นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 14 มี.ค. 2025 12:55 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 26 ม.ค. 2025 5:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4859
วิธีต่ออายุคือให้ปล่อยสัตว์ที่จะถูกฆ่าเดือนละสองตัวทุกเดือน เก็บเงินไว้ทุกวันตั้งใจไว้ว่าเงินนี้จะนำไปซื้ออาหารถวายพระสงฆ์ พอเงินมีพอสมควรแล้วก็นำไปถวายสงฆ์แจ้งความจำนงไว้ตามนั้น

การถวายอาหารพระสงฆ์มีอานิสงส์พิเศษคือได้สืบต่ออายุให้พระพุทธศาสนา ถ้าพระสงฆ์ไม่มี พระพุทธศาสนาก็ดำรงคงอยู่ไม่ได้

ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ
วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
อ.ลี้ จ.ลำพูน
๔ มิถุนายน ๒๕๖๓

ที่มา : เสียงธรรมจากถ้ำป่าไผ่








คนที่เริ่มในขั้นแรกด้วยการดูลมหายใจเข้าออก
ดูลมเข้าลมออก
ใช้บัญญัติในการกำหนดลมหายใจ
เรียกว่าอานาปานปัพพะ
พิจารณาสติปัฏฐานข้อกายานุปัสสนา
ในข้ออานาปานปัพพะ การกำหนดลมหายใจเข้าออก

ในความเป็นจริงการระลึกถึงลมหายใจเข้าออกนั้น
ก็สามารถที่จะดำเนินไปเป็นสมถะยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงขั้นได้ฌานก็ได้
#กำหนดลมหายใจไปสู่สมถะได้ฌาน #หรือจะสู่วิปัสสนาได้ปัญญาก็ได้

คือการที่กำหนดลมหายใจเรื่อยไปจนเกิดนิมิต
เกิดอุคคหนิมิต นิมิตที่ติดตาติดใจ
คนที่ดูลมหายใจเข้าออกบางทีก็จะเห็นมีนิมิต
เป็นเหมือนสายรุ้ง เหมือนสายปุยนุ่น
เหมือนมีสายผลุบเข้าผลุบออกที่โพรงจมูก
นี่เรียกว่าเป็นนิมิตเกิดขึ้นแล้ว
ก็เป็นสมมตินั่นแหละ
แต่ว่ามันก็เป็นนิมิตกรรมฐานสำหรับเพ่ง
อาศัยไว้เพ่งให้เกิดสมาธิยิ่ง ๆ ขึ้นไป

เมื่อได้อุคคหนิมิต
ก็เพ่งประคองอยู่กับอุคคหนิมิตนั้น
นิมิตก็จะมีความใส มีรัศมี
สภาพจิตใจก็มีความมั่นคง มีสมาธิตั้งมั่น
นึกขยายนิมิตให้ใหญ่ให้เล็ก
ถ้าทำได้ก็เรียกว่าได้ปฏิภาคนิมิต ขยายนิมิตได้
สมาธิก็สูงขึ้นเป็นอุปจารสมาธิ

เมื่อฝึกขยายบ้างย่อบ้างอยู่อย่างนั้น
ให้จิตมันมีความเกาะยึดเกาะติดอยู่กับอารมณ์นั้นหนักเข้า ๆ
สมาธิก็จะเข้าไปสู่อัปปนาสมาธิ
เรียกว่าได้ฌาน
คือจิตเข้าไปนิ่งแนบในอารมณ์เดียว
อยู่ในนิมิตอย่างเดียว
ไม่ไหวติงไปอารมณ์อื่น
ดับความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

คนที่ได้อัปปนาสมาธิหรือได้ฌาน
มันจะไม่ได้ยินเสียง
จะไม่รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส
จะไม่มีการคิดนึกอะไรทั้งหมด
ใจไม่มีการคิดนึกอะไร คิดอะไรไม่ได้
เรียกว่าเป็นอัปปนาสมาธิ นิ่งแนบในอารมณ์
ก็เรียกว่าได้ฌาน เป็นสมถะ

#แล้วจึงยกองค์ฌานขึ้นมาสู่วิปัสสนา
#เวลาที่สมาธิคลายตัวลง
#จิตก็เริ่มรับรู้อะไรขึ้นมา #สังเกตอะไรขึ้นมาได้
#แทนที่จะไปสังเกตหรือเพ่งอยู่กับนิมิตเรื่อยไป
#ก็กลับมาระลึกพิจารณาจิตใจ

