"เมื่อผ่านความมืดยามกลางคืนเเล้ว ทุกสรรพชีวิตถ้ายังมีชีวิตอยู่กะต้องตื่นขึ้นรับอรุณของ มื้อใหม่ (วันใหม่)
เหมือนดั่งชีวิตของเราทุกมื้อที่ต้องดำเนินไป บางวันกะหม่นมอง บางวันกะสดใส มื้อสุข มื้อทุกข์ คละเคล้ากันไป
ให้เชื่อมั่นว่า มีความมืดต้องมีความสว่างตามมา ทุกปัญหาที่เกิดขึ่น ถ้ามีสติปัญญาทันมัน ทุกปัญหากะย่อมคลี่คลายลง ความทุกข์ในใจกะจะเบาบางลง
จะมั่วไปคิดเเต่สิ่งที่เฮ็ดให้ตัวเองทุกข์อยู่นั้นมันกะมีเเต่จะทุกข์เพิ่มขึ้น บ่มีประโยชน์ดอก ให้พากันคิดใหม่"
โอวาทธรรม หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต
ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าน้อมเข้ามาในตัวของเราก็ได้แก่ กาย วาจา จิต(ใจ)
ฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมะ ท่านจึงสอนให้มองเข้ามาหาตัวเรา อย่ามองไปข้างนอก ถ้ามองเข้ามาในตัวของเราแล้ว มันก็จะเห็นความจริง ถ้ามองไปข้างนอกมันจะมีแต่ความจํา ถ้าเราไปสรรเสริญของข้างนอก ไปดูของข้างนอก ไปดูความผิดอยู่ข้างนอก ไปดูความถูกอยู่ข้างนอก มันก็เป็นสักแต่ว่าสัญญา คือ ความจำมา ไม่เห็นความผิดในจิตตัวเอง มันก็ถอนความผิดออกไม่ได้
เมื่อไม่เห็นความถูกในตัวเอง มันก็ไม่เห็นอานิสงส์ของการกระทําถูกในตัวของตัวเอง นี่เพราะเรามองออกไปข้างนอก ท่านจึงสอนว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงเตือนตนด้วยตนเอง
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
หลวงปู่มั่นที่ท่านเคยพูดไว้ในมุตโตทัย ท่านบอกว่าอันใดดีไม่มีโทษอันนั้นดีเลิศ ถ้ามีโทษตามมาจะว่าดีเลิศไม่ได้ หลวงปู่มั่นที่ท่านพูดย่อ ๆ ดีใดก็ตามไม่มีโทษ ดีนั้นคือดีเลิศ ถ้าได้อะไรมาก็ตาม ได้เงินคำทรัพย์สมบัติมา ยศถาบรรดาศักดิ์ใดก็ตาม สู้ได้ตนเองไม่ได้ ให้ตนเป็นคนดี ให้เป็นอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนั้นละเลิศประเสริฐกว่าที่ได้ของภายนอก พร้อมที่จะเสื่อมอันตรธานได้
และข้อหนึ่งที่ท่านพูดขึ้นมาว่า ธรรมใดก็ตามของสะอาดขนาดไหนก็ตาม ถ้าเข้าไปอยู่ในใจปุถุชน ธรรมข้อนั้น เป็นข้ออรรถข้อธรรมปฏิรูปอยู่ ยังไม่ใช่ของจริง พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ถ้าเข้าไปอยู่ในใจของพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้ว อันนั้นบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ พระโสดาบันบริสุทธิ์ระดับหนึ่ง พระสกทาคามีบริสุทธิ์อีกระดับหนึ่งในอรรถธรรมข้อนั้น ๆ จนถึงพระอรหันต์ อันนั้นเป็นธรรมอันบริสุทธิ์ ข้ออรรถข้อธรรมใดที่เข้าสู่ใจของพระอริยบุคคล ข้ออรรถข้อธรรมนั้นเป็นที่บริสุทธิ์เลิศประเสริฐ ใสสะอาด
ถ้าเรามาเปรียบเทียบก็เหมือนกับเพชรนิลจินดา สดสวยงดงามมีคุณค่ามีราคา แวววาวขนาดไหน ถ้าไปตกอยู่ในขี้ตมขี้โคลน เพชรนิลจินดาตัวนั้นก็เศร้าหมองอยู่ในขี้ตมขี้โคลน ถ้าเพชรนิลจินดานั้นมาตกอยู่ในที่ผ้าสะอาดรองรับ มีผ้ากํามะหยี่รองรับ เพชรนิลจินดาตัวนั้นก็สดสวยงดงามแวววาว ก็คงลักษณะอย่างนั้น
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก จากพระธรรมเทศนา “เป็นพระอย่าอยากเด่นดัง” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
"...จงเฝ้าดูจิตของท่านพิจารณาให้รู้เห็นว่าความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆเกิดขึ้น ให้ได้รู้ได้เห็น นี่คือทางที่จะ บรรลุถึงสัจจธรรมของพระพุทธองค์
จงเป็นปกติธรรมดา ตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำ ขณะอยู่ที่นี่ เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมทั้งหมด เมื่อท่านทำวัตรสวดมนต์อยู่พยายามให้มีสติ ถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่าท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น อย่ารู้สึกว่า ท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะนั่งขัดสมาธิเท่านั้น
พวกท่านบางคนบนว่า ไม่มีเวลาพอที่จะทำสมาธิภาวนา แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม การทำสมาธิภาวนาของท่าน คือการมีสติระลึกรู้ และรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติ ในการทำทุกอิริยาบท..."
