียบเหมือนหอก ดาบ แหลน หลาว คอยที่จะทิ่ม
แทงให้เจ็บปวดรวดร้าว ทุกขเวทนาอยู่อย่างนั้น
กามทั้งหลายเปรียบเหมือนเขียงที่เขาหั่นชิ้นเนื้อ
ธรรมดาเขียงนี้มีแต่จะสึกหรอลงไป ร่างกายก็ทรุด
โทรมลงไป ทั้งจิตใจก็เสื่อมไปจากคุณงามความดี
นี่คือผู้ที่มัวเมาในกามคุณนะ เสื่อมไปจากบุญจาก
กุศล

กามทั้งหลายเปรียบเหมือนอย่างต้นไม้ที่มีผล
ต้องถูกรุกรานจากสัตว์และมนุษย์ทั้งหลายฉันใด
บุคคลผู้ยินดีในกามคุณทั้งหลายเมื่อได้รูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัส นั้นแล้ว ก็มีผู้อยากมายื้อแย่งเอาไป
อยู่อย่างนั้นแหละ ต้องพยายามรักษาหวงแหนเอาไว้
กลัวคนอื่นจะมาแย่งเอาไป นี่แหละ ที่พระพุทธองค์
ทรงสอนให้บุคคลทั้งหลายเบื่อหน่ายในกามคุณ
และทรงแสดงอานิสงส์ของบุคคลที่เบื่อหน่ายและ
ออกจากกามว่า บุคคลเมื่อมีจิตใจไม่ฝักใฝ่ในกาม
ทั้งหลาย ก็ย่อมถึงซึ่งการสงบระงับ มีจิตใจเบิกบาน
ผ่องแผ้ว อย่างนี้นะ..."

#ที่มา หนังสือ ๑๐๐ ปี ชาตกาล
พระสุธรรมคณาจารย์ ( หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ )







"...วิปัสสนาภาวนา เป็นธรรมขั้นสูงสุด เป็นธรรมที่จะตัดภพตัดชาติ ตัดการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างราบคาบ ธรรมขั้นทานศีลกับสมถภาวนา ไม่สามารถตัดภพชาติได้ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ถ้าอยากจะให้หลุดพ้นก็ต้องเจริญขั้นวิปัสสนาด้วย แต่ก่อนจะไปถึงขั้นวิปัสสนาได้ ก็ต้องไต่เต้าจากขั้นต่ำขึ้นไป จากการให้ทาน ไปสู่การรักษาศีล สู่การบำเพ็ญสมถภาวนา จนจิตใจมีความสงบแล้ว ถึงจะเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ จะข้ามขั้นไปไม่ได้ เหมือนกับอยู่ชั้นอนุบาลจะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเลยไม่ได้ ต้องเข้าสู่ชั้นประถมก่อน แล้วก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยม แล้วจึงจะเข้าสู่ชั้นอุดมศึกษาเข้ามหาวิทยาลัย การบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาก็เป็นเช่นนั้น ต้องก้าวไปตามขั้นของตน อยู่ขั้นไหนก็ก้าวจากขั้นนั้นไป ถ้าอยู่ขั้นศีลแล้ว ก็ก้าวสู่ขั้นภาวนาได้เลย ถ้ายังอยู่ขั้นทาน ก็ต้องเข้าสู่ขั้นศีลก่อน ไม่เช่นนั้นจะภาวนาไม่ได้ ถ้ายังรักษาศีลไม่ได้ เวลาภาวนาจะมีนิวรณ์ มีความวิตกกังวลต่างๆ จะไม่สามารถทำใจให้สงบได้ ถ้ายังรักษาศีลไม่ได้ ก็ต้องทำบุญให้ทานให้มากๆก่อน ถ้าทำบุญให้ทานด้วยจิตที่เมตตากรุณาแล้ว ก็ไม่อยากจะเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะมีศีลขึ้นมา นี่คือสิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญกันในพรรษานี้ จะให้เวลามากต่อการปฏิบัติ เพราะชีวิตของเราไม่แน่นอน จะไปเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครกำหนดได้ว่าจะไปวันนั้นหรือไปวันนี้ จะไปอายุเท่านั้นอายุเท่านี้ เรากำหนดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของบุญของกรรม เป็นเรื่องของอนิจจังทุกขังอนัตตา เราจึงไม่ควรประมาท เมื่อมีเวลามีโอกาสที่จะบำเพ็ญได้ เข้าวัดได้ ก็ขอให้มุ่งไปที่วัดกัน ไปบำเพ็ญกัน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะวันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเราก็ได้ ดังที่ท่านทั้งหลายได้มาบำเพ็ญกันในวันนี้ แสดงว่าไม่ตั้งอยู่ในความประมาท มีฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา ที่จะนำพาไปสู่ความสุขและความเจริญ สู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้อย่างแน่นอน..."

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓







#ออกธุดงค์ปฏิบัติเบื้องต้น

"หลวงปู่มั่น" ออกธุดงค์ข้ามไปทางฝั่งแม่น้ำโขงตามป่าเขามีสัตว์เสือชุกชุมดุร้าย

เวลาท่าน (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ออกปฏิบัติเบื้องต้น ท่านว่าท่านไปทางจังหวัดนครพนมและข้ามไปเที่ยวทางฝั่งแม่น้ำโขง บำเพ็ญสมณธรรมอยู่แถบท่าแขก ตามป่าและภูเขา

ท่านได้รับความสงบสุขทางใจมากพอควรในป่าและภูเขาแถบนั้น ท่านเล่าว่า มีสัตว์เสือชุกชุมมาก เฉพาะเสือทางฝั่งโน้นรู้สึกดุร้ายกว่าเสือทางเมืองไทยเราอยู่มากเป็นพิเศษ

