Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ประพฤติธรรม

ศุกร์ 24 ม.ค. 2025 5:17 am

"ทุกวันนี้ บางทีก็ร้าย บางทีก็ดี
บางทีก็ชอบใจ บางทีก็ไม่ชอบใจ
คนทุกๆ คน นั่งอยู่ในนี้ก็เหมือนกัน
จะทำให้ถูกใจเราทุกคน มีไหม
มันไม่ได้ นอกจากเราปฏิบัติธรรมะให้รู้ว่า
คนๆ นี้ มันเป็นอย่างนี้ นานาจิตตัง"

หลวงปู่ชา สุภัทโท





"...เรื่องที่เรารู้จริง ก็อย่าไปยึดถือ
เรื่องไม่จริง เราก็ไม่ยึด ไม่ถือเอา
ยึดในความเห็นก็มีโทษ ยึดในความรู้
ที่ไม่จริง ก็มีโทษ ยึดในความรู้ที่จริง
ก็มีโทษ รู้ ตัวนี้เป็น ทิฏฐิโอฆะ ถ้าเข้า
ไปยึดก็ผิด รู้ก็ต้องสักแต่ว่ารู้ เห็นก็สัก
แต่ว่าเห็นเท่านั้น ไม่ต้องไปตื่นเต้น
ชื่นชม ยินดี หรือโอ้อวดใคร..."

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






ภาวนา

"การภาวนา คือวิธีอ่านตัวเรา ให้รู้ความผิด ถูก ชั่ว ดี ได้อย่างถูกต้อง ยิ่งกว่าผู้อื่นจะมาคอยชี้แจงความบกพร่องของเรา ให้เราทราบเสียอีก ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีกำจัดหรือลดละความผิดของตัวที่เคยที่มา และปิดกั้นสิ่งไม่ดีทั้งหลายมิให้เกิดขึ้นอีกต่อไปด้วย…

"การไม่หัดอ่านตัวเองทำให้เกิดเรื่องยุ่งบ่อย

…การภาวนานี้แล เป็นวิธีการของผู้แสวงหาความสุขโดยถูกต้องอย่างแท้จริง และเป็นวิธี ที่ไม่หลอกลวงให้เกิดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไปใน
ทางที่ผิด…"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด

#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ








คนไม่มีเงิน หรือ ไม่มีเวลาจะไปวัด แต่อยากทำบุญ ก็เพียงเจริญเมตตาจิต ไม่ให้โกรธเกลียดใคร มีแต่ความรักให้แก่เขา วิธีนี้ถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์มากทีเดียว..

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วัดป่าสุคะโต







"คำว่าบุญนั่นน่ะ ถ้าเป็นบุญมันก็ไม่เป็นบาป ถ้าถูกต้อง มันก็ไม่ใช่ผิด การทำบุญแต่ละครั้งสิ้นเปลืองมาก สิ้นเปลืองของภายนอก หมดสัตว์ไปหลายตัวหมดเหล้าไปหลายลัง หมดสิ่งของไปหลายอย่าง เราไม่ได้พิจารณา มันเป็นการทำบุญนอกพระพุทธศาสนา อาตมาพูดไปก็ขัดใจคนที่ยังไม่เข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจแล้วก็ทำผิดไม่ได้ เราเคยคิดไหมว่า บุญที่เราจะได้รับมันคืออะไรอยู่ที่ไหน บุญนั้นก็คือความสุขที่ปราศจากโทษ มันอยู่ที่จิตใจของเราเอง ถ้าหากใจเราไม่เป็นบุญ ใจไม่เลิกละความผิดออกไป ใจไม่ยอมละความชั่ว ความดีจะเข้ามาได้อย่างไร ไม่มีทางเข้ามาได้"

ธรรมโอวาท
หลวงปู่ชา สุภัทโท






"#จิตรวมครั้งแรก...