หลวงพ่อชา สุภัทโท
#จิตฉลาด "ถ้าจิตเราฉลาด เราก็ไม่ไปยึด แต่...#วาง #เป็นผู้รู้เฉย ๆ รู้เท่า แล้ว...ปล่อยไปตามสภาวะ อันเป็นลักษณะของจิต กับเวทนาทั้งหลาย ก็เป็นอย่างนั้น แม้ว่าเราเจ็บขึ้นมา เราก็ยังรู้สึกว่า เวทนา มันก็เป็น เวทนา จิต มันก็เป็น จิต เป็นคนละอย่างกันอยู่ รู้จักเจ็บไหม? รู้จัก รู้จักสบายไหม? รู้จัก แต่เราไม่ไป อยู่... ในความสบาย และไม่สบายนั้น อยู่แต่...ในความสงบ คือหมายความว่า...ท่านไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ท่านรู้ว่า... มันสุข มันทุกข์ อยู่เหมือนกัน แต่...ท่านไม่แบกมันไว้... เวทนา นั้น...มันก็ ไม่เกิด." --------------------------------------------------------------------- หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.
"เราก็เหมือนกัน เกิดมาเพื่อแตกสลาย เกิดมาก็เพื่อแตก เพื่อตาย ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของใครได้หรอก”
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร (แบน ธนากโร) วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร
' #จะไปสู่ทุคติ, สุคติ หรือ พระนิพพาน ไปสู่ตั้งแต่ที่ยังมีลมหายใจอยู่ '
...." ใจที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นสัจธรรมของจริงนั้น หลอกลวงเจ้าของ สร้างกองฟืนกองไฟเผาเจ้าของ ตายก็ตายอยู่กับกองฟืนกองไฟ ตายอยู่กับกองฟืนกองไฟเป็นอย่างไรล่ะ นอนตายด้วยความรุ่มร้อนใจของหัวใจ ความพอใจก็เป็นของร้อน ความไม่พอใจก็เป็นของร้อน ความรักก็เป็นของร้อน ความชังก็เป็นของร้อน ความยินดีก็เป็นของร้อน ความยินร้ายก็เป็นของร้อน ตายอยู่กับความรุ่มร้อน การอยู่กับความรุ่มร้อนกลุ้มรุมในใจ
... ในเมื่อตายอยู่กับความรุ่มร้อนกลุ้มรุมอยู่ในใจแล้ว จะหาความร่มเย็นเป็นสุขไม่มี ในเมื่อในขณะที่จะตายมีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย น่าวิตกในการที่จะไปสู่ ' ทุคติ '
... ใจที่จะไปสู่ 'สุคติ' ก่อนที่จะตายนี่ ความรุ่มร้อนในจิตในใจไม่มี มีแต่ความสงบเย็น มีแต่ความสบาย มีแต่ความเบิกบานปีติอยู่ในจิตในใจ เรียกว่าใจมีความสุข ใจมีความสุขลมหายใจหมดไป สรีระเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งที่เกิดขึ้น จิตใจเขาก็เป็นไปตามธรรมชาติของจิตใจ จิตใจเมื่อขณะยังมีลมหายใจอยู่เขาอยู่เป็นสุข เมื่อหมดลมหายใจแล้ว สุขอยู่ตรงไหน สุขอยู่ ณ สถานที่ใดเขาก็ไปตามสภาพที่เขามีความสุขนั้น..เรียกว่า ' สู่สุคติ ' สู่สุคติสู่ตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่
...สู่ 'ทุคติ' ก็คือ ใจมีทุคติตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่ ในเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ทุกข์เกิดขึ้นที่ใจแล้ว นั่นล่ะ ตายแล้วมันก็เป็นไปตามธรรมชาติจิตใจที่เป็นในระหว่างที่มีชีวิตอยู่นั้น
...พระพุทธเจ้าดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ใจของพระพุทธเจ้า เป็นพระนิพพานแล้ว สรีระร่างกายแตกไปตามธรรมชาติของเกิดมาแล้วจะต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ใจที่พระพุทธเจ้าเป็นพระนิพพานแล้วก็สู่พระนิพพานโดยธรรมชาติ เพราะเป็นพระนิพพานอยู่แล้ว ตั้งแต่มีชีวิตอยู่ 'อุปาทิเสสนิพพาน' ก็หมายถึง กิเลสทั้งสิ้น กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด หมดสิ้นไป ไม่มีแล้วในดวงจิตดวงใจพระพุทธเจ้านั้น 'อนุปาทิเสสนิพพาน' หมายถึงสรีระร่างกายแตกทำลายไป ธาตุขันธ์แตกทำลายไป ธรรมชาติจิตที่เป็นพระนิพพานนั้น ก็เป็นพระนิพพาน ไม่ได้เสียหายไปไหน ...พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตนี้ยังมีอยู่ ไม่ได้เสียหาย ใครเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นสัจธรรม ท่านผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้าทันที ผู้ใดเข้าถึงธรรม ผู้นั้นเข้าถึงพระพุทธเจ้า ในเมื่อเข้าถึงพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่เห็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
...จึงว่า พระพุทธเจ้าที่เห็นนั้น ไม่ใช่เห็นรูป ไม่ใช่เห็นเป็นตัวเป็นตน หมายถึงเห็นขึ้นที่จิตที่ใจของผู้เข้าถึงปรินิพพานนั้น แล้วจะเห็นพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ทีเดียว ไม่ได้บกพร่องแม้แต่น้อย ."