องค์ฌานที่ประกอบอยู่ในขณะนั้น
ปฐมฌานก็จะมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
เป็นเจตสิกธรรม เป็นธรรมชาติที่ประกอบกับจิต
สังเกตวิตก วิจาร ปีติ ความอิ่มเอิบใจ สุข สบาย โปร่ง เบา เย็นใจ สุข สมาธิตั้งมั่น
ก็ระลึกไป
ในปฐมฌานมันก็มีวิตก วิจาร
วิตกก็เป็นตัวยกจิตหรือสัมปยุตตธรรมขึ้นสู่อารมณ์
ทำให้มันเกาะอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน
อยู่กับอารมณ์นิมิตไว้
อยู่กับอารมณ์กรรมฐานอยู่อย่างนั้น
วิจารก็เคล้าไปในอารมณ์นั้น ประคองอยู่กับอารมณ์นั้น
ปีติอิ่มเอิบใจ
สุขสบายกับอารมณ์นิมิตนั้น
สมาธิตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์นิมิต

คนจะได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ก็ตาม
ก็เอามาเป็นฐานของวิปัสสนาได้

อย่างคนที่ได้ตติยฌานในจตุกกนัย
คนที่มีปัญญาดี ละทีเดียว ๒
พอขึ้นทุติยฌาน ละวิตก วิจาร
เพราะฉะนั้นขั้นสุดท้ายของรูปฌานจึงเหลือแค่ฌาน ๔
ฌาน ๔ ก็จะมีอุเบกขากับเอกัคคตา
ฌานที่ ๓ จึงมีสุข สุขกับเอกัคคตา
ฌานที่ ๒ ก็จะมีปีติอยู่ด้วย ปีติ สุข เอกัคคตา

เวลาที่ต่อวิปัสสนาก็คือ
เมื่อสมาธิเริ่มคลายตัว ผู้ปฏิบัติก็มีสติน้อมระลึกเข้ามาที่จิต
จิตที่มันมีสมาธิ จิตที่มันมีองค์ฌานประกอบ
เช่น สังเกตปีติ พิจารณาปีติ พิจารณาความสุข พิจารณาสมาธิ
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปรมัตถธรรม
ฌานจิตเป็นปรมัตถ์
ปีติเป็นปรมัตถ์ ความสุขเป็นปรมัตถ์
สมาธิ เอกัคคตา ตั้งมั่นก็เป็นปรมัตถ์
วิตก วิจาร ก็เป็นปรมัตถ์
สภาพของปรมัตถธรรมนั้นจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดดับ
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เพราะฉะนั้น #เมื่อระลึกเข้ามาที่จิตใจ
#เห็นสภาวะตรง
#ปีติ #สุข #เอกัคคตามีความเสื่อมสลาย #มีความเปลี่ยนแปลงมีความเกิดดับหมดไปสิ้นไป
#สภาพของจิตที่เป็นสภาพรู้ #สติที่เข้าไประลึกรู้ก็ดับไปด้วยกัน
#ระลึกทั้งสภาพของจิตที่เป็นสมาธิ
#ระลึกทั้งสภาพสติที่เข้าไประลึกรู้
#เห็นความหมดไปสิ้นไป
#ก็เป็นวิปัสสนาที่เรียกว่ามีสมถะเป็นฐานแล้วก็ต่อวิปัสสนา

อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติโดยเจาะจง
ดูเฉพาะลมหายใจอย่างเดียวไปจนมีสมาธิ
แล้วก็จึงมาพิจารณาเวทนา จิต ธรรม
เวทนาก็จะมีแต่เวทนาที่ดีงาม
มีสุขเวทนาหรือมีโสมนัสเวทนา
เพราะว่ามันระงับนิวรณ์ไปหมด
ดูเวทนาที่ดี เป็นสุข เป็นโสมนัส
มีจิตพิจารณาจิต พิจารณาสภาพธรรมที่ประกอบ
ก็สามารถที่จะปฏิบัติครอบคลุมไปในสติปัฏฐานทั้ง ๔
ทำให้เกิดญาณ เกิดปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด
เข้าถึงวิปัสสนา
วิมุตติหลุดพ้นได้

ธรรมบรรยาย ข้อสอบภาคปฏิบัติ
รวมพระธรรมเทศนา หมวดกรรมฐานชุดที่ ๒
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา







....#จิตว่าง....

