"..มนุษย์เราเกิดมาก็ต้องทำบาป เมื่อทำแล้ว ก็ต้องได้รับผลกรรมที่เราทำไว้ นี่เป็นสัจจะความจริงอย่างเด็ดขาด พ่อแม่ของเราทำกรรมมา เราเกิดมาก็ทำกรรมไป ทำไปทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว คนทำบาปจึงมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ทำบาปย่อมได้บาป ทำบุญย่อมได้บุญ
มีบางคนชอบพูดคะนองปากว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป พูดอย่างนี้ผิด พูดไม่รู้จริง เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนี้ เราต้องใจเย็นคอยดูผลตลอดชีวิต อย่าดูในระยะสั้นๆ ต้องดูไปเรื่อยๆ ในระยะยาว อย่าใจร้อนอยากจะเห็นผลดี ในเวลาอันรวดเร็วนัก
ทำดียังไม่ได้ดี เราต้องรอคอยผลดีได้ การทำดีเพื่อจะให้ดีนั้น เราต้องทำให้ถูกหลักคือ ทำให้ถูกดี ทำให้ถึงดี ทำให้พอดี อย่าทำเกินพอดี ทำให้ถูกบุคคล ทำให้ถูกกาลเทศะ การต้องการผลดีตอบแทนนั้น อย่าหวังผลแต่ด้านวัตถุท่าเดียว ต้องหวังผลทางใจคือ ความสบายใจ ความสุขใจด้วย.."
#เทศนาธรรมคำสอน หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม (พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๑๗)
อยากให้ชีวิตง่ายขึ้น อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น
ภาวนามาก ๆ ดูตัวเองมาก ๆ
หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) บอกว่า “ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %” คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น
กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 % ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่
ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มาก ๆ
เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10 เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10 จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมาก ๆ และตำหนิติเตียนตัวเองมาก ๆ แต่ถึงอย่างไร ๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ
พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมาก ๆ เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ
ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก
รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่….. ไม่แน่ อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้ เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้ สักแต่ว่า….. สักแต่ว่า….. ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด
ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป
เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน
ก็สงบ ๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิด ๆ ๆ ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มาก ๆ พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา….. นั่นแหละ
เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อย ๆ หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวัน ๆ ก็หมดแรง พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา….. ก็เรื่องของเขา อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา
ดูใจเรานั่นแหละ
พัฒนาตัวเองนั่นแหละ ทำใจเราให้ปกติ สบาย ๆ มาก ๆ หัด-ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข
คำสอนของ : หลวงปู่ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
#อานาปานสติ...!
#เป็นยอดแห่งกรรมฐาน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ยืนยันว่ากรรมฐานสี่สิบห้อง เป็นน้องอานาปานสติ.
"...อานาปานสติ...เป็นยอดมงกุฏ ของกรรมฐาน ทั้งหลายอยู่แล้วศาสนาอื่น ๆ นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่ได้เอามาสั่งสอนให้ปฏิบัติกันเลย เพราะกรรมฐานอันนี้ บริสุทธิ์พร้อมทั้งสติปัฏฐาน๔. ไปในตัวด้วย และเป็นแม่เหล็กที่มีกำลังดึงกรรมฐานอื่นๆให้เข้ามาเป็นเมืองขึ้น ของตัวได้
เช่น พระมหาอนันตคุณของพุทโธ ธัมโม สังโฆ สีโล จาโค กายคตา แก่ เจ็บ ตาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้เป็นต้น ย่อม มีอยู่จริง ย่อมมีพร้อมทุกลมหายใจเข้า-ออก แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ย่อมจริงย่อม มีอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออกแล้ว ไม่ต้องไปค้น ไปหา ไปจด ไปจำ ไปบ่น ไปท่องทางอื่น ก็ได้
ถ้าไม่หลงลมเข้า-ออกแล้วโมหะ อวิชชา วัฏจักร มันจะมารวมพลมาจากโลกหน่อไหนล่ะ หลงลมออก-เข้า ก็หลงหนังเหมือนกันถ้าไม่หลงหนัง ก็ไม่หลงลมออก-เข้าโดยนัยเดียวกัน
...ดูโลก ก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ ก็ดูโลก ดูสังขาร ก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ ก็ดูสังขาร พ้นโลก ก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ ก็พ้นโลก พ้นสังขาร ก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ ก็พ้นสังขาร มีความหมายอันเดียวกันทั้งนั้นไม่ผิด...