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร ) วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
ถ้าเรามุ่งมั่นปฏิบัติหาทางพ้นทุกข์ เสาะแสวงหาทางพ้นทุกข์ ถ้าเรามั่นใจ จริงจังและจริงใจ คล้าย ๆ ว่าน้ำไหลลงช่องเดียว ใจของเราเหมือนกัน ถ้าเป็นสมาธิ จิตมุ่งมั่นอยู่จุดเดียว มีแต่จะหวังหาทางพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่ได้มุ่งหวังอย่างอื่น เมื่อเรามีจิตใจมุ่งหวังอย่างเดียว นั่งภาวนาจะทำให้จิตใจสงบได้ง่าย ในเมื่อพิจารณา เป็นปัญญา เกิดขึ้น รู้จริง เห็นจริงในความรู้สึกนั้น ๆ ในเมื่อเรารู้จริงเห็นจริง ตามความรู้สึก จิตใจของเราเกิดความเบื่อหน่าย คลาย จิตใจก็หลุดพ้นจากอาสวกิเลส มันไปตามแนวแถวนั้น
แต่ถ้าพวกเราอะไรก็ไม่สัจจริงสักอย่าง คลุมเครืออยู่ในจิตในใจของพวกเรา จะทำอันนั้นก็เสียดายอันนี้ จะทำอันนี้ก็เสียดายอันนั้น คะยึกคะเย่อกระอักกระอ่วน กะล่ำกะเหลี่ย อยู่ในจิตในใจของพวกเรา พวกเราคิดว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางไหม มันก็กะล่ำกะเหลี่ย ไปที่ไหนไม่ถึงไหน เพราะฉะนั้น ให้พวกเราต้องสัจจริง และจริงใจ มีสัจจะในใจ
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก จากพระธรรมเทศนา “อย่าแพ้ใจตัวเอง” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗
"ครู ๘ คน ในชีวิต"
๑.ครูคนแรกที่สอนให้เราเป็นคนดี คือ คนแรกที่เราเรียกว่า แม่ ๒.ครูคนที่สอง ที่สอนให้เราเป็นคนเก่ง คือพ่อ ๓.ครูคนที่สามที่สอนเราให้อ่านออกเขียนได้คือ ครูในโรงเรียน ๔.ครูคนที่สี่ ที่สอนให้เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมคือ เพื่อน ๕.ครูคนที่ห้า ที่สอนให้เราใช้ชีวิตคู่คือ คู่ครอง ๖.ครูคนที่หก ที่สอนให้เรารู้จักในการให้คือ ลูก ๗.ครูคนที่เจ็ด ที่สอนให้เรารู้จักคำว่าอภัยคือ ศัตรู ๘.และครูคนสุดท้าย ที่สอนให้เราเรียนรู้ชีวิต คือ ตัวเราเอง
หลวงปู่แหวน สุจินโณ
การรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบันและการปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหัตตมรรค
การ รู้ โดยไม่คิดนั่นเอง คือ การเดิน วิปัสสนา ที่ละเอียดที่สุด ตราบใดที่ยังเห็นว่า จิต คือตัวเราเป็นของ ๆ เรา ที่ต้องช่วยให้ จิต หลุดพ้น ตราบนั้น ตัณหา หรือ สมุทัย ก็จะสร้าง ภพของจิตว่าง ขึ้นมาร่ำไป ขอย้ำว่า ขั้นนี้ จิต จะดำเนิน วิปัสสนา เอง ไม่ใช่ ผู้ปฎิบัติ จงใจกระทำ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลย ที่จงใจ หรือ ตั้งใจ บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้ มีแต่ จิต เค้าปฏิวัติตนเองไป เท่านั้น
การรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบันและการปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหัตตมรรค
เมื่อ จิต ทรงตัว รู้ แต่ ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้งจะมี บางสิ่งผุดขึ้นมาสู่ภูมิรู้ของจิต แต่ จิตไม่สำคัญมั่นหมาย ว่า มันคืออะไร เพียงแค่ รู้เฉย ๆ ถึงความ เกิด ดับ นั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้ เป็นการเดิน วิปัสสนาขั้นละเอียดที่สุด ถึงจุดหนึ่ง จิต จะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่ มรรค ผล นั้น รู้ มีตลอดแต่ไม่คิดและไม่สำคัญมั่นหมายใน_สังขารละเอียดทีผุดขึ้นมานั้น บางอาจารย์ จะสอนผิด ๆ ว่า
ในเวลาบรรลุ มรรค ผล จิตดับความรับรู้ หายเงียบไปเลย โดยเข้าใจผิดในคำว่า "นิพพานัง ปรมัง สูญญัง" สูญ อย่างนั้นเป็นการ สูญหายไปแบบ "อุทเฉททิฏฐิ"
สภาพของ มรรค ผล ไม่ได้เป็นเช่นนั้น การที่ จิต ดับความรับรู้นั้น เป็นภพชนิดหนึ่ง เรียกว่า"วิสัญญี" หรือ ที่คนโบราณเรียกว่า "พรหมลูกฟัก" เท่านั้นเอง
เมื่อ จิต ถอยออกจาก อริยมรรค และ อริยะผล ที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็นอย่างนี้
สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นต้องดับไป ธรรมชาติบางอย่างมีอยู่ แต่ก็ไม่มีความเป็นตัวตนสักอณูเดียว
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้นของพระโสดาบัน คือ