เนื่องจากเสือทางฝั่งโน้นเคยดักซุ่มกัดกินคนญวนอยู่เสมอมิได้ขาด มีข่าวอยู่บ่อย ๆ แต่คนญวนไม่ค่อยกลัวเสือมากเหมือนคนลาวและคนไทยเรานัก และไม่ค่อยเข็ดหลาบและกลัวเสืออยู่นานทั้ง ๆ ที่เคยเห็นเสือกัดและกินคนอยู่เสมอ และเห็นมันโดดมากัดเอาเพื่อนที่ไปป่าด้วยกันไปกินต่อหน้าต่อตาอย่างวันนี้ แต่พอวันหลังคนญวนยังกล้าพากันเข้าไปป่าที่มีเสือชุมเพื่อหาอยู่หากินได้อีกอย่างธรรมดา ไม่ตื่นเต้นตกใจกลัวและเล่าลือกันเหมือนคนลาวและคนไทยเรา ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความเคยชินของเขาก็เป็นได้

ท่านเล่าว่า คนญวนนี้แปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเห็นเสือโดดมากัดเพื่อนที่ไปด้วยกันหลายคนไปกินก็ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือกันด้วยวิธีต่าง ๆ บ้างเลย ต่างคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด ไม่สนใจในการช่วยเหลือ เวลาไปนอนค้างคืนในป่าหลายคนด้วยกัน ตกกลางคืนถูกเสือโดดมากัดและคาบเอาเพื่อนคนใดคนหนึ่งไปกิน พวกที่นอนอยู่ด้วยกันได้ยินเสียงตกใจตื่นขึ้น เห็นเหตุการณ์แล้ว ต่างก็วิ่งหนีไปหาที่นอนใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณนั้นเอง ความรู้สึกเขาเหมือนเด็ก ๆ ในเรื่องเช่นนี้ ไม่มีความคิดอ่านใด ๆ ที่แยบคายไปกว่านี้เลย ทำเหมือนเสือโคร่งใหญ่ทั้งตัวที่เคยกินคนมาแล้วอย่างชำนาญไม่มีหูไม่มีตาและไม่มีหัวใจเอาเลย

เรื่องคนพรรค์นี้ ผู้เขียนเองก็พอรู้เรื่องที่เขาไม่ค่อยกลัวเสือมาบ้างพอควร คือเวลาเขามาพักอาศัยในบ้านเมืองเราที่เป็นป่ารกชัฏและมีสัตว์เสือชุกชุม เวลาเขาพากันไปนอนค้างคืนเลื่อยไม้อยู่ในป่าลึก ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากและมีเสือชุม เขาไม่เห็นแสดงอาการหวาดกลัวบ้างเลย แม้เขาจะนอนอยู่ด้วยกันหลายคนหรือคนเดียว เขาก็นอนได้อย่างสบายไม่กลัวอะไร ถ้าเขาต้องการจะเข้ามาในหมู่บ้านเวลาค่ำคืนเขาก็มาได้ ไม่ต้องหาเพื่อนฝูงมาด้วย อยากกลับไปที่พักเวลาใดก็กลับไปได้ เวลาถูกถามว่าไม่กลัวเสือบ้างหรือ? เขาก็ตอบว่า ไม่กลัว เพราะเสือเมืองไทยไม่กินคนและยิ่งกลัวคนด้วยซ้ำ ไม่เหมือนเสือเมืองเขาซึ่งมีแต่ตัวใหญ่ ๆ และชอบกินคนแทบทั้งนั้น

เมืองเขาบางแห่งเวลาเข้าป่าต้องทำคอกนอนเหมือนคอกหมู ไม่เช่นนั้นเสือมาเอาไปกิน ไม่ได้กลับบ้าน แม้บางหมู่บ้านที่เสือดุมาก เวลากลางคืนผู้คนออกมานอกบ้านเรือนไม่ได้ เสือโดดมาเอาไปกินเลยไม่มีเหลือ เขายังกลับว่าให้เราอีกด้วยว่า คนไทยขี้กลัวมาก จะไปป่าก็แห่แหนกันไปไม่กล้าไปคนเดียว ที่ท่านพระอาจารย์มั่นว่าคนญวนไม่ค่อยกลัวเสือนั้นคงจะเป็นในทำนองนี้ก็ได้

เวลาท่านไปพักอยู่ที่นั้นก็ไม่ค่อยเห็นเสือมารบกวน เห็นแต่รอยมันเดินผ่านไปมาและส่งเสียงร้องครางไปตามภาษาของสัตว์ที่มีปาก และร้องครวญครางได้เท่านั้นในบางคืน แต่เขาร้อง มิได้คำรามให้เรากลัวหรือแสดงท่าทางจะกัดกินเป็นอาหาร

เฉพาะองค์ท่านเองรู้สึกจะไม่ค่อยสนใจกับความกลัวสัตว์เสืออะไร มากไปกว่าความกลัวจะไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์ ถึงบรมสุขคือพระนิพพานในชาตินี้ ทั้งนี้ทราบจากท่านเล่าถึงการข้ามไปฝั่งแม่น้ำโขงฟากโน้นและข้ามมาฝั่งฟากนี้ เพื่อการบำเพ็ญเพียรอย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้เห็นว่าท่านถือเป็นธรรมดาในการไป-มา เพราะไม่เห็นท่านนำเรื่องความกลัวของท่านมาเล่าให้ฟัง

ถ้าเป็นผู้เขียนไปเจอเอาที่เช่นนั้นเข้าบ้าง น่ากลัวชาวบ้านแถบนั้นจะพากันกลายเป็นตำรวจรักษาพระธุดงค์ขี้ขลาดไม่เป็นท่ากันทั้งบ้านโดยไม่ต้องสงสัย เพียงได้ยินเสียงเสือกระหึ่มในบางครั้งยังชักใจไม่ดี เดินจงกรมก็ยังถอยหน้าถอยหลังก้าวขาไม่ค่อยออก และเดินไม่ถึงที่สุดทางจงกรมอยู่แล้ว เผื่อไปเจอเอาเรื่องดังที่ว่านั้น จึงน่ากลัวธรรมแตกมากกว่าสิ่งอื่น ๆ จะแตก เพราะนับแต่วันรู้ความมา พ่อแม่และชาวบ้านก็เคยพูดกันทั่วแผ่นดินว่าเสือเป็นสัตว์ดุร้าย ซึ่งเป็นเรื่องฝังใจจนถอนไม่ขึ้นตลอดมา จะไม่ให้กลัวนั้นสำหรับผู้เขียนจึงเป็นไปไม่ได้เอาเลย และยอมสารภาพตลอดไป ไม่มีทางต่อสู้