...รู้ลมเข้า-ออก ในปัจจุบัน รู้ลมออก-เข้า ในอดีต รู้ลมออก-เข้า ในอนาคต รู้ ผู้รู้...ในปัจจุบัน รู้ ผู้รู้...ในอดีต รู้ ผู้รู้ ...ในอนาคต แล้วไม่ติดข้องอยู่...ในผู้รู้ ทั้งสามกาล ผู้นั้น...ก็ดับรอบแล้ว ในโลกทั้งสามด้วยในตัวอวิชชา และสังขาร(ความปรุงแต่ง) เป็นต้นก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง
กองทัพธรรม มีกำลังสมดุลย์ ด้วย...สติปัญญา กองทัพอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นต้น ย่อมแตกสลาย ไม่ต้องพูดไปหลายเรื่อง หลายแบบก็ได้ พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า มืดมิดนั้นนา ไม่ได้ สั่งลาหายวับไป ณ.ที่นั้น...ฯ"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เล่าในเรื่องอานาปานสติ ให้หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
#ถาม_เมื่อผมโกรธผมควรจะทำอย่างไร..!!
"... หลวงปู่ชา สุภทฺโท ตอบ..ท่านต้องแผ่เมตตา ถ้าท่านมีโทสะ.. ในขณะภาวนาให้แก้ด้วยเมตตาจิต ถ้ามีใครทำไม่ดีหรือโกรธ อย่าโกรธตอบ ถ้าท่านโกรธตอบท่านจะยิ่งโง่กว่าเขา
... จงเป็นคนฉลาดสงสารเห็นใจเขา เพราะ ว่าเขากำลังได้ทุกข์ จงมีเมตตาเต็มเปี่ยมเหมือนหนึ่งว่าเขาเป็น้องชายที่รักยิ่งของท่าน
... เพ่งอารมณ์เมตตาเป็นอารมณ์ภาวนา.. แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก
... เมตตาเท่านั้นที่จะเอาชนะโทสะและความเกลียดได้ ..." ---------------------------- #พระโพธิญาณเถร (ชาสุภทฺโท) วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี (พ.ศ.๒๔๖๑ - ๒๕๓๕)
“อย่าไปนึกว่าคนในโลกเขาจะรักเราทุกคน และก็จงอย่าไปคิดว่าคนในโลกเขาจะเกลียดเราทุกคน จงถือว่า รักหรือเกลียดไม่มีความสำคัญ ความสำคัญมีอยู่ว่า… เราระมัดระวังใจของเรา”
พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
"ปีใหม่ ให้พากันตั้งเนื้อตั้งตัว จากคนเก่าให้เป็นคนใหม่ขึ้นมา อะไรไม่ดี ให้แก้ไขดัดแปลงตัวเอง ดัดแปลงที่อื่น ไม่ถูก
ปีใหม่ ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว นี่แหละ ที่จะแก้ไขดัดแปลงตัวเอง อะไรไม่ดี ให้รีบแก้ไขดัดแปลงเสีย ตั้งแต่บัดนี้
ขึ้นปีใหม่แล้ว จากคนเก่า คนเก่าเป็นคนไม่ดี อย่างไร บกพร่องตรงไหน ให้แก้ไขดัดแปลง ตรงที่บกพร่อง ให้ดีขึ้นโดยลำดับลำดา"
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
|