ร่างกายของเรานี้เป็นเรือนมูตร เรือนคูถ
เป็นอสุภะ
ร่างกายอันนี้ ให้ชำนิชำนาญ เจริญให้มาก ทำให้มาก
ให้มีสติ หรือพิจารณาในที่ทุกสถาน ในกาล
ทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด
พูด ก็ให้มีสติ รอบคอบในกาย อยู่...เสมอจึงจะชื่อว่า ทำให้มาก

แบ่งส่วนแยกส่วน
ออกเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พิจารณาให้เห็นไปตามนั้น
แต่อย่าละทิ้งหลักเดิมที่ตนได้รู้ครั้งแรก

ให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมา
เป็นอนุโลม ปฏิโลม เข้าไปสงบในจิตแล้ว
ถอยออกมาพิจารณากาย
อย่า พิจารณากายอย่างเดียว หรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว

พิจารณาอย่างนี้ชำนาญแล้ว
ทุกสิ่งรวมลงเป็นอันเดียวญาณสัมปยุตต์ คือรู้เกิด จึงชื่อว่า...
“ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสสนา” คือทั้งเห็น ทั้งรู้ตามความเป็นจริง
ขั้นนี้เป็นเบื้องต้น
ในอันที่จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่ที่สุด

#จิตรวมครั้งที่สอง...

สังขารความปรุงแต่ง อันเป็นความสมมติ
ว่าโน่นเป็นของของเรา โน่นเป็นเรา
เป็นความไม่เที่ยง อาศัยอุปาทานความยึดถือ จึงเป็นทุกข์

อาการของจิต ของขันธ์ ๕
ได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปปรุงแต่งสำคัญมั่นหมาย ทุกภพ ทุกชาติ นับเป็น อเนกชาติเหลือประมาณ
มาจนถึงปัจจุบันชาติ จึงทำให้ จิต หลงอยู่...ตามสมมติ

ธรรมชาติทั้งหลาย
มีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม เขาหากมี หากเป็น
เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยู่...อย่างนั้นทีเดียว

ความข้อนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงปฏิญาณ
พระองค์ว่า “เราไม่ได้ฟังมาแต่ใคร มิได้เรียนมาแต่ใคร เพราะของเหล่านี้ มีอยู่...
มีมาแต่ก่อนพระองค์” ดังนี้

สังขาร เป็นอาการของจิต
เปรียบเหมือนพยับแดด ส่วนสัตว์เขาก็อยู่ประจำโลกแต่ไหนแต่ไรมา “ฐีติภูตํ"
จิต ตั้งอยู่เดิม ไม่มี...อาการเป็น

“#ผู้หลุดพ้น”

“สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา”ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตน
พิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์ตามนี้
จนทำให้จิตรวมพึ่บลงไป เห็นจริงแจ้งชัดตามนั้น
จิตรวมทวนกระแส แก้ “อนุสัยสมมติเป็นวิมุตติ” หรือ “รวมลงฐีติจิต”
อันเป็นอยู่ มีอยู่อย่างนั้น จนแจ้งประจักษ์ในที่นั้นด้วย “ญาณสัมปยุตต์”
ว่า “ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ” ดังนี้

ในที่นี้ ไม่ใช่สมมติ ไม่ใช่ ของแต่งเอา เดาเอา
ไม่ใช่ ของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้
เป็นของที่เกิดเอง เป็นเองรู้เอง โดยส่วนเดียวเท่านั้น

“#วิมฺตติธรรม”

มิใช่สิ่งอันบุคคลจะพึงปรารถนา เอาได้
คนผู้ปรารถนาวิมุตติธรรม แต่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง
หรือไม่ปฏิบัติ มัวเกียจคร้านจนวันตาย
จะประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลยด้วยประการฉะนี้"

------------------
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต








"...ความจริงการภาวนาอย่าไปกำหนด
หมายมั่นมาก ว่าเราได้ญาณขั้นไหน
ฌานขั้นไหน ขอให้มันมีมีความสงบ
มีความรู้ มีสติรู้ทันอยู่เท่านั้นก็เป็นพอ
ความก้าวหน้าของจิตนี่อยู่ตรงที่ว่า
เรามีเจตนาจะงดเว้นอันใด แล้วเรางดเว้น
ได้เด็ดขาดเรามีเจตนาจะละ โลภ โกรธ หลง
เมื่อโลภ โกรธหลง อ่อนกำลังลง หรือว่า
เกือบจะไม่มีเลย นั่นเป็นความก้าวหน้าของจิต

ส่วนภูมิรู้ภูมิเห็นอะไรต่างๆ นั้นอย่าไปสนใจ
เอาตรงที่มันหมดกิเลส เมื่อก่อนนี้ใครว่า
มากระทบ มันผ่านมาแล้วก็เพียะไป
แต่ภายหลังมาภาวนาแล้ว ความรู้สึกอย่างนั้น
มันช้าลง หรือไม่มีเลย
แสดงว่าจิตก้าวหน้า เพราะเราละกิเลส
ได้เยอะแล้ว ให้กำหนดหมายเอาอย่างนี้..."