#คัดลอกจาก
#ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ #โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว_ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี






#มนุษย์ผู้มีใจเป็นเทวดา
(ธรรมโอวาท...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
===============================

...นี่มาพูดกันง่าย ๆ ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า #คนที่จะเป็นเทวดาได้นั้น #ต้องเริ่มเป็นเทวดาตั้งแต่ยังไม่สิ้นลมปราณ

เมื่อลมปราณมีอยู่ จิตเป็นเทวดา กายเป็นคน ที่เขาเรียกว่า #มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ทว่ากำลังใจของท่านผู้นั้น เป็นเทวดา

คนที่จะเป็นเทวดาได้ ก็ต้องอาศัยคุณธรรม ๒ ประการ คือ #หิริ และ #โอตตัปปะ

หิริ - #อายความชั่วทั้งหมด เรามีความรู้สึกอยู่เสมอว่า #ความชั่วเป็นของไม่ดี เราจะไม่ทำความชั่ว ทั้งในที่ลับและก็ในที่แจ้ง

โอตตัปปะ - #เกรงกลัวผลของความชั่ว เพราะว่า #ผลของความชั่วเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ คนชั่วอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข จะสุขอยู่หน่อยเดียว เมื่อคนอื่นเขายังไม่รู้เท่าทัน เมื่อคนอื่นเขารู้เท่าทันเมื่อไหร่ ผลนั้นมันจะสนองเราภายในปัจจุบันให้มีความทุกข์ คือ ไม่มีใครเขาต้องการจะคบค้าสมาคมด้วย

ฉะนั้น ในเมื่อเราคิดว่า เราพิจารณาถึงเทวดา เทวตานุสสติกรรมฐาน ก็ต้องคิดว่า #ถ้าเราสิ้นลมปราณไปแล้วในคราวนี้ #อย่างเลวที่สุด #เราจะต้องเป็นเทวดาให้ได้

ทำอย่างไรเราจะเป็นเทวดาได้ ย้ำอีกนิด ก็คือ เราไม่ต้องการความชั่ว อายความชั่ว เหมือนกับคนแก้ผ้าอยู่ แต่คนนั้นก็มีความรู้สึก รู้สึกว่าอายเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่รู้จักอาย แต่ว่าเวลานั้นมันจำเป็น ผ้าจะปิดกายมันไม่มี

หรือว่าบางที เราจะเปลื้องผ้าเพื่อเปลี่ยนใหม่ ต้องเข้าหาที่เร้นลับฉันใด กันบุคคลอื่นจะเห็น ข้อนี้ฉันใด แม้บุคคลที่จะเป็นเทวดาก็เช่นเดียวกัน #มีความรู้สึกอายความชั่วทุกอิริยาบถ #ระมัดระวังไม่ยอมให้ความชั่วเกิดขึ้นมากับจิต

แต่ก็อย่าลืมนะ ถ้ายังไม่เป็นพระอริยเจ้า คือ ยังไม่เป็นพระอรหันตฺเพียงใด ส่วนแล่บของอารมณ์ที่เป็นอกุศล ก็ย่อมจะมีมาบ้างเป็นธรรมดา..."

จาก : หนังสือ ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ ๔๑๘
หน้าที่ ๗๒ ของวัดท่าซุง จ. อุทัยธานี





ใจเป็นธาตุรู้_มีอยู่ในใจทุกๆคน

การภาวนาไม่ใช่ว่าเรามาภาวนามาปรุงมาแต่งเอาใจใหม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น

ใจมันมีอยู่แล้ว จิตมันมีอยู่แล้ว แต่จิตนี้เป็นจิตที่หลงใหลไปตามจิตสังขาร จิตวิญญาณ

จิตกิเลส จิตตัณหา มันดิ้นรนวุ่นวายไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาตลอดเวลา หาเวลาสงบระงับไม่ได้

ท่านจึงสอนว่า ให้สงบจิตสงบใจลงไป ภาวนาพุทโธ ให้จิตใจมาจดจ่อในพุทโธ สงบระงับลงไป

ไม่ต้องไปตามอารมณ์อะไรของใครทั้งหมด

เรื่องราวอดีตอนาคตมันอยู่ข้างหน้า อนาคตกาลก็อย่าไปเป็นทุกข์เป็นร้อน อดีตที่มันล่วงมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันก็ล่วงมาแล้ว จิตอย่าไปหลงไปยึดเอามา เดี๋ยวนี้เวลานี้ ดวงจิตดวงใจภาวนาอยู่ที่นี้ นั่งอยู่ที่นี้บริกรรมอยู่ที่นี้

จิตอย่าวุ่นวายไปที่อื่น ให้รวมจิตใจเข้ามา ตั้งให้มั่น เอาให้มันจริง

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







ขยัน

ใครมีปัญหาบ้าง ภาวนามาหลายวันแล้ว ฟังเทศน์ทำไมเยอะแยะ เทศน์แล้วไม่ทำ ฟังเสียงพระพุทธเจ้าเทศน์ ก็คือให้พากันขยันดูลมเข้าลมออก แค่นั้น ไปดูอย่างอื่นมันยุ่ง ไม่นิ่งนอนใจ อย่าไปนอนให้มากนัก นอนเจ็บ นอนหาย นอนวายวอด นอนจอดนอนจม นอนงมกระดูก นอนผูกนอนพัน นอนจิตนอนหาย นอนตายนอนโลภ

หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญฺโญ
พระราชพัชรญาณมุนี
วัดประชาคมวนาราม
เช้าวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๓