"คำว่า ว่างนี้...
หมายถึง ว่าง...ในทางนามธรรม ทางจิตใจ
ทางสติปัญญา ไม่ใช่ ว่างทางวัตถุ คือว่าง...
ไม่มีอะไร
ว่าง...ในทางนามธรรม หรือทางสติปัญญา
ทางธรรมะ หรือทางปรัชญา แล้วแต่จะเรียกนี้ หมายความว่า...จิตมีกำลัง

#จิต นั้น...รู้ อารมณ์ทุกอย่าง เสวยอารมณ์
ทุกอย่าง พิจารณาอารมณ์ทุกอย่าง หรือแม้ที่สุดรู้รสบริโภคอารมณ์ทุกอย่าง แต่ก็ไม่โง่ ไม่หลงด้วยอวิชชา ไปมีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน หรือของตน

แม้ในขณะที่ รู้อารมณ์ รับอารมณ์
เสวยอารมณ์ พิจารณาอารมณ์ ก็ทำไปด้วยสติปัญญา ไม่ได้เผลอเป็นกิเลส ตัณหา ยึดมั่น อย่างนี้

แม้ว่า...จิตนั้น จะกำลังทำการงานในทางจิต
อย่างวุ่นตัวเป็นเกลียว ก็ยังเรียกว่า...
จิตว่าง อยู่...นั่นเอง เพราะมันยังว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัว เป็นตน หรือเป็นของๆตน
จิตอย่างนี้ ไม่มี...ความทุกข์
จิตอย่างนี้ เฉลียวฉลาดสามารถปฏิบัติการงานที่
จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ลุล่วงไปด้วยดี

#ดังนั้น...
จึงไม่มีความเสียหาย ไม่มีการขาดทุน มีแต่การได้ผลดี เป็นกำไร มีความก้าวหน้าในทางการงาน และได้รับผลเป็นความพอใจ เป็นความสุข สงบเย็นอยู่เสมอ นี่แหละ...คือ ใจความสำคัญสั้นๆ ของสิ่งอันมากมาย ที่พระพุทธเจ้าท่านประทานให้แก่เรา เราเป็นคนโง่คนหลงเสียเอง ทำให้สิ่งที่ง่ายๆ สั้นๆ นั้น...กลายเป็นของหายาก และยืดยาดไป

ถ้าเราไม่เข้าใจผิดในเรื่องนี้
มีการศึกษามาดี และเพียงพอแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ และเห็นว่าเป็นเรื่องเพียงเรื่องเดียว เป็นเรื่องสั้นเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องอยู่ในวิสัยที่เราจะเข้า
ใจได้ และเป็นเรื่องที่จำเป็นแก่คนเรา ในชีวิตประจำวัน แต่ละวันๆ จะต้องมีจิตอย่างนี้ คือ #มีจิตที่ประกอบไปด้วยสติปัญญา
#และไม่มีความทุกข์

จิต ที่ประกอบไปด้วยสติปัญญานั้น
ทำให้ทำการงานได้ดี จิตที่ไม่ประกอบไปด้วยความทุกข์นั้น...คือภาวะที่เราต้องการไม่ว่าในกรณีไหนและเมื่อไร
.
มนุษย์มีความสามารถขจัดทุกข์ได้ด้วยตนเอง
เราต้องมีความแน่ใจว่า...เรานี้ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทนทุกข์ เราจะต้องเลือกเอาข้างฝ่ายที่ไม่มีความทุกข์ไว้ก่อน เราจึงพยายามไปแต่ในทางที่จะไม่มีความทุกข์
ทุกอย่าง ทุกทาง ทุกประการ ถ้าเป็นเรื่องความทุกข์แล้ว เราพยายามตีตัวออกห่าง พยายามที่จะไม่ข้องแวะด้วยเลย”
.
#พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนาหัวข้อเรื่อง “ธรรมจักษุ-ดวงตาที่เห็นธรรม” แสดงในวันอาสาฬหบูชา ณ สวนโมกขพลาราม ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐








” #มีความโลภอยู่ตรงไหน_มีโจรอยู่ตรงนั้น
มีความโกรธอยู่ตรงไหน มีโจรอยู่ตรงนั้น
มีความหลงตรงไหน โจรก็มีอยู่ตรงนั้น
ปราบโจร ปราบความโลภ ปราบความโกรธ ปราบความหลง
ไม่ต้องไปหาปราบเมืองใต้หรอก ปราบเมืองใกล้ๆ
ในหัวใจของเรานี่ งานเหลือมือ ”
_______________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร (แบน ธนากโร)
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร








เมื่อปราศจาก “ธรรมะ” แล้ว
“คน” กับ “สัตว์” จะต้องเหมือนกัน
.
…. “สิ่งใดที่มนุษย์ทำได้เหมือนๆกับสัตว์ หรือสัตว์ทำได้เหมือนๆกับมนุษย์นั้น ไม่เป็นของแปลกเลย ดังที่ท่านได้ตรัสไว้เป็นหลักแต่โบ-รม โบราณ ก่อนพุทธกาลมาเสียอีกว่า...
.
“อาหารนิทฺทาภยเมถุนญจฺ”
การแสวงหาอาหารกิน
การแสวงหาความสุขจากการนอน
ความรู้จักขี้ขลาด วิ่งหนีอันตราย
และ การประกอบเมถุนธรรม(ร่วมประเวณี)
.
“สามาญญเมตปฺปสภิ นรานํ”
ทั้ง ๔ อย่างนี้
มีได้เสมอกันในระหว่าง มนุษย์กับสัตว์
.
“ธมฺโม หิ เตสํ อธิโก วิเสโส”
ธรรมะเท่านั้น ที่จะทำความผิดแปลกแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์
.
“ธมฺเมน หีนา ปสุภิ สมานา”
เมื่อปราศจากธรรมะแล้ว
คนกับสัตว์ก็จะต้องเหมือนกัน
.
…. นี้ล่ะ! ขอให้จำไว้เป็นหลักเสียครั้งหนึ่งก่อนว่า คนจะผิดจากสัตว์ หรือสัตว์จะผิดจากคน มันก็หยุดอยู่ตรงที่ จะมีธรรมหรือไม่? เท่านั้น จะเอาเรื่องอาหารการกิน การแต่งเนื้อแต่งตัว การเป็นอยู่เพื่อแสวงหาความสุขความเพลิดเพลิน ทาง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้นนั้น ไม่มีความแปลกแตกต่างอะไรกันระหว่างคนกับสัตว์ หมายความว่า แม้คนจะทำได้ดี วิจิตรปราณีตกว่าสัตว์ แต่ความหมายมันก็ยังเท่ากัน ไม่ได้แปลกแตกต่างกัน ท่านจึงลงมติกันไว้อย่างนั้น ว่าเอาธรรมะอย่างเดียวเท่านั้นมาเป็นเครื่องวัดความผิดแปลกแตกแต่งระหว่างคนกับสัตว์...
.
…. ถ้าจากปราศจากธรรมะเสียแล้ว แม้จะมั่งมี จะร่ำรวย จะอุดมสมบูรณ์สักเท่าไร ก็ย่อมจะหาความสุขไม่ได้ ตนเองก็มีจิตใจที่เร่าร้อน เผาตนเองให้เร่าร้อนอยู่เสมอ เกี่ยวกับคนอื่นก็เบียดเบียนซึ่งกันและกัน คือการเอาเปรียบ แข่งขันแย่งชิง กับความอิจฉาริษยา ซึ่งกันและกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง นี่ก็เพราะขาดธรรมะอย่างเดียวเท่านั้น ตนเองก็อยู่ไม่เป็นสุข ผู้อื่นก็อยู่ไม่เป็นสุข จนได้ชื่อว่าเป็นโลกของความสับสนวุ่นวาย เป็นความทุกข์ร้อนระอุกันไปทั่วทุกหัวระแหง”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมเทศนา มาฆบูชาเทศนา หัวข้อเรื่อง “ศีลธรรมกลับมาเถิด” ปี พ.ศ. ๒๕๑๔







กรรมมันมีอยู่ ๒ อย่าง อดีตชาติแก้ไขไม่ได้ แก้ไขยาก มีแต่สั่งสมบุญกุศลเข้าสู่จิตใจ อุทิศส่วนกุศลให้ และก็ปัจจุบันกรรม ก็ต้องระวังการอยู่ การกิน การพักผ่อน นอนเป็นเวล่ำเวลา อันนี้คือปัจจุบันกรรม ถ้าเรารักษาทั้งสองอย่างนี้แล้ว ก็ถ้ามันเกิดอะไรเกิดขึ้น เราก็ต้องน้อมยอมรับ ข้าหากเกิดมา ข้าหากเกิดมา ถ้าข้าไม่เกิดเสียล่ะเสียอย่าง ก็คงจะไม่มีอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะข้าเกิดมันจึงมี

เพราะฉะนั้น จะทำยังไงข้าจึงจะไม่เกิด ให้พวกเราคิดว่าทำไม จะทำยังไง ข้าจึงจะไม่เกิด พระพุทธเจ้าที่ท่านสอนไว้ ท่านบอกเอาไว้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนไว้ ถ้าหากว่าเกิดมา มันต้องเป็นอย่างนี้ แก่ เจ็บ ตาย ต้องตามมาอีก เกิดมาภพหน้า ชาติหน้าอีก เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก พอเกิดขึ้นมาแล้ว แก่ เจ็บ ตาย ตามมาอีก จะเป็นกี่หมื่น กี่แสนชาติ จะเป็นอยู่ในสถานะไหน ร่ำรวย เศรษฐี มหาเศรษฐี เจ้าฟ้า พระเจ้าจักรพรรดิ ระดับไหน ก็เถอะ ถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว ตายจะต้องตามมา ทุกภพ ทุกชาติ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก










“ บุญ” ไม่เคยเนรคุณใคร
เมื่อมันมีกำลังแก่กล้าขึ้น ย่อมให้ผลโดยอัตโนมัติ
“บุญ” จะตามหล่อเลี้ยงเราโดยไม่ต้องสงสัย"

#หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี







ใจก็ต้องอาศัยกาย อยู่กิน ดูแลประคบประหงม แต่อย่าไปหลงนะ ใจนะ กระซิบใจตัวเอง ใจอย่าหลงกายนะ อีกสักวันหนึ่งตายแน่ ๆ นะ กายนี้นะ เดี๋ยวเอาไปเผาไฟทิ้งแน่ ๆ ใจนะ อย่าไปหลงนะใจนะ ถ้าหลงเมื่อไหร่ จะทุกข์อย่างมากเลย เราก็กระซิบบอกใจไว้อยู่เสมอ

เมื่อใจของเราอยู่กับกายก็จริงอยู่ แต่ไม่หลงกาย อันนี้ไม่ใช่เรานะ ถึงเราจะพาไปยังไง สักวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าวันไหน ไม่มีใครประกันได้ว่าชีวิตของข้า อยู่ในน้ำ บนบก อยู่ที่ไหน ๆ ตายได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น อย่าหลงนะใจนะ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อย่าแพ้ใจตัวเอง”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗







" คนทั้งโลกจะให้เขา
มาพูดถูกใจเรามีไหม?
จะมาทำถูกใจเราทุกคนมีไหม?
ไม่มี เมื่อไม่มีเราก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราไม่มีการปล่อยวาง
เราเกิดมาในชีวิตหนึ่ง
เราจะหาความสงบว่า คุณต้องทำให้ถูกใจฉันฉันจึงจะสงบ ถ้าไม่อย่างนั้น
ฉันก็ไม่สงบคนๆนี้เกิดมาไม่รู้กี่ชาติ
ก็ไม่มีความสงบ
เพราะคนหลายคนใครจะมาพูด
ให้เราถูกใจเราทุกคน
ใครจะมาทำให้ดีทุกคนมันไม่มีหรอก...

หลวงปู่ชา สุภัทโท







#โอวาทธรรม หลวงปู่จาม มหาปุญโญ

"...ข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ทุกคนจะ
รู้ได้โดยบ่ต้องอ้างกาลอ้างเวลา หากมาเรียนรู้
มาศึกษา มาประพฤติปฏิบัติ มาน้อมตนเข้าหา
ดึงเข้าสู่ใจตน และเป็นของรู้จักได้โดยบ่ต้อง
อวดอ้างแต่อย่างใด

ธรรมะนี้นั้น ๑. พระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม
นี้เป็นปริยัติ ๒. การประพฤติตาม การปฏิบัติตาม
เป็นปฏิบัติสัทธรรม ๓. การได้ลุในผลของการศึกษา
การปฏิบัติตาม การได้ความสุขสำราญในธรรมะใดๆ
จนที่สุดได้สำเร็จมรรคผล เป็นปฏิเวธธรรม

จะเป็นธรรมประเภทใดก็ตาม ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นได้
ด้วยตนเอง และเป็นของดีทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง
ที่สุด ศีลมารวมอยู่ที่ตัวเรา สมาธิมารวมอยู่ที่ตัวเรา
ปัญญามารวมอยู่ที่ตัวเรา เพราะเราทำให้เกิด
ทำให้มี ทำให้ปรากฏแล้วได้แล้ว..."

#ที่มา หนังสือ บทธรรม พระจาม มหาปุญโญ
................................................................