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย







#เดินวิปัสสนาในปฐมฌาน

"...การเข้าฌาน ถ้าเป็นปฐมฌาน จิตเดินวิปัสสนาได้
ถ้าทุติยฌาน วิตก วิจาร หายไป เดินวิปัสสนาไม่ได้
กลายเป็นฌานสมาบัติ ฌานสมาบัติเริ่มตั้งแต่ทุติยฌานเป็นต้นไป

แต่ลักขณูปนิชฌาน (ฌานในอริยมรรค)หมายถึง ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ ในเมื่อเข้าสมาธิลึกลงไปแล้ว
จะถอนจิตออกมาเจริญวิปัสสนา เป็นไปไม่ได้
นอกจากจิตจะถอนเอง ที่ว่าถอนจิตออกมาเจริญวิปัสสนานี่ เป็นเพียงโวหารเท่านั้น

แต่แท้ที่จริง จิตเข้าไปอยู่ในฌานสมาบัติ แล้วถอนออกมาเอง พอถอนออกมาแล้ว มาถึงระยะที่รู้สึกว่ามีร่างกายตัวตนมาสัมพันธ์กับประสาททางสมอง จิตจะเกิดความคิดขึ้นมาเอง ในช่วงนี้ พอจิตเกิดความคิดขึ้นมา เราปล่อยให้มันคิดไป เอาสติตัวเดียวตามรู้ ๆ ก็เป็นการเจริญวิปัสสนา..."

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา








"...การศึกษาพระพุทธศาสนา
ถ้าจะให้เข้าใจถูกต้องแล้ว ต้องให้มีปริยัติ
คือการศึกษา และปฏิบัติตามความรู้ที่ได้
ศึกษามานั้นให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการปฏิบัติ
ถ้าไม่ยืนตัวอยู่ในไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
แล้ว จะไม่มีความถูกต้องอันจะเกิดความรู้ใน
สัจจธรรมได้เลย มรรคปฏิปทาอันจะให้ถึง
สัจจธรรมนั้น ก็ต้องรวม ศีล สมาธิ ปัญญา
ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วปฏิเวธธรรม
จึงจะเกิดขึ้นได้..."

โอวาทธรรม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








สันโดษแปลว่า “ความพอ”
ไม่ได้หมายความว่าพอเฉพาะเท่าที่มีอยู่
แต่พอตามสติปัญญาความสามารถของตน
มาไขความอยู่ตอนนี้
ใครจะมีความสามารถใช้สติปัญญาของตนเอง
เพื่อประโยซน์แก่ตนเอง หรือส่วนรวม ขนาดไหน อย่างไร ใช้ไปเถอะ
รวมแล้วคือ อย่าให้เกินขอบเขตของศีลห้าก็แล้วกัน

พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
หนังสืออาจาริยบูชา พุธรักษา ๒๕๔๓ หน้า ๑๔







สำหรับผู้ที่ปฏิบัติใหม่
ใส่ใจต่อปรมัตถธรรมยังไม่ถูก
ก็ให้ปฏิบัติไปตามลำดับขั้นตอน
ขั้นตอนมีอยู่ ๔-๕ ขั้นตอน

อันดับแรกคือ #การกำหนดรู้บัญญัติเป็นอารมณ์
บัญญัติคือชื่อ
บัญญัติคือความหมาย
บัญญัติคือรูปร่าง