#กรรมมีจริงผล_ของกรรมมีจริง
"..กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง"
"ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ผู้ไม่ได้ทำ หาต้องได้รับไม่"

ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่ให้ได้ยินได้ฟังอยู่เนืองๆ เช่น มารดาบิดาทำไม่ดีต่างๆ นานาให้เห็น เกิดเหตุการณ์รุนแรงแก่ชีวิตบุตรธิดา ก็มักกล่าวกันว่าลูกรับเคราะห์แทนมารดาบิดาบ้าง หรือลูกรับกรรมแทนมารดาบิดาบ้าง

ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น กรรมของผู้ใด ผลย่อมเป็นของผู้นั้น จะรับผลกรรมแทนกันไม่ได้...ไม่มี

มารดาบิดาทำไม่ดี ทำบาปทำอกุศล ยังอยู่ดีมีสุขเพราะผลของบาปอกุศลยังส่งไม่ถึง แต่บุตรธิดาที่ไม่ทันได้ทำบาปทำอกุศล กลับต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นั้น นั่นเป็นเรื่องของการรับผลของบาปอกุศลที่ทำไว้ในภพชาติก่อน ที่ตามมาส่งผลในภพในชาตินี้แน่นอน บุตรธิดาผู้ได้รับผลไม่ดีต่างๆ นานา ต้องทำกรรมไม่ดีไว้ในภพชาติหนึ่งแน่นอน แต่เราไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น ไม่ใช่บุตรธิดารับผลกรรมแทนมารดาบิดา

ผู้จะเกิดร่วมกัน เป็นแม่เป็นพ่อเป็นลูกกัน ต้องมีกรรมดีกรรมชั่วในระดับเดียวกัน ไม่แตกต่างห่างไกลกัน จึงทำให้เหมือนลูกรับกรรมแทนพ่อแม่ผู้ทำบาปอกุศล ลูกที่มารับผลไม่ดีต่างๆ ขณะที่พ่อแม่ผู้ประกอบกรรมไม่ดีนั้น นั่นเพราะกรรมไม่ดีของลูกส่งผลทันในระยะนั้น จึงทำให้ยากจะเข้าใจได้ จึงทำให้เกิดความสับสนกันมาก กรรมของคนหนึ่ง ผลจะไม่เกิดแก่อีกคนหนึ่งแน่นอน.."

พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







".....อย่างน้อยเวลาจะหลับจะนอน ขอให้ระลึกกราบไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วค่อยนั่งภาวนา ไม่ได้มากล่ะ เอาเพียง ๑๐ นาที พอได้ไหม ๑๐ นาที หรือขี้มันจะทะลักออกเหรอ มันขี้เกียจ ความขี้เกียจมันผลักขี้ออกมาทะลักไปเหรอ เรานั่งเล่น ฟาดสุรายาเมา ความเพลิดความเพลินกี่ชั่วโมง ลืมหลับลืมนอนมีมากไม่เห็นเป็นอะไร แต่เราจะบังคับเราให้ภาวนาเพียง ๑๐ นาที ขี้จะทะลักออก มันเกินไปนะมนุษย์เรา เลวที่สุดนะ เอ้า ! เอาให้ได้นะ พุทโธ ๆ นึกพุทโธกับหัวใจของเรา ให้มีสติตั้งอยู่กับคำว่าพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกก็ได้ ด้วยความมีสติบังคับ นี่เรียกว่าเราสร้างหลักใจขึ้นกับพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้นนะ แล้วใจของเราก็จะมีหลัก เมื่อบำเพ็ญภาวนาไป ใจจะสงบเย็นเข้ามา ๆ ปรากฏเป็นที่พึ่งทางใจขึ้นประจักษ์ในใจของเรา นี่เรียกว่าที่พึ่งภายใน....."

โอวาทธรรมโดย พระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วัดเกษรศีลคุณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี (พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๕๕๔)








ศีลควบคุมกาย วาจาให้สงบได้
แต่ควบคุมจิตให้สงบไม่ได้
สมาธิควบคุมจิตให้สงบจากกิเลสได้
แต่ไม่สามารถฆ่ากิเลสได้
ปัญญาสามารถฆ่ากิเลสได้

เมื่อมีสมาธิแน่นหนามั่นคงดีแล้ว
ปัญญาจะแหลมคม
สามารถพิจารณาละความโลภ
ความโกรธ ความหลง
จนถึงขั้นฆ่ามันให้ตายไปจากจิตใจได้

#โอวาทธรรม หลวงพ่อตั๋น ถิรจิตฺโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี






-ความคิดเป็นวิสัยของจิต

"สภาวะจิต...
บางช่วง มันก็ชอบคิดชอบปรุง
บางช่วง มันก็ไม่ชอบคิดชอบปรุง
ความคิดปรุงแต่ง ความคิด จิต...
มันคิดถึงสิ่งรู้ทั้งหลาย มันก็เป็นแต่เพียงอารมณ์
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ มันเป็น
เหตุ เป็นปัจจัยให้เกิดอารมณ์

ความคิด เป็นเรื่องธรรมดาของจิต
การเห็น ก็เป็นวิสัยของตา
การได้ยิน เป็นวิสัยของหู
กลิ่น เป็นวิสัยของจมูก
รส เป็นวิสัยของลิ้น
สัมผัส เป็นวิสัยของกาย
ความนึกคิด เป็นวิสัยของจิต
สิ่งเหล่านี้...เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดอารมณ์
สิ่งเหล่านี้...ไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ อารมณ์ คืออะไร ?
อารมณ์ คือความยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ เกลียด อันนี้...เป็นอารมณ์