#จิตหยุดสร้างขันธ์
( อริยสัจจ์แห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล )

จิตเห็นจิตเป็นมรรค ในการภาวนานั้น การฝึกรู้ด้วยจิตในสติปัฏฐาน 4 ก็เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิได้มากพอ ผลที่ตามมาก็คือ เกิดการแยกตัวออกของจิต(ผู้รู้) และ อาการของขันธ์ (ซึ่งก็คือ สิ่งที่ถูกรู้) ซึ่งในสภาวะตอนนี้ ในวงการภาวนาจะเรียกว่า สภาวะแห่งการเป็นของคู่ คือ มีผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ ในบรรดาสิ่งที่ถูกรู้นั้น คือ อาการต่าง ๆในขันธ์ 5 สิ่งถูกรู้เหล่านี้มิใช่จิต นี่ยังเป็นการรู้ การละ ไม่ยึดติดด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ
.
การที่นักภาวนาได้ลงทุนลงแรงฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 จนเกิดสภาวะของคู่ขึ้นมาได้นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นกันได้ง่าย ๆ ได้มาถึงนี่ ก็ดีมากแล้ว แต่ก็ยังต้องฝึกฝนต่อไปอีก เมื่อสัมมาสมาธิแก่กล้ามาขึ้น เพราะตั้งมั่นมากขึ้น ลำดับต่อไป

นักภาวนาจะเกิดสัมมาญาณ อันเป็น ญาณ ที่เห็นจิตได้ การเห็นจิตได้ด้วยญาณนี้ จึงจะเข้าสู่ขั้นต้นของสิ่งที่เรียกว่า
#จิตเห็นจิต" #การเห็นจิตนี้
#จึงเป็นการเริ่มต้นของการ #ตกกระแสพระนิพพาน
.
เพราะเมื่อนักภาวนาได้เห็นจิตได้แล้ว ก็จะรู้จักจิตและจะเห็นจิตได้มากขึ้น ได้บ่อยขึ้น (หมายเหตุ นักภาวนาที่เพิ่งเห็นจิตได้ ใหม่ ๆ จะเห็นจิตได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังเห็นได้ไม่ต่อเนื่องตลอดเวลา )
.
ชาวพุทธสักคนจะเข้าสู่การตกกระแส เพราะเขียนไว้ เพียงสังโยชน์ขาดขั้นต้น 3 อันดับคือ 1.สักกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3. สีลัพพตปรามาส แต่ในความเป็นจริงในการภาวนา ถ้ากล่าวว่า โสดาบัน คือ ผู้ตกกระแสพระนิพพานแล้ว และจะมีแต่ก้าวต่อไป ไม่กลับมาอีก ไม่เกิน 7 ชาติ ผู้ที่จะมีคุณสมบัติอย่างนี้ได้ ก็จะมีแต่นักภาวนาที่พบอาการ จิตเห็นจิต ได้แล้วเท่านั้น จึงจะเป็นปัญญาขั้นต้นในระดับญาณที่จะมีสิทธิทำลายกิเลสได้สิ้นจนถึงที่สุด และ การเสื่อมจากญาณก็จะไม่มี เพราะได้รู้แล้ว เห็นแล้ว รู้จักแล้ว เพียงแต่ยังไม่สมบูรณ์ต่อเนื่อง 100 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง

(หมายเหตุ การได้สภาวะของคู่ เพราะสัมมาสมาธิ *#โดยยังไม่เกิดญาณ* #สัมมาสมาธิ* #สามารถเสื่อมถอยได้อยู่* )
...

การที่ "จิตเห็นจิต" จึงเป็นสิ่งที่ยากสุด ๆ สำหรับนักภาวนาที่ยังไม่เคยเห็นจิตของจริง เพราะอธิบายให้ฟังก็ยากมาก ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้น มันปรากฏอยู่แล้วอยู่ข้างหน้า แต่นักภาวนาไม่เห็นเอง เพราะไม่รู้จัก เมื่อนักภาวนาพบจิตได้แล้ว นักภาวนาเพียงหมั่นฝึกฝนต่อไปอีก ขอให้เชื่อได้เลยว่า เมื่อนักภาวนาได้ตกกระแสแล้ว ก็จะมีแต่จะไม่หวนกลับ
.
#เพราะกำลังสัมมาสมาธิที่ยิ่งตั้งมั่น #ก็จะเสริม "#สัมมาญาณ" #ให้มั่นคง #แล้วการเกิดจิตเห็นจิตก็จะยิ่งได้บ่อย #เห็นได้นาน เห็นเหมือนจิตไม่หายไปไหนเลย ในคำสอนของครูบาอาจารย์ และ ในพระไตรปิฏก ได้กล่าวเปรียบเทียบ จิตเหมือนฟองไข่ และ ในคำสอนก็บอกว่า ให้ทำลายจิตทิ้งเสีย เมื่อจิตถูกทำลายทิ้ง สภาวะของคู่ก็จะสลายไป กลายเป็นสภาวะใหม่ ที่เรียกว่า ความเป็นหนึ่ง ขึ้นมาแทน ในความเป็นจริง ไม่มีใครทำลายจิตได้ แม้แต่ตัวนักภาวนาเอง
.
แต่การที่จิต เกิดการแตกสลายออกไปนั้น เกิดจากที่จิตที่บ่มเพาะปัญญาที่จิตไปเห็น จิตที่แปรเปลี่ยนไปมา เพราะมีการสร้างขันธ์ขึ้นของจิต และเห็นสภาวะแห่งจิตที่หยุดสร้างขันธ์ ปัญญานี้แหละ ที่จะทำลายจิตให้เป็น จิตหนึ่ง การที่จิตหยุดสร้างขันธ์ ในครูบาอาจารย์มักกล่าวว่า ให้จิตหยุดคิด หรือ ฮวงโปได้กล่าวว่า ให้หยุดปรุงแต่งเสีย นี่เป็นสิ่งที่ยากยิ่งอีกอย่างของนักภาวนา จิตหยุดคิด เพราะนักภาวนาไม่รู้จัก จิตหยุดคิดเป็นอย่างไร ถ้านักภาวนาเพียงคิดว่า จะทำอย่างไรให้จิตหยุดคิด นั้นคือ เป็นการคิดแล้ว ถ้านักภาวนาเพียงรู้ว่า นี่ลมหายใจเข้า นี่ลมหายใจออก นี่กินข้าวไปแล้วสิบคำ นี่ก็คือ การคิดแล้วเช่นกัน
..