สัททบัญญัติหรือนามบัญญัติได้แก่ ชื่อ ภาษา
ที่มีการบริกรรมเรียกชื่อ พุทโธ พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ
หรือบริกรรมอย่างอื่นที่พูดในใจ เรียกชื่อในใจ
อย่างนี้เรียกว่าสัททบัญญัติ
จิตจะมีอารมณ์เป็นสัททบัญญัติคือ ชื่อ ภาษา
หรือที่เขาบริกรรมกสิณว่า ปฐวี ปฐวี ปฐวี ดิน ดิน ดิน ดิน
เพ่งน้ำก็อาโป อาโป อาโป บริกรรมในใจ
จิตจะต้องมีสัททบัญญัติหรือนามบัญญัติมาเป็นบริกรรม
บริกรรมภาวนา
โดยมีบริกรรมนิมิตคือสิ่งที่ตั้งของจิต
จะเป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม เป็นที่ตั้งของจิต
จิตไปเพ่งสิ่งเหล่านั้น
เอาสิ่งเหล่านั้นเป็นอารมณ์เป็นนิมิตเครื่องหมายให้จิตไปเกาะ ไปยึด ไปเพ่งไว้
จิตก็ต้องคอยบริกรรม ๆๆ ไว้ในใจ
ดิน ๆๆ หรือภาษาบาลีว่า ปฐวี ๆ
เรียกว่าบริกรรมภาวนา

#แต่ว่าในการปฏิบัติเจริญสติปัฏฐาน
#ก็กำหนดอยู่กับกรรมฐานที่ใกล้ชิดกับปรมัตถ์
เป็นบัญญัติที่ใกล้กับปรมัตถ์หน่อย คืออยู่ที่ตัว
#เพ่งบัญญัติ #บริกรรมอยู่กับบัญญัติ #ก็ให้มันเป็นบัญญัติที่มันใกล้กับปรมัตถ์
#แทนที่จะไปเพ่งดิน #น้ำ #ไฟ #ลม #สี #ภายนอก
#ก็มากำหนดเพ่งอยู่กับบัญญัติที่กายใจนี้

ที่กายก็เช่นลมหายใจเข้าออก
ตามระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก
#ทุกคนก็มีลมหายใจอยู่
มีการหายใจเข้าไป แล้วก็หายใจออกมา
หายใจเข้าไป หายใจออกมา
#ก็ตั้งสติระลึกอยู่กับลมหายใจเข้าออก เข้าออก เข้าออกอยู่
#เพื่อให้จิตมันมีที่เกาะ มีที่ตั้ง มีที่อาศัย มีที่ยึดหน่วง
#จิตจะได้ไม่เตลิดไปเรื่องต่างๆ
#ถ้าจิตไม่มีที่เกาะที่ตั้งไว้มันก็จะลอย
#เลื่อนไหลเลื่อนลอยไปเรื่องนั้นเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปสารพัดเรื่อง
#ก็ทำให้จิตใจมีความวุ่นวายเป็นทุกข์ขึ้นมา

พอตั้งสติควบคุมจิตให้จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้ากับลมหายใจออกให้ต่อเนื่อง ๆ
จิตก็จะละ จะตัดจากอารมณ์ภายนอก
ที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นอดีตอนาคต การงาน คน สัตว์ สิ่งของ
มันก็จะตัดออกไป มามีอารมณ์เป็นลมหายใจแทน
อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ก็จะทำให้มันเกิดสมาธิขึ้น
จิตจะมีสมาธิขึ้น

ในการกำหนดลมหายใจเข้าออกก็มีขั้นตอนอยู่

อันดับแรกก็ดูลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้ายาว หรือออกยาว ก็ให้รู้
มีสติระลึกรู้ให้ชัดลมเข้า ลมออก
ลมเข้ายาว ออกยาว

อีกอย่างก็คือลมหายใจเข้าสั้น ออกสั้น

ก็หมายถึงว่าลมหายใจจะยาวก็ต้องรู้ หรือว่าจะสั้นก็ต้องรู้
ไม่ได้หมายถึงว่าเราไปทำลมให้มันยาวหรือให้มันสั้น
ก็ปล่อยเขาเป็นของเขาเอง
ถ้าเราไปจัดแจงบังคับมัน เดี๋ยวมันก็อึดอัด หายใจไม่สะดวก
ให้ลมเขาเป็นไปของเขาเอง
ทำหน้าที่ตามระลึกรู้ไป
ถ้ามันยาวก็รู้ลมหายใจมันยาว
รู้ไปตลอดลมหายใจยาว
เข้ายาว ออกยาว
เข้าสั้น ออกสั้น