ถ้าหากว่าจิตคิดปรุงแต่ง มันก็สักแต่ว่า...คิด
คิดแล้ว ก็ทิ้งไป
คิดแล้ว ก็ทิ้งไป
ไม่ยึดอะไรมาสร้างความเดือดร้อน ให้กับตัวเอง
มันก็ ไม่เกิดอารมณ์
เพราะฉะนั้น ความเป็นไปของจิตนี่
บางครั้งมันก็คิดไม่หยุด อยากให้หยุด มันก็ไม่ยอมหยุด
แต่บางครั้ง มันก็เอาแต่หยุด อยากให้มันคิด มันก็ ไม่ยอมคิด

เพราะฉะนั้น ทางปฏิบัติ
ถ้าเวลามันต้องการหยุด ให้มันหยุดไป
เวลามันต้องการคิด ให้มันคิดไป
แต่ให้เรากำหนดสติ รู้...รู้...ไป
ถ้ามันหยุดนานเกินไป มันไม่ยอมคิด
เราก็หาอุบายสร้างความคิดขึ้นมาบ้าง
ฝึกให้มันเกิดพลังงาน จิต ไปอยู่เฉยๆ นิ่งๆ
เป็นจิต ที่ไม่มีพลังงาน อย่าไปอยากได้มัน
นิ่งๆ เฉยๆ ถ้าหากว่า...มันคิดมากเท่าไร ยิ่งดี

ถ้าอย่างสมมติว่า...การเจริญวิปัสสนา
เราต้องพิจารณาเบญจขันธ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา เมื่อเราพิจารณาไป...
จิตมันสงบ
จิตมีพลังทางสมาธิ สมาธิมั่นคง สติเข้มแข็ง
มันจะทำให้จิตคิดมากขึ้นๆๆ แต่อารมณ์เก่า
ที่เราตั้งใจพิจารณาอยู่มันจะทิ้งหมด มันจะไปสร้างความคิดใหม่ขึ้นมา อันนี้ คือลักษณะของจิต ที่เป็นสมาธิตามธรรมชาติ

เราเอาปัจจุบันเป็นหลัก
แม้แต่ความเสื่อมความเจริญของสมาธิ
หลวงปู่มหาบัว ท่านก็ให้นัยไว้แล้ว ท่านบอกว่า...
ความเสื่อมความเจริญของสมาธิ มันก็เป็นแต่เพียงอารมณ์จิต เมื่อก่อนเรามาดีใจ-เสียใจ
อยู่กับความเสื่อมความเจริญของสมาธิ มันก็ได้อยู่แค่นั้น...มาภายหลังตัดปัญหา
มันจะเสื่อมจะเจริญช่างมัน เราจะเอาสติตัวเดียว พอมากำหนดเอาสติตัวเดียว มันก็ดำเนินไปด้วยดี ท่านว่าอย่างนั้น

ความนึก-ความคิดของจิต
ไม่ใช่ ปัญหาที่จะทำให้จิตมัวหมอง มันเป็นการบริหารจิต ทำให้จิตมีสติ สัมปชัญญะเข้มแข็ง
ถ้าจิต ไปกำหนดรู้ความคิด อันนี้คือ...
ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิต มันพิจารณาธรรมเองโดยอัตโนมัติ

แต่ถ้ามันไป นิ่ง...รู้อยู่ในจิตอย่างเดียว
ไม่มี...อาการไหวติง
อันนี้ เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และพร้อมๆ กันนั้นถ้าหากว่า กายกับจิตยังสัมพันธ์กันอยู่
สุข-ทุกข์ มันเป็นสิ่งที่เกิดที่กาย จิต เขาก็ต้องรู้เอง
แต่ถ้าหากช่วงใดที่จิตมันถีบตัวออกจากร่างกาย
แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย ตอนนั้น...สุข-ทุกข์
มัน...ไม่มี แม้อาการแห่งความคิด
อย่างสามัญธรรมดา ก็...ไม่มี

แต่ในช่วงนั้น...มันอาจสามารถรู้เห็นทุกสิ่ง ทุกอย่างได้ แต่มันคิดไม่เป็น รู้แล้วมันก็บันทึกข้อมูลไว้พร้อมหมด พอมันย้อนกลับมาสัมพันธ์กับกายอีกทีหนึ่ง...มันจึงจะเกิดปัญญาค้นคิดพิจารณา ของมันไปเอง

การพิจารณาของมัน
ก็คือ...ความคิดนั่นเอง."
------------------------------------------------------------------------
เทศนาธรรมพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุุธ ฐานิโย)










-ความคิดเป็นวิสัยของจิต

"สภาวะจิต...
บางช่วง มันก็ชอบคิดชอบปรุง
บางช่วง มันก็ไม่ชอบคิดชอบปรุง
ความคิดปรุงแต่ง ความคิด จิต...
มันคิดถึงสิ่งรู้ทั้งหลาย มันก็เป็นแต่เพียงอารมณ์
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ มันเป็น
เหตุ เป็นปัจจัยให้เกิดอารมณ์

ความคิด เป็นเรื่องธรรมดาของจิต
การเห็น ก็เป็นวิสัยของตา
การได้ยิน เป็นวิสัยของหู
กลิ่น เป็นวิสัยของจมูก
รส เป็นวิสัยของลิ้น
สัมผัส เป็นวิสัยของกาย
ความนึกคิด เป็นวิสัยของจิต
สิ่งเหล่านี้...เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดอารมณ์
สิ่งเหล่านี้...ไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ อารมณ์ คืออะไร ?
อารมณ์ คือความยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ เกลียด อันนี้...เป็นอารมณ์

ถ้าหากว่าจิตคิดปรุงแต่ง มันก็สักแต่ว่า...คิด
คิดแล้ว ก็ทิ้งไป
คิดแล้ว ก็ทิ้งไป
ไม่ยึดอะไรมาสร้างความเดือดร้อน ให้กับตัวเอง
มันก็ ไม่เกิดอารมณ์
เพราะฉะนั้น ความเป็นไปของจิตนี่
บางครั้งมันก็คิดไม่หยุด อยากให้หยุด มันก็ไม่ยอมหยุด
แต่บางครั้ง มันก็เอาแต่หยุด อยากให้มันคิด มันก็ ไม่ยอมคิด