"ไม่เห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่ตัว จิต เอง เป็นตัวเรา แต่ ความยึดถือในความเป็นเรายังมีอยู่" เพราะขั้นความเห็น กับความยึดนั้น มันคนละขั้นกัน
เมื่อบรรลุถึงสิ่งที่บัญญัติว่า พระโสดาบัน แล้ว ผู้ปฏิบัติยังคงปฏิบัติอย่างเดิมนั่นเอง
แต่ตัว จิต ผู้รู้ จะยิ่งเด่นดวงขึ้น ตามลำดับ จนเมื่อบรรลุ พระอานาคามี แล้ว จิต ผู้รู้ จะเด่นดวงเต็มที่
เพราะพ้นจากอำนาจของ กาม การที่จิตรู้อยู่กับจิตเช่นนั้นแสดงถึงกำลังของสมาธิอันเต็มเปี่ยม
เพราะ สิ่งที่เป็นอันตรายต่อ สมาธิ คือ กาม ได้ถูกล้างออกจาก จิต หมดแล้ว
ผู้ปฏิบัติในขั้นนี้หากตายลง จึงไปสู่พรหมโลกโดยส่วนเดียว ไม่สามารถกลับมาเกิดในภพของ มนุษย์ ได้อีกแล้ว
นักปฏิบัติจำนวนมากที่ไม่มี ครูบาอาจารย์ชี้แนะ จะคิดว่า เมื่อถึงขั้นที่ จิตผู้รู้ หมดจดผ่องใส แล้วนั้น ไม่มีทางไปต่อแล้ว แต่ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล กลับสอนต่อไปอีกว่า "พบ ผู้รู้ ให้ทำลาย ผู้รู้ พบ จิต ให้ทำลาย จิต" จุดนี้ ไม่ใช่การเล่นสำนวนโวหาร ที่จะนำมาพูดเล่น ๆ ได้ ความจริงก็คือ สอนว่า "ยังจะต้องปล่อยวาง ความยึดมั่นจิตอีกชั้นหนึ่ง" มันละเอียดเสียจน ผู้ไม่ละเอียดพอ ไม่รู้ว่ามีอะไรจะต้องปล่อยวางอีก
เพราะความจริงตัว จิตผู้รู้ นั้น ยังเป็นของที่ตกอยู่ในอำนาจของ ไตรลักษณ์ บางครั้ง ยังมีอาการหมองลงนิด ๆ พอให้ สังเกตเห็นความเป็น ไตรลักษณ์ ของมัน
แต่ ผู้ปฏิบัติที่ได้รับการอบรม เรื่อง จิต มาดีแล้ว จะเห็น ความยึดมั่น นั้น แล้วไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ รู้ทัน เท่านั้น จิต จะประคองตัวอยู่ที่ รู้ โดยไม่คิดค้นคว้าอะไร มันเงียบสนิทจริงๆ ถึงจุดหนึ่ง จิต จะปล่อยวาง ความยึดถือจิต "จิต จะเปิดโล่งไปหมด ไม่กลับเข้าเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ใด ๆ ที่จะพาไปก่อเกิดได้อีก
แยกรูปถอดคือความคิดปรุงแต่งสู่ความว่าง แยกความว่างสู่มหาสูญญตา
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดุลย์ อตุโล)
ความสบายใจไม่ได้เกิดจาก ทำทุกสิ่งให้ได้ดั่งใจ แต่เกิดจากใจที่ยอมรับว่า ไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจเราไปทั้งหมด
หลวงพ่อชยสาโร สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
สัมมาญานะ “ธรรมะ ๙ ตา” . …..“สัมมาญานะ” แปลว่า “ญาณ” หรือ ความรู้ที่ถูกต้อง อย่างที่ออกชื่อมาเมื่อตะกี้นี้ ขอออกชื่ออีกทีว่า “สัมมาญานะ” นี้จะมองกันในแง่ที่ชัดเจน แจ่มแจ้ง ลึกซึ้งที่สุด ก็ว่า มันเป็นความรู้แจ้ง ๙ “ตา” คือ อนิจจตา เห็นความไม่เที่ยง, ทุกขตา เห็นความเป็นทุกข์, อนัตตตา เห็นความไม่ใช่ตน นี้ ๓ ตา แล้วนะ! …..เห็น ๓ ตานี้แล้ว ก็จะเห็นว่า “ธัมมัฏฐิตตา” โอ้ ! มันตั้งอยู่อย่างนี้ตามธรรมชาติ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อเห็นว่าต้องตั้งอยู่อย่างนี้ตามธรรมชาติแล้ว มันก็เห็นว่ามี “ธัมมนิยามตา” คือ กฎตายตัวของธรรมชาติบังคับอยู่อย่างนี้เรียกว่าเห็น“ธัมมนิยามตา” เห็นธัมมนิยามตาก็เห็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามกฎ เป็นไปตามกฎก็เรียกว่าเห็น “อิทัปปัจจยตา” …..ถ้าคุณเห็น “อิทัปปัจจยตา” ก็หมายความว่า เหลียวไปทางไหนก็เห็นแต่ว่า สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้นไม่ว่าอะไร นี่มันเป็นเรื่องเห็นลึกถึงภายใน แม้แต่ก้อนหินก้อนนี้ เห็นว่ามันนิ่งกลิ้งอยู่อย่างนี้ แต่มันก็กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย (ตามกฎของ) “อิทัปปัจจยตา” . ชุดนี้เราได้ ๓ ตา คือ ธัมมัฏฐิตตา ตั้งอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ, ธัมมนิยามตา มีกฎธรรมชาติบังคับอยู่, อิทัปปัจจยตา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันอยู่เนืองนิตย์ ได้ ๓ ตา …..ถ้าเห็นถึงขนาดว่า โอ้ ! มีแต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ ไม่มีตัวตนที่คงที่ถาวรแล้ว ก็เห็นว่า มันว่างจากตัวตน คือ เห็น “สุญญตา” เห็นว่าว่างจากตัวตน คือเห็นสุญญตา ถ้าเห็นสุญญตาถึงที่สุด ก็เห็น อ้อ! มันเป็นเช่นนี้เอง ทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งปวงมันเป็นเช่นนี้เอง เรียกว่า เห็น “ตถาตา” …..