ประการที่ ๓ รู้ตลอดกองลมหายใจ
เริ่มหายใจเข้า กำลังหายใจเข้า หายใจเข้า สุดลมหายใจเข้า
เริ่มลมหายใจออก กำลังหายใจออก กำลังหายใจออก สุดลมหายใจออก
ตามรู้อยู่ทุกระยะ ๆ ทั้งเข้าทั้งออก
จิตมันจะได้ไม่แลบไปคิดเรื่องอื่น
สังเกตตามทุกระยะ ๆ เข้าออก
เรียกว่ากำหนดพิจารณากายทั้งหมด กายสังขาร
ลมหายใจเรียกว่ากายสังขาร สิ่งที่ปรุงแต่งกาย
รู้กองลมหายใจเข้า กองลมหายใจออกทั้งหมด
หรือจะรู้ตลอดกายทั้งตัวก็แล้วแต่

ขั้นที่ ๔ ก็คือการระงับลมหายใจ
การระงับลมหายใจนั้นไม่ได้หมายถึงว่าไปกลั้นไว้
แต่หมายถึงการปรับผ่อน ผ่อนระงับลมหายใจ
แทนที่จะหายใจพรวดพราดฟืดฟาด มันหยาบ
ก็คอยประคองหน่อย ประคองลมหายใจเข้าออก
ปรับผ่อน ผ่อนระงับ
ไม่ปล่อยมันฟืดออกมา เข้าแรงออกแรง
ผ่อน ๆๆๆ ลมหายใจ
มันก็จะทำให้ลมหายใจมีความละเอียด
ลมหายใจละเอียด นุ่มนวล สละสลวยขึ้น

อย่างเราสังเกตเวลาหายใจเข้าแล้วก็ผ่อนออก
ค่อย ๆ ผ่อนออก
เหมือนกับว่าจะทำลมหายใจที่เข้าออกให้มันนุ่มนวล
จะทำอะไรก็ค่อย ๆ ทำให้มันดี นุ่มนวล
มันก็จะมีสมาธิ
ลมหายใจไม่เสียดแทง
ถ้าลมมันละเอียดแล้ว มันจะไม่เสียดแทงร่างกาย
ถ้าลมมันยังหยาบ พอกำหนดดูไปนาน ๆ เดี๋ยวมันจะเสียดแทง
ทำให้แน่น แน่นหน้าอก ตึง แน่น เจ็บ
บางคนแน่นบ่อย ๆ ก็เจ็บหน้าอก
นั่นเพราะลมมันหยาบ
มันไปอัดกัน ดัน แน่น ตึง เจ็บ

แต่ถ้าลมละเอียด มันก็จะไม่เสียดแทง หายใจสะดวกสบาย
ก็จะได้กำหนดพิจารณาสภาวะความละเอียดของธรรมชาติในกายในใจได้
ถ้ามัวมายุ่งกับลมที่มันเสียดแทง มันแน่น มันตึง
มันก็มาพะวงมาอยู่กับสิ่งเหล่านี้

การระลึกกำหนดตามที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ย่อมมีผลให้มีสมาธิ
สมาธิย่อมเกิดขึ้น
นี้ในขั้นที่ ๑ คือกำหนดลมหายใจเข้าออก
ดูลมเข้าลมออกนั่นเป็นบัญญัติ
เข้า ออก ยาว สั้น เป็นบัญญัติ เป็นความหมาย

คำบริกรรมเรียกชื่อ พุทโธ พุทโธ
อย่างนี้เป็นนามบัญญัติ

หรือแม้แต่การนับ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ ก็เป็นภาษา
เป็นการบริกรรม มีภาษา
ก็เรียกว่าเอาบัญญัติมาใช้
ทั้งภาษา ทั้งความหมาย
หรืออาจจะมีรูปร่างเข้ามาด้วย
เห็นเป็นสายลมเข้า สายลมออก
จิตก็มีสมาธิขึ้น