เพราะฉะนั้น ทางปฏิบัติ
ถ้าเวลามันต้องการหยุด ให้มันหยุดไป
เวลามันต้องการคิด ให้มันคิดไป
แต่ให้เรากำหนดสติ รู้...รู้...ไป
ถ้ามันหยุดนานเกินไป มันไม่ยอมคิด
เราก็หาอุบายสร้างความคิดขึ้นมาบ้าง
ฝึกให้มันเกิดพลังงาน จิต ไปอยู่เฉยๆ นิ่งๆ
เป็นจิต ที่ไม่มีพลังงาน อย่าไปอยากได้มัน
นิ่งๆ เฉยๆ ถ้าหากว่า...มันคิดมากเท่าไร ยิ่งดี

ถ้าอย่างสมมติว่า...การเจริญวิปัสสนา
เราต้องพิจารณาเบญจขันธ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา เมื่อเราพิจารณาไป...
จิตมันสงบ
จิตมีพลังทางสมาธิ สมาธิมั่นคง สติเข้มแข็ง
มันจะทำให้จิตคิดมากขึ้นๆๆ แต่อารมณ์เก่า
ที่เราตั้งใจพิจารณาอยู่มันจะทิ้งหมด มันจะไปสร้างความคิดใหม่ขึ้นมา อันนี้ คือลักษณะของจิต ที่เป็นสมาธิตามธรรมชาติ

เราเอาปัจจุบันเป็นหลัก
แม้แต่ความเสื่อมความเจริญของสมาธิ
หลวงปู่มหาบัว ท่านก็ให้นัยไว้แล้ว ท่านบอกว่า...
ความเสื่อมความเจริญของสมาธิ มันก็เป็นแต่เพียงอารมณ์จิต เมื่อก่อนเรามาดีใจ-เสียใจ
อยู่กับความเสื่อมความเจริญของสมาธิ มันก็ได้อยู่แค่นั้น...มาภายหลังตัดปัญหา
มันจะเสื่อมจะเจริญช่างมัน เราจะเอาสติตัวเดียว พอมากำหนดเอาสติตัวเดียว มันก็ดำเนินไปด้วยดี ท่านว่าอย่างนั้น

ความนึก-ความคิดของจิต
ไม่ใช่ ปัญหาที่จะทำให้จิตมัวหมอง มันเป็นการบริหารจิต ทำให้จิตมีสติ สัมปชัญญะเข้มแข็ง
ถ้าจิต ไปกำหนดรู้ความคิด อันนี้คือ...
ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิต มันพิจารณาธรรมเองโดยอัตโนมัติ

แต่ถ้ามันไป นิ่ง...รู้อยู่ในจิตอย่างเดียว
ไม่มี...อาการไหวติง
อันนี้ เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และพร้อมๆ กันนั้นถ้าหากว่า กายกับจิตยังสัมพันธ์กันอยู่
สุข-ทุกข์ มันเป็นสิ่งที่เกิดที่กาย จิต เขาก็ต้องรู้เอง
แต่ถ้าหากช่วงใดที่จิตมันถีบตัวออกจากร่างกาย
แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย ตอนนั้น...สุข-ทุกข์
มัน...ไม่มี แม้อาการแห่งความคิด
อย่างสามัญธรรมดา ก็...ไม่มี

แต่ในช่วงนั้น...มันอาจสามารถรู้เห็นทุกสิ่ง ทุกอย่างได้ แต่มันคิดไม่เป็น รู้แล้วมันก็บันทึกข้อมูลไว้พร้อมหมด พอมันย้อนกลับมาสัมพันธ์กับกายอีกทีหนึ่ง...มันจึงจะเกิดปัญญาค้นคิดพิจารณา ของมันไปเอง

การพิจารณาของมัน
ก็คือ...ความคิดนั่นเอง."
------------------------------------------------------------------------
เทศนาธรรมพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุุธ ฐานิโย)








“..สัจจธรรมข้อนี้ใครๆก็พ้นไปไม่ได้ นั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย กินอยู่ก็ตาย ไม่กินก็ตาย เจ็บป่วยอยู่ก็ตาย ไม่เจ็บไม่ป่วยมันก็ตาย ความตายมันมีอยู่ทุกฐานะทุกสถานที่

ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันครอบงำเราอยู่ทุกเมื่อ พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย แม้อบายโลก เขาก็ฆ่ากันกินกันอยู่ ความตายจึงไม่มีที่จะหลีกเร้นซ่อนหนี

ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มีนอกจาก พุทฺธํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เราต้องหาที่พึ่งอันประเสริฐไว้เสียแต่บัดนี้ แต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้ ถ้าร่างกาย จิตใจมันไม่อำนวยแล้วจะไปคิดถึงอะไร จะไปยึดไปถือเอาอะไรเป็นที่พึ่ง มันยาก..”

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ







" ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด "

"หลักธรรมที่แท้จริงนั้นคือ จิต
ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง
เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว
นั่นแหละได้แล้วซึ่ง หลักธรรม

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก
ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนจากตำรับตำรา
หรือกับครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย
ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด
แล้วเวลาภาวนาก็ให้มันรู้
รู้จากจิตของเรานั่นแหละ
เมื่อจิตของเราสงบ เราจะรู้เอง
ต้องภาวนา ให้มากๆ เข้า
เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
แล้วก็ความรู้อะไรๆ ให้มันออกจากจิตของเรา
ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ
เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล







" ในโลกอันนี้ มีแต่ของที่จะผุพัง
ในโลกนิ้จึงเป็นอนิจจัง
ตลอดกาลมา และตลอดกาลไป
แล้วใครจะได้อะไรจากโลกอันนี้ "

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร








โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

" ความปราถนานั้นเป็นเพียงเส้นทางเดิน
ของจิตใจผู้มุ่งหมายเท่านั้น
ถ้าไม่ดำเนินตามความปราถนา
ก็ไม่เกิดประโยชน์ตามความมุ่งหมาย "

จากประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี







#แก้ไขเรา

... "ผลของการปฏิบัตินั้น จะไม่เกิดขึ้น ถ้าหากไม่มีการปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติที่เป็นอรรถ เป็นธรรม เป็นความสงบร่มเย็น จะเกิดขึ้นมีขึ้นไม่ได้ ถ้าหากไม่มีข้อปฏิบัติ ตลอดจนมรรค ผล พระนิพพาน จะเกิดมีขึ้นไม่ได้ ถ้าหากว่าไม่มีหลักการปฏิบัติ

... ไม่มีการปฏิบัติ ผลจะเกิดขึ้นมีขึ้นไม่ได้ นี่จึงเห็นคุณค่าเห็นความสำคัญของศาสนา เห็นความสำคัญเห็นคุณค่าของการปฏิบัติ เห็นคุณค่าของศีลธรรมยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งสุดชีวิตชีวา สุดหัวใจ

... จะเห็นว่าโลกเป็นอย่างนั้น โลกเป็นอย่างนี้ โลกอะไรต่อมิอะไร มีความสำคัญยิ่งกว่าศีลธรรม มีความสำคัญเทียบเท่าศีลธรรม เป็นไปไม่ได้

... จึงว่า เมื่อแก้ไขหัวใจของ 'ชาวโลก' ไม่ได้ ก็ต้องแก้ไขหัวใจ' ของเรา' หัวใจของชาวโลกนั้น แก้ไขให้เขาละความโลภ แก้ไขให้เขาละความโกรธ แก้ไขให้เขาละความหลงนั้น ไม่สามารถจะแก้ไขให้เขาได้ เพราะเขาไม่แก้ไขให้เขาเอง

... ในเมื่อไม่สามารถแก้ไขเขาไม่ได้ ก็แก้ไขเรา แก้ไขเรา เราสามารถที่จะแก้ไขเยียวยาได้ ถ้าเรามีความพยายามจะแก้ไขเรา "
_____________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร










#ห้ามเด็ดขาด

"เครื่องดองของมึนเมา ยาเสพติดทุกประเภท การพนันขันต่อทุกอย่างนั่นคือเพชฌฆาตสังหารทรัพย์สมบัติและมนุษย์ให้เสียไปโดยถ่ายเดียว อย่าพากันสนินเข้าใกล้ชิดติดพันกับมันเป็นอันขาด ปู่ขอห้าม ปู่สงสารที่เห็นมนุษย์ตายทั้งเป็น เหม็น ทั้งที่ยังไม่ตายมามากต่อมากแล้ว เพราะสิ่งดังกล่าวสังหารทำลาย"

..... หลวงปู่ขาว อนาลโย







"..ภาวนา พุทโธ คือความรู้แจ้ง รู้เบิกบานตลอด รู้ถึงที่สุด รู้เหนือกว่าจิตของเราอีก รู้เรื่องของจิตทุกอย่าง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้อบรม คือการภาวนา เอาพุทโธนั้นไปบริกรรมให้มันรู้จิต ให้มันรู้เหนือกว่าจิต ให้เห็นแต่จิตนี้ จะคิดดีก็ตามคิดชั่วก็ตาม จนกว่าผู้รู้นั้นว่าจิตนี้สักแต่ว่าจิตเท่านั้น ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา.."

"..ตื่นอยู่ทุกกาลเวลา คือ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้แจ้ง ผู้สว่าง ตัวนี้ไม่ได้นอน มันเป็นของมันอยู่.."

หลวงปู่ชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสือ กตัญญุตา ๑๐๐ ปี พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) หน้า ๒๒๔ - ๒๒๙








"...แนวทางของพระพุทธเจ้าต้องฝึกสติปัญญา
ฝึกความฉลาดรอบรู้ให้เกิดให้มีแก่ใจเราเอง
เพราะตามปกติแล้วใจย่อมตกลงไปฝ่ายต่ำของ
กิเลสตัณหาเรื่อยมา ฉะนั้นต้องฝึกสติปัญญาขึ้นมา
เพื่อฉุดลากใจให้พ้นจากที่ต่ำขึ้นมาให้ได้ มิใช่จะ
ปล่อยไปตามยถากรรมดังที่เคยเป็นมา ต้องฝึกสติ
ปัญญามาอบรมใจสอนใจให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
อยู่เสมอ แต่ก่อนมาใจตกอยู่ในความปกครองของ
กิเลสตัณหามาตลอด ถูกสังขารการปรุงแต่งใน
สมมุติโลกหลอกอยู่ตลอดมา เพราะตามปกติใจมี
ความฉลาดฝังอยู่ในส่วนลึกอยู่แล้ว แต่ก็ถูกกิเลส
ตัณหาเข้าครอบงำมายาวนาน ถ้ามีสติปัญญาเอา
ธรรมเข้าไปสะกิดใจเมื่อไร ใจก็จะเกิดความตื่นรู้ตัว
ในเมื่อนั้น ถ้าไม่ใช้สติปัญญาเข้าแก้ไขใจก็จะหลง
อยู่กับหมู่กิเลสตัณหาตลอดไป ถ้าสติปัญญาเรามี
น้อยก็ไม่สามารถผ่านด่านของสังขารและผ่านด่าน
กิเลสตัณหาเข้าไปหาใจได้ แต่ละวันคืนสังขารการ
ปรุงแต่งในสมมุติจะหลอกให้ใจได้เกิดความเห็นผิด
ความเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ตลอดเวลา

ใจจะหลงผิดไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็เพราะความคิด
ในสังขารการปรุงแต่งนั่นเอง ใจจะมีความฉลาดรอบ
รู้ตามความเป็นจริงได้ ก็เพราะความคิดทางสติ
ปัญญานี้เช่นกัน ฉะนั้นความคิดจึงเป็นดาบสองคม
ความคิดนี้ถ้ากิเลสสังขารยึดเอาเป็นเครื่องมือได้
เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอดไป ถ้าฝ่ายสติ
ปัญญายึดเอาความคิดนี้กลับมาได้จะเป็นประโยชน์
ในทางปฏิบัติได้เป็นอย่างดี..."