นี้พอเห็น“ตถาตา” แล้ว ก็พอแล้ว มันไม่อยากได้อะไร ไม่หลงรักอะไร ไม่หวังอะไร ก็เกิด“อตัมมยตา” ขึ้นมา กลุ่ม ๓ หลังนี้ คือ สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา ช่วยจำให้ดีๆซิ ๙ ตา ดวงตาแก้วตา ๙ ดวงนี้ มันมีความหมายชัดเจนครบถ้วนเพียงพอ พูดกันไว้เรื่อยๆ หรือท่องกันไว้เรื่อยๆ แล้วอภิปรายทำความเข้าใจโต้แย้งกันเรื่อยๆ ๙ ตานี้น่ารักน่าพอใจเหมือนกับแก้วตามีอยู่ ๙ ดวง ดังที่กล่าวแล้ว อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา แล้วก็ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา แล้วก็ สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา ๙ “ตา” . “ตา” นี้แปลว่า “ภาวะ” ภาวะที่เป็นอย่างนั้นๆ อนิจจตา ภาวะแห่งความไม่เที่ยง ทุกขตา ภาวะแห่งความเป็นทุกข์ อนัตตตา ภาวะแห่งความไม่ใช่ตน ธัมมัฏฐิตตา ภาวะแห่งการตั้งอยู่อย่างธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ธัมมนิยามตา ภาวะที่ต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ อิทัปปัจจยตา ภาวะที่จะต้อง เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ตามเหตุตามปัจจัยของมัน สุญญตา ภาวะที่ว่างจาก “ตัวตน” ไม่มีสาระเป็นตัวตน ที่จะต่อสู้กับความไม่เที่ยงเป็นต้นได้ ตถาตา เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ดังนั้นเอง เช่นนั้นเอง มันเช่นนี้เอง . …..ถ้าเห็นเช่นนี้เองก็หยุดปรุงแต่ง หยุดรัก หยุดโกรธ หยุดเกลียด หยุดกลัว หยุดอะไรหมด มันก็เป็นภาวะที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ คือ ปรุงแต่งให้รัก ให้โกรธ ให้เกลียด ให้กลัว ไม่ได้ นี่เป็น“อตัมมยตา” …..ค่อยเป็นมาตามลำดับ แจ้งชัด ชัดแจ้งยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ตามลำดับจนครบ ๙ ตา “ตา”อันสุดท้ายคือ “อตัมมยตา” นี่ก็อยู่เหนือการปรุงแต่งทั้งปวง ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดบวกหรือเกิดลบ คือไม่ดีใจและไม่เสียใจ”
พุทธทาสภิกขุ ที่มา : ธรรมบรรยายชุด “อตัมมยตาปริทัสน์” เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๒ หัวข้อเรื่อง “อตัมมยตา กับ ไตรสิกขา” # ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. #
กำหนด “รู้”....”ดวงรู้”
ถ้าผู้ใดสามารถกำหนด “ รู้” กำหนดรู้ “ดวงรู้” ตามที่กล่าวมาแล้ว
ข้างนอก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเราทั้งนั้น
ถือตามสมมุติบัญญัติ ว่าเป็นเรา เป็นของของเรา โดยสมมุติ
โดยสภาวะธรรมแล้ว “มันไม่มีอะไร” ไม่เป็นอย่างนั้น เป็นสภาวะที่มีรูปร่างเท่านั้นเอง เป็นชายเป็นหญิงคือ “รูปอันเดียวกัน”
พระพุทธเจ้าต้องการให้เรารู้ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตสัจจะ
พระพุทธเจ้าให้ใช้สมมุติสัจจะ ให้เป็น
ไม่ใช่ไปใช้สมมุติสัจจะให้เป็นทุกข์
ใจ น้อมเข้ามาหา ใจ .... น้อมเข้ามาหาใจ.... แล้วพิจารณาใจ ....มันมีตัวตนมั๊ย
ขณะที่กำหนดรู้ มีรูปร่างไหม? .... หรือมันมีแค่ รู้ ....สาวมันเข้าไป....ให้ รู้จักตัวเอง.... แก่นแท้ของตัวเอง ให้ได้
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
ถ้าใครถนัดทำสมาธิก็ทำสมาธิได้ ซึ่งก็ต้องจดจ่ออยู่ในอารมณ์ เช่น การจดจ่ออยู่กับลมหายใจ มันก็จะได้สมาธิมากขึ้นมา มีสมาธิมากขึ้นมา ทุกอย่างสงบ มันก็จะไปพบความนิ่ง ความสงบ ความมีสมาธิ ความว่าง ก็ต้องไปต่อยอดกันในสมาธิอีก ในความสงบในความนิ่งก็ต้องรู้สภาวะนั้น ๆ ความสงบ สมาธิ ปีติ ความสุข จิตผู้รู้ในนั้นอีก มันก็จะต่างกับขณิกสมาธิ
ขณิกสมาธิมันจะรู้ไปทั่ว รู้กาย รู้ใจ รู้สภาวะต่าง ๆ ทางตาทางหู เพราะมันเบาขึ้น
เมื่อสมาธิลึกลงไป มันก็ให้ความสงบมากขึ้น ให้ความนิ่ง ให้ความสงบ ทุกอย่างมันก็จะราบเรียบมากขึ้น สภาวะต่าง ๆ ก็จะสงบราบเรียบไปหมด ทางกายก็อาจจะไม่ค่อยรู้สึก มันยังต้องไปต่อยอดกันทางจิตทางใจ
#เจริญวิปัสสนาไปเลยแบบขณิกสมาธิ #รู้สภาวะต่างๆ #เหมือนคนว่ายน้ำไปตามผิวน้ำ #มันก็เจออะไรเยอะแยะ
#แต่ถ้าปฏิบัติในระดับทำสมาธิมาก #ฝึกให้จิตมีสมาธิแล้วก็ต่อยอดในสมาธิให้เป็นวิปัสสนา #เหมือนคนดำลึกลงไปแล้วก็ว่ายไปใต้น้ำ #ทุกอย่างมันก็คงจะราบเรียบกว่ากัน