#จิตหยุดคิด ก็คือ #จิตหยุดสร้างขันธ์
จิตที่ไม่สร้างขันธ์ ใน มโน จะใสกระจ่างแจ้ง จิตที่กำลังสร้างขันธ์ ใน มโน จะขุ่นมัว ไม่สดใส ในสภาวะแห่ง จิตหนึ่ง แสงแห่งจิต จะส่องสว่างขึ้นไม่มืดมัว เมื่อจิตส่องแสงสว่าง อันกิเลสต่าง ๆ ที่อาศัย โมหะ เป็นชนวนการเกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะ โมหะ ต้องกาศัยเกิดตอนจิตมืดมิด เมื่อ จิตส่องสว่าง ความมืดย่อมหายไป กิเลสจึงเกิดอีกไม่ได้เพราะเหตุนี้ นี่คือธรรมชาติของจิตที่ประภัสสร เปล่งกระกายออกมา แล้วกิเลสก็เกิดไม่ได้เอง นี่คือวิถีแห่งมรรค

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล






จะเห็นว่าเราจะเลือกเอาการกลั่นกรองโดยวิธีใดวิธีหนึ่งไม่ ได้ ต้องผสมกันผนวกเข้าด้วยกันจึงจะได้ผลเต็มที่ เพราะเหตุว่า การกรองทั้ง ๓ ขั้นเกี่ยวข้องอาศัยกันอยู่ ปัญญาจะเกิดขึ้นก็เพราะสมาธิหนักแน่น สมาธิที่จะหนักแน่นได้ก็เพราะมีศีลบริสุทธิ์เสียก่อน สมาธิก็ต้องอาศัยปัญญาคอยช่วยด้วยเหมือนกัน ต้องมือุบายแยบคายสำหรับที่จะชำระจิตใจของคนให้จิตปล่อยวางอารมณ์ทั้งปวงลงได้และศีลจะบริสุทธิ์ได้เพราะปัญญาเห็นชัดตามเป็นจริงคือ เห็นโทษเห็นภัยในการที่ไม่รักษาศีล เมื่อเห็นโทษแล้วจึงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ ไม่ใช่คุมให้รักษาหรือบังคับให้รักษา แบบนั้ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าไม่เห็นชัดด้วยตนเองแล้วรักษาให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย ปัญญาเป็นยาดำแทรกไปได้ทุกแห่ง คือ ในศีล ในสมาธิ นี่มันผนวกกันอย่างนี้

พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
วิจัยธรรมออกจากโลก (๘)
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง
๒๒ กันยายน ๒๕๑๕