แล้วก็ค่อยเชื่อมโยงไปสู่ขั้นต่อไปคือขั้นของการกำหนดปรมัตถ์
กำหนดปรมัตถ์โดยเจาะจง

เมื่อจิตใจตั้งมั่นกับลมหายใจ มีสมาธิตามสมควร ก็ระลึกถึงความรู้สึก
เป็นปรมัตถธรรม
อาศัยสมาธิแค่นั้น ไม่ได้มาก
มีแค่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ
ขณิกสมาธิก็สงบเล็กน้อย
อุปจารสมาธิก็สงบมากลงไปอีก เฉียด ๆ องค์ฌาน เฉียด ๆ ฌาน

เมื่อมีสมาธิตามสมควร
จะพัฒนาเข้ามาสู่แนวทางของวิปัสสนา
ก็ต้องระลึกเข้าสู่ปรมัตถธรรม
คือให้มีการระลึกสังเกตความรู้สึก
หายใจเข้ารู้สึก หายใจออกรู้สึก
ความรู้สึกตึง หย่อน ไหว
ตึง ไหว ตึง ไหว กระเพื่อม ๆ
หรือรู้สึกสบาย รู้สึกไม่สบาย
อย่างนี้คือปรมัตถธรรม

ธรรมบรรยาย ข้อสอบภาคปฏิบัติ
รวมพระธรรมเทศนา หมวดกรรมฐานชุดที่ ๒ (ตอน ๑)
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา





" #ธรรม_ย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
ผู้มี 'สติธรรม' คือผู้มี 'ธรรม' คุ้มครองรักษา

ผู้มีสติ จิตเป็นธรรม สามารถรู้สิ่งที่ควร, สิ่งที่ไม่ควร
รู้เรื่องควร และไม่ควร การพูดสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร..ในเมื่อรู้สิ่งใดไม่ควรสามารถตัดได้ทันที

'ธรรมะ' ไม่ใช่เรื่องอื่น
ธรรมะ คือใจของเรานั้นล่ะที่เป็น "
_____________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร








#ให้รีบแก้ไขด่วน

"ทิฐิ ก็คือ ความคิดความเห็นที่เกิดขึ้นภายในจิตในใจของเรานี้ บางทีมันเห็นว่าถูกต้องจริงๆ เหมาะสมจริงๆ จะต้องเป็นอย่างนี้จริงๆ คนที่ไม่เป็นอย่างนี้คือคนใช้ไม่ได้ ตัวนี้เป็นทิฐิตัวร้าย

ถ้าเกิดขึ้นในจิตใจของบุคคลใดรีบแก้ไข ถ้าหากว่าไม่รีบแก้ไข บุคคลนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น จะเอาตัวไม่รอด ต้องแก้ให้ได้

ถ้าหากว่าแก้จิตแก้ใจของเจ้าของได้แล้ว แก้ทิฐิมานะของเจ้าของได้แล้ว โลกทั้งหลายดีหมด ไม่มีการติไม่มีการชม ไม่มีการยกโทษยกโพยซึ่งกันและกัน ถึงจะมีการติชมก็เพื่อความหวังดีต่อกัน มีการติการชมก็เพื่อการหวังดี ติชมก็ด้วยเมตตาธรรม ไม่ได้ติชมเพื่อมุ่งความเสียหาย"

..... หลวงปู่แบน ธนากโร






กราบ กราบ กราบ...โอวาทธรรมคำสอน

" เวลาว่างบ้างก็กรุณาภาวนา
ดูจิตตัวคิดปรุงอยู่ไม่หยุด
ให้สงบจากความคิดปรุงบ้าง
ใจจะได้ว่างงานและอยู่สบาย
ส่วนมากใจไม่ว่างงานจากการคิดปรุง
ใจจึงมักเกิดทุกข์อยู่เสมอ "

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







“สันทิฏฐิโก”
.
“เห็นเอง รู้สึกเอง
ประจักษ์แก่ความรู้สึกของตนเอง
จึงจะเป็น“สันทิฏฐิโก”
จำมาได้ในหนังสือไม่เป็น“สันทิฏฐิโก”
แม้เป็นเรื่องอย่างเดียวกัน ข้อความอย่างเดียวกัน”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคอาสาฬหบูชา ปี ๒๕๒๓ ครั้งที่ ๑๑ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๓ หัวข้อเรื่อง “ต้องศึกษาธรรมชาติภายใน จึงจะรู้จักธรรมชาติภายนอก” ที่ลานหินโค้ง สวนโมกข์ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ”
ตอบกระทู้