ฉะนั้นเราก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าสมาธิมาก จะให้มันรู้ความรู้สึกต่าง ๆ เหมือนขณิกสมาธิไม่ได้ ที่จะมาจับความไหว ความกระเพื่อม สะเทือน รู้สึกต่าง ๆ เวทนา ทุกอย่างมันก็จะสงบเงียบเรียบไปหมดด้วยสมาธิ เหลืออยู่ทางใจ ถ้าต่อไม่ได้มันก็จะไปแค่นิ่ง นิ่ง ว่าง สงบ เฉยอยู่อย่างนั้น ฉะนั้นในความนิ่งสงบก็ต้องสังเกตใจผู้รู้อยู่ดี
#คนที่เจริญแบบวิปัสสนาแบบขณิกสมาธิ #มันก็จะใช้กับชีวิตประจำวัน ยืน เดิน นั่ง นอน ทำ พูด คิด รู้สภาวะไปต่าง ๆ แต่กิเลสก็เกิดได้ มีราคะ โทสะ โมหะ ก็ระลึกรู้กิเลสนั่นแหละ มีอกุศลเกิดขึ้น ก็รู้อกุศลอย่างวางเฉย
#การได้เห็นกิเลสเกิดขึ้น #ก็เหมือนเราจะทำความสะอาด กวาดบ้าน รื้อพรม #มันก็ต้องเจอขยะเจอฝุ่นเจอสิ่งสกปรกเป็นธรรมดา #เราจะไปกลุ้มใจทำไมกิเลสเยอะเหลือเกินไม่ได้ #ถ้าเรารื้อมา #ต้องเจอ #ก็ต้องชำระมันไป #ถ้าเราไปกลุ้มกับกิเลส #มันก็เลยติดกับกิเลส รื้อบ้านแล้วเจอฝุ่นเจออะไรรก กลุ้มใจ โวยวายหนัก
เราก็ต้องค่อย ๆ ทำไป ทำความสะอาดอย่างไรที่มันไม่วุ่นวาย ก็ต้องค่อย ๆ เช็ด ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ขัดไป รื้อออกมาดู เจอฝุ่น ก็เช็ดไปอะไรไป
เจอฝุ่นดีไหมเล่า? มันก็ได้เช็ดให้สะอาด เจอแล้วก็เช็ด เจอแล้วก็เช็ด เจอกิเลสก็จะได้ชำระกิเลส ไม่เจอ มันก็มีแล้วเหมือนไม่มี ปกปิดอยู่อย่างนั้น พรมคลุมไว้อย่างนั้นก็ไม่เจอ
ถ้าเราฝึกไปมีสมาธิมาก สมาธิมันก็จะข่มกิเลสไว้หมดไม่ปรากฏ ความที่ยังยึดอารมณ์ ความที่ยังอยากในอารมณ์ ความที่ยังหลงในอารมณ์ มีสติ พอใจติดใจในสติ มีสมาธิ พอใจติดใจในสมาธิ อย่างนี้ก็ต้องไปดูตัณหาในนั้นหรือว่าธัมมตัณหา
แต่ไม่ใช่กลัวตัณหา กลัวกิเลส แล้วไปทำลายสมาธิ ไปทำลายปีติ มันก็ไม่ใช่อีก เหมือนคนเจอห้องแอร์แล้วไปทำลายแอร์ กลัวจะเกิดกิเลส มันก็ไม่ใช่ แอร์ไม่ใช่ตัวกิเลส ความสงบไม่ใช่กิเลส สมาธิไม่ใช่กิเลส ปีติไม่ใช่กิเลส ความสุขมีได้ สมาธิมีได้ แต่ความเพลินติด ความติดใจหลงใหลนี้ต่างหากที่ต้องละ ต้องไปอ่านตรงนั้น ถ้าอ่านไม่ออกมันก็จะติดอยู่
อย่างเราปฏิบัติขณิกสมาธิ กิเลสมันเห็นชัดขึ้นมา มันมีกิเลสอย่างกลางปรากฏ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง ก็แล้วแต่ ก็ทำใจว่าดีเหมือนกัน จะได้ขุดรากถอนโคนกิเลสออกไป
ธรรมบรรยาย เทคนิคการปฏิบัติกรรมฐาน คอร์สอบรมวิปัสสนากรรมฐานประจำเดือนกันยายน ๒๕๖๖ (๑๗ กันยายน ๒๕๖๖) ............................. ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
"...มนุษย์เราน่ะ... เห็นนรกเป็นสระน้ำ พอลงไปแล้วนั่นแหละถึงได้รู้ว่ามันสกปรกเหลือเกิน เลอะเทอะเหลือเกิน จะขึ้นก็ไม่ได้ เพราะมันเปรอะเปื้อนเปียกปอนไปเสียแล้ว จะทำให้มันหายก็ไม่ได้ เพราะมารู้ตัวก็เมื่อสายเสียแล้ว . เราน่ะเศร้าใจเหลือเกินเวลาเห็นคนที่เดินทางผิดไปในทางชั่วกัน อยากให้คิดให้พิจารณากันด้วยสติและขันติความอดทน ก่อนจะทำอะไร ว่านั่นคือหนทางที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ ให้มีสติ และมีขันติกันให้มาก หากได้สิ่งนี้ ชีวิตนี้ก็จะมีแต่ความเจริญ มีแต่ความสุขกันเอง ทำกันให้ได้ แล้วเธอจะเห็นเอง... " . . #หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี
หลวงปู่ดู่ ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักไหน ๆ ในเชิงลบหลู่หรือเปรียบเทียบดูถูกดูหมิ่น ท่านว่า “คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร” ซึ่งลูกศิษย์ทั้งหลายได้ถือเป็นแบบอย่าง
หลวงปู่ดู่เป็นพระพูดน้อย ไม่มากโวหาร ท่านจะพูดย้ำอยู่แต่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมและความไม่ประมาท เช่น “ของดีอยู่ที่ตัวเรา หมั่นทำ (ปฏิบัติ) เข้าไว้” “ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต” “อย่าลืมตัวตาย” และ “ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เป็นต้น