#ที่มา หนังสือ สัมมาศรัทธา
หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ วัดป่าบ้านค้อ จ.อุดรธานี






“..สัจจธรรมข้อนี้ใครๆก็พ้นไปไม่ได้ นั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย กินอยู่ก็ตาย ไม่กินก็ตาย เจ็บป่วยอยู่ก็ตาย ไม่เจ็บไม่ป่วยมันก็ตาย ความตายมันมีอยู่ทุกฐานะทุกสถานที่

ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันครอบงำเราอยู่ทุกเมื่อ พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย แม้อบายโลก เขาก็ฆ่ากันกินกันอยู่ ความตายจึงไม่มีที่จะหลีกเร้นซ่อนหนี

ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มีนอกจาก พุทฺธํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เราต้องหาที่พึ่งอันประเสริฐไว้เสียแต่บัดนี้ แต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้ ถ้าร่างกาย จิตใจมันไม่อำนวยแล้วจะไปคิดถึงอะไร จะไปยึดไปถือเอาอะไรเป็นที่พึ่ง มันยาก..”

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ







“…หลวงปู่ขาว อนาลโย..กล่าวถึงโอวาทธรรมคำสอนขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต…”

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านให้โอวาทไว้ว่า…พระพุทธเจ้าได้เทศน์ไว้ว่า…

“…มโนปฺพฺพงฺคมา ธฺมมา มโนเสฎฐา มโนมยา…”
ธรรมทั้งหลายจะทำดี จะทำกุศลก็ใจนี่แหละ
เป็นผู้ถึงก่อน เป็นผู้ถึงพร้อม
จะทำบาปอกุศลก็ใจนี่แหละ
จะผ่องแผ่วแจ่มใสก็ใจนี่แหละ
จะเศร้าหมองขุ่นมัวก็ใจนี้แหละ

ใจเศร้าหมองขุ่นมัว แล้วก็ไม่มีความสุขอยู่ในโลก
จะอยู่ไหนก็ไม่มีความสุข
ครั้นผ่องแผ่วละก็ พระพุทธเจ้าท่านว่า...
” มนสา เจ ปสนฺเนน "
บุคคลผู้มีใจผ่องแผ้วดีแล้ว
แม้พูดอยู่ก็มีความสุข
แม้นจะทำอะไรอยู่ก็มีความสุข

" ตโต นํ สุขมเนฺวติ "
อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ความสุขเหมือนเงาเทียมตนไป
ไปสวรรค์ก็ดี มามนุษย์ก็ดี
เพราะเหตุนั่นแหละ ให้เราพากันตั้งใจอบรม
ตั้งสติไว้ที่ใจ ควบคุมใจให้มีสัมปชัญญะ
มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ

การทำ การพูด การคิด ก็อย่าให้มันผิดพลาดไป
ควบคุมมันให้ถูก ครั้นมันผิดมันพลาด
เราก็มีสติยั้งไว้ ละ ปล่อยวาง ไม่เอามัน ทางที่ผิดน่ะ.

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







“…ทุกข์จะดับได้ก็ต้องละเหตุของทุกข์ ละอุปาทาน ละตัณหา สอนใจว่าผู้ที่เราโกรธก็ไม่มีตัวตน ผู้ที่โกรธก็ไม่มีตัวตน มีแต่อวิชชาโลภโกรธหลง พาให้ทุกข์ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา เราจะปรารถนาให้ใจเราพ้นกิเลส ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงพระนิพพานได้เพราะความอยาก หากแต่เราต้องฝึกฝนอดทนภาวนาอยู่ในเส้นทางของทานศีลภาวนา หรือศีลสมาธิปัญญา ทำให้มาก เจริญให้มาก จนบารมีเต็มจึงจะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด…”

พระอาจารย์อนันต์ อกิญฺจโน
วัดมาบจันทร์ อ.เมือง จ.ระยอง








- #โลกนี้คือสภาวธรรม

"โลกนี้ คือกายกับใจ
สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย
ที่เรารู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นั้น...
คือโลก โลกทั้งหลายนี่พระพุทธองค์ทรง
บัญญัติศัพท์ เรียกว่า...#สภาวธรรม

สภาวธรรม เป็นสิ่งที่เกิดเอง เป็นเอง
เกิดเอง ดับเอง
#หมายถึงความคิดที่มันปรุงแต่ง
มันเกิดขึ้นเอง...ดับไปเอง
บางที เราก็ตั้งใจคิด
บางที เราไม่ได้ตั้งใจคิด มันก็คิดอยู่...ไม่หยุด

ทางปฏิบัติ ก็กำหนดสติตามรู้มันไป
มันจะคิดอย่างไร คิดดี คิดชั่ว
คิดเรื่องโลก เรื่องธรรม ปล่อย...ให้มันคิดไป
แต่เราเอาสติ ตัวเดียว
แล้วในที่สุด...ธรรมชาติของจิต
ถ้ามีสิ่งรู้ สติ...มีสิ่งระลึก มันจะเพิ่มพลังงาน
มากขึ้นๆ

เพราะฉะนั้น...
การปฏิบัติสมาธิ คือการทำจิตให้มีสิ่งรู้...
สติ มีสิ่งระลึกจะเป็นอะไร ก็ได้
จิต เรานึกถึงอะไร ให้มีสติ...
นึกถึงลูก ให้มีสติ
นึกถึงครอบครัว ให้มีสติ
นึกถึงงาน ให้มีสติ
เอาสติ...ตัวเดียวเท่านั้น ทีนี้ สิ่งรู้ของจิต
คือสภาวธรรมที่มันจะแสดงความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เรารู้

ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะ ของเรามั่นคง
มันก็กลายเป็นปัญญา มันจะมองดูอะไรทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มีในจักรวาลนี้...เป็นธรรมทั้งหมด"
--------หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน.
ตอบกระทู้