หลวงปู่ดู่เป็นผู้ที่มีอุบายธรรมลึกซึ้ง สามารถขัดเกลาจิตใจคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป มิได้เร่งรัดเอาผล เช่นครั้งหนึ่งมีนักเลงเหล้าติดตามเพื่อน ซึ่งเป็นลูกศิษย์มากราบนมัสการท่าน สนทนากันได้สักพักหนึ่ง เพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ก็ชักชวนเพื่อนนักเลงเหล้าให้สมาทานศีล ๕ พร้อมกับฝึกหัดปฏิบัติสมาธิภาวนา นักเลงเหล้าผู้นั้นก็แย้งว่า “จะมาให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติได้ยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ” หลวงปู่ดูท่านก็ตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปซิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละ ๕ นาทีก็พอ” นักเลงเหล้าผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละ ๕ นาที ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร จึงได้ตอบปากรับคำจากหลวงพ่อ
ด้วยความที่เป็นคนนิสัยทำอะไรทำจริง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทำให้เขาสามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอเรื่อยมามิได้ขาดแม้แต่วันเดียว บางครั้งถึงขนาดงดไปกินเหล้ากับเพื่อน ๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติ จิตของเขาเริ่มเสพคุ้นกับความสุขสงบจากการที่จิตเป็นสมาธิ ไม่ช้าไม่นานเขาก็สามารถเลิกเหล้าได้โดยไม่รู้ตัวด้วยอุบายธรรมที่น้อมนำมาจากหลวงปู่ ต่อมาเขาได้มีโอกาสมานมัสการท่านอีกครั้ง ทีนี้หลวงปู่ดู่ท่านให้โอวาทว่า “ที่แกปฏิบัติอยู่ ให้รู้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง” คำพูดของหลวงปู่ทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น ศรัทธาและความเพียรต่อการปฏิบัติก็มีมากขึ้นตามลำดับ ถัดจากนั้นไม่กี่ปี เขาผู้ที่อดีตเคยเป็นนักเลงเหล้าก็ละเพศฆราวาสเข้าสู่เพศบรรพชิต ตั้งใจปฏิบัติธรรมเรื่อยมา
(หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ)
"ในขณะที่นั่งภาวนา เราควรจะต้องปิดทวารทั้ง ๕ ให้แน่นหนาทุกๆ ทวาร . ตา เราปิดเสีย ไม่ต้องการดูรูปดีและชั่วทั้งหมด, หู เราก็ปิดเสีย เสียงใดที่ไม่จำเป็น เช่นเสียงที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์แก่การฟังก็ไม่จำเป็นต้องฟัง นอกจากเสียงที่จะเป็นประโยชน์ เช่นเสียงที่พูดแนะนำให้กระทำความดี แล้วจึงควรเปิดรับฟัง, ส่วนจมูก เป็นเรื่องจำเป็นของชีวิต เพราะถ้าไม่มีจมูกเป็นทางหายใจแล้ว ก็จะทำให้อวัยวะส่วนอื่นๆ ขัดข้องไปทุกอย่าง ตลอดจนชิวหาทวารคือ ปาก . ส่วนกายของเราก็ควรมีแต่การนั่งเพียงอิริยาบถเดียว เช่น ที่เรากำลังนั่งขัดสมาธิ หรือพับเพียบกันอยู่ บัดนี้ เราต้องพยายามปิดทวารต่างๆ เหล่านี้โดยไม่ต้องให้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปใช้ในการอื่นเลย นอกจากเรื่องของการทำสมาธิ คือ ต้อนใจให้เข้าไปอยู่ในเอกัคคตารมณ์อันเดียว ให้เงียบอยู่ภายในบ้านของตัวเอง คือ ร่างกาย โดยปิดประตูหน้าต่างเสียให้หมด" . . ท่านพ่อลี
"...การถวายสังฆทานหมายความว่า ทายกมีปัจจัยสี่ อะไรก็ได้ โดยเจตนาน้อมถวายเพื่อสงฆ์ เข้าไปใน วัด ไปบอกกับพระองค์ใดองค์หนึ่ง ข้าพเจ้าขอถวาย สังฆทาน จะกล่าวคำถวายก็ตาม ไม่กล่าวก็ตาม เพียงแต่ประเคนของแล้วบอกว่า ถวายสังฆทานนะ พระคุณเจ้า บอกให้ท่านรู้อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน แต่ถ้าจะทำให้ถูกต้องตามวิธีจริงๆ แล้ว ในเมื่อ จัดของที่เป็นสังฆทานแล้ว เราก็นำไปหาพระ นิมนต์พระมาสัก ๔ องค์เป็นอย่างน้อย แล้วก็จุดธูป จุดเทียนไหว้พระสมาทานศีล ๕ เสร็จแล้วก็กล่าว คำถวายสังฆทาน ในเมื่อถวายพระแล้ว ท่านอนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี
ประโยชน์ที่จะให้เกิดขึ้นนั้น ตามหลักที่พระพุทธ องค์แสดงไว้ว่า การให้ทานแก่บุคคลผู้เดียว ท่านเรียกว่า บุคคลิกทาน เป็นทานที่เฉพาะเจาะจง อานิสงส์มีน้อย แต่ถ้าทำกับพระสงฆ์นั้นมีอานิสงส์ มาก ถ้าหากทำกับสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นประธาน ยิ่งมีอานิสงส์อย่างมากมาย ผลแตกต่างกันอย่างนี้
ผ้าป่าและกฐิน กฐินนี้เป็นสังฆทานโดยตรง หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ้าป่านี้เป็นสังฆทานก็ได้ เป็นส่วนบุคคลก็ได้ แล้วแต่เจตนาของผู้ทำ แต่กฐินต้องสังฆทานอย่างเดียว..."
#ที่มา หนังสือ ธรรมปฏิบัติและตอบปัญหาการปฏิบัติ ธรรม : พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ) ..................................................................
เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้ความเพียรพยามยาม เอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราสละชีวิตแล้วเพื่อพระศาสนธรรม ซึ่งจะยังตนให้พ้นจากทุกข์ ไม่มีการล่มจม การประกอปความพากเพียร ไม่ว่าจะวิธีใด อิริยาบถใด เป็นสิ่งที่จะปลดเปลื้อง กิเลสอาสวทั้งนั้น
..โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว..
#นักปฏิบัติลังเลใจ "..ปัจจุบันนี้ศาสนิกชนผู้สนใจในการปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนา มีความงวยงง สงสัยอย่างยิ่งในแนวทางปฏิบัติโดยเฉพาะผู้เริ่มต้นสนใจ เนื่องจากคณจารย์ฝ่ายวิปัสสนาแนะแนวปฏิบัติไม่ตรงกัน
ยิ่งกว่านั้น แทนที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจโดยความเป็นธรรม ก็กลับทำเหมือนไม่อยากจะยอมรับคณาจารย์สำนักอื่น ว่าเป็นการถูกต้อง หรือถึงขั้นดูหมิ่นสำนักอื่นไปแล้วก็เคยมีไม่น้อยฯ
ดังนั้น เมื่อมีผู้สงสัยทำนองนี้มาก และเรียนถามหลวงปู่อยู่บ่อยๆ จึงได้ยินหลวงปู่อธิบายให้ฟังอยู่เสมอว่า
“การเริ่มต้นวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว
ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องมีวัตถุ สี แสง และคำสำหรับบริกรรม เช่น พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น
เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน เมื่อจิตรวม สงบแล้ว คำบริกรรมนั้นก็หลุดหายไปเอง แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือ มี วิมุติ เป็นแก่น มีปัญญา เป็นยิ่ง.."
#เทศนาธรรมคำสอน พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
“อตัมมยตา” ความมีจิตที่อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ . ….. “ จะพูดอีกสักคำซึ่งกำลังเป็นปัญหา คือ จะมี“อตัมมยตา” คำนี้ไม่รู้จักใช่ไหม? อตัมมยตา คือ ภาวะแห่งจิตใจที่อะไรๆจะปรุงแต่งไม่ได้ บาปอกุศลก็ปรุงแต่งจิตนี้ไม่ได้ บุญหรือกุศลก็ปรุงแต่งจิตนี้ไม่ได้ ปัจจัยอะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ปรุงแต่งไม่ได้ โลกธรรมฝ่ายดีก็ปรุงแต่งไม่ได้ ฝ่ายชั่วก็ปรุงแต่งไม่ได้ จิตที่อยู่ในสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อย่างนี้เรียกว่า “อตัมมยตา” ไม่สำเร็จมาแต่สิ่งปรุงแต่งนั้น เดี๋ยวนี้อะไรมันก็ปรุงแต่งได้ เพราะมันมีได้ทั้งสองทางนี้ ทางบวกทางลบ ปรุงแต่งกันเรื่อยไม่หยุด ถ้าอยู่เหนือความเป็นบวกเป็นลบแล้วอะไรจะปรุงแต่งได้ ก็เรียกว่ามี อตัมมยตา ก็ปรุงแต่งไม่ได้ เพราะไม่มีกิเลส เพราะมันก็สิ้นกิเลสนั้นแหละจึงจะปรุงแต่งไม่ได้ ….. ดังนั้น ความมีอตัมมยตามันก็เป็นพระอรหันต์ ความหมายแห่งความเป็นพระอรหันต์ ถ้าปรุงแต่งได้ก็เป็นบุถุชน ปรุงแต่งน้อยเข้าๆก็เป็นพระอริยเจ้า ไม่ปรุงแต่งเลยมันก็เป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้จะมีภาวะของจิตที่อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ก็เรียกว่าอตัมมยตา ….. มันตกค้างอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่มีใครจะเอามาพูด พออาตมาเอามาพูดเขาก็ว่าเอามาหลอกคน เอาอะไรไม่รู้มาหลอกคน ย้อมแมวขาย ที่จริงเป็นเรื่องตกค้างอยู่ในพระไตรปิฎก มีอยู่หลายแห่งแต่ไม่ได้เอามาพูดกัน ควรจะได้ยินเสียด้วยว่า “อตัมมยตา” ความที่อะไรๆปรุงแต่งจิตนี้ไม่ได้อีกต่อไป มันมาจากการปฏิบัติธรรมสูงสุดมาแล้วตามลำดับๆ มีปรมัตถธรรมที่เห็นมาแล้วตามลำดับ คือเห็น อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา แล้วก็เห็น ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา แล้วก็เห็น สุญญตา ตถาตา แล้วก็ อตัมมยตา มันเป็นอันดับสุดท้ายของความเห็นที่ถูกต้อง เห็นจนไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ….. ภาวะที่ปรุงแต่งไม่ได้นี้เรียกว่า“อตัมมยตา” จะเกิดกิเลสอีกก็ไม่ได้ เกิดความรู้สึกในบวกในลบอีกไม่ได้ ไม่หลงดีหลงชั่ว หลงบาปหลงบุญ ไม่หลงในอะไรหมด ….. นี่..สบายเท่าไหร่ล่ะ “อตัมมยตา” คือความที่อะไรๆปรุงแต่งจิตไม่ได้ ผู้ใดมีอตัมมยตาผู้นั้นเป็น “อตัมมโย” คือเป็นพระอรหันต์ เมื่อถึงที่สุดแห่งปรมัตถธรรมแล้วอตัมมยตาก็มีขึ้นมา มันก็เป็น “อตัมมโย” คือ พระอรหันต์…” . พุทธทาสภิกขุ ที่มา : ธรรมบรรยายแก่คณะสมาธิภาวนา ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๔ ที่หน้ากุฏิ สวนโมกขพลาราม จากหนังสือธรรมบรรยาย “ปรมัตถธรรมสำหรับดำเนินชีวิต หน้า ๑๗๖ - ๑๗๗ # ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
|