อริยสัจจ์แห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

จิตเห็นจิตเป็นมรรค ในการภาวนานั้น การฝึกรู้ด้วยจิตในสติปัฏฐาน 4 ก็เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิได้มากพอ ผลที่ตามมาก็คือ เกิดการแยกตัวออกของจิต(ผู้รู้) และ อาการของขันธ์ (ซึ่งก็คือ สิ่งที่ถูกรู้) ซึ่งในสภาวะตอนนี้ ในวงการภาวนาจะเรียกว่า สภาวะแห่งการเป็นของคู่ คือ มีผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ ในบรรดาสิ่งที่ถูกรู้นั้น คือ อาการต่าง ๆในขันธ์ 5 สิ่งถูกรู้เหล่านี้มิใช่จิต นี่ยังเป็นการรู้ การละ ไม่ยึดติดด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ
.
การทีนักภาวนาได้ลงทุนลงแรงฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 จนเกิดสภาวะของคู่ขึ้นมาได้นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นกันได้ง่าย ๆ ได้มาถึงนี่ ก็ดีมากแล้ว แต่ก็ยังต้องฝึกฝนต่อไปอีก เมื่อสัมมาสมาธิแก่กล้ามาขึ้น เพราะตั้งมั่นมากขึ้น ลำดับต่อไป นักภาวนาจะเกิดสัมมาญาณ อันเป็น ญาณ ที่เห็นจิตได้ การเห็นจิตได้ด้วยญาณนี้ จึงจะเข้าสู่ขั้นต้นของสิ่งที่เรียกวา จิตเห็นจิต การเห็นจิตนี้ จึงเป็นการเริ่มต้นของการ ตกกระแส พระนิพพาน
.
เพราะเมื่อนักภาวนาได้เห็นจิตได้แล้ว ก็จะรู้จักจิตและจะเห็นจิตได้มากขึ้น ได้บ่อยขึ้น (หมายเหตุ นักภาวนาที่เพิ่งเห็นจิตได้ ใหม่ ๆ จะเห็นจิตได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังเห็นได้ไม่ต่อเนื่องตลอดเวลา )
.
ชาวพุทธสักคนจะเข้าสู่การตกกระแส เพราะเขียนไว้ เพียงสังโยชน์ขาดขั้นต้น 3 อันดับคือ 1.สักกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3. สีลัพพตปรามาส แต่ในความเป็นจริงในการภาวนา ถ้ากล่าวว่า โสดาบัน คือ ผู้ตกกระแสพระนิพพานแล้ว และจะมีแต่ก้าวต่อไป ไม่กลับมาอีก ไม่เกิน 7 ชาติ ผู้ที่จะมีคุณสมบัติอย่างนี้ได้ ก็จะมีแต่นักภาวนาที่พบอาการ จิตเห็นจิต ได้แล้วเท่านั้น จึงจะเป็นปัญญาขั้นต้นในระดับญาณที่จะมีสิทธิทำลายกิเลสได้สิ้นจนถึงที่สุด และ การเสื่อมจากญาณก็จะไม่มี เพราะได้รู้แล้ว เห็นแล้ว รู้จักแล้ว เพียงแต่ยังไม่สมบูรณ์ต่อเนื่อง 100 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง (หมายเหตุ การได้สภาวะของคู่ เพราะสัมมาสมาธิ โดยยังไม่เกิดญาณ สัมมาสมาธิสามารถเสื่อมถอยได้อยู่ )
...

การที่ จิตเห็นจิต จึงเป็นสิ่งที่ยากสุด ๆ สำหรับนักภาวนาที่ยังไม่เคยเห็นจิตของจริง เพราะอธิบายให้ฟังก็ยากมาก ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้น มันปรากฏอยู่แล้วอยู่ข้างหน้า แต่นักภาวนาไม่เห็นเอง เพราะไม่รู้จัก เมื่อนักภาวนาพบจิตได้แล้ว นักภาวนาเพียงหมั่นฝึกฝนต่อไปอีก ขอให้เชื่อได้เลยว่า เมื่อนักภาวนาได้ตกกระแสแล้ว ก็จะมีแต่จะไม่หวนกลับ
.
เพราะกำลังสัมมาสมาธิที่ยิ่งตั้งมั่น ก็จะเสริม สัมมาญาณให้มั่นคง แล้วการเกิด จิตเห็นจิต ก็จะยิ่งได้บ่อย เห็นได้นาน เห็นเหมือนจิตไม่หายไปไหนเลย ในคำสอนของครูบาอาจารย์ และ ในพระไตรปิฏก ได้กล่าวเปรียบเทียบ จิตเหมือนฟองไข่ และ ในคำสอนก็บอกว่า ให้ทำลายจิตทิ้งเสีย เมื่อจิตถูกทำลายทิ้ง สภาวะของคู่ก็จะสลายไป กลายเป็นสภาวะใหม่ ที่เรียกว่า ความเป็นหนึ่ง ขึ้นมาแทน ในความเป็นจริง ไม่มีใครทำลายจิตได้ แม้แต่ตัวนักภาวนาเอง
.
แต่การที่จิต เกิดการแตกสลายออกไปนั้น เกิดจากที่จิตที่บ่มเพาะปัญญาที่จิตไปเห็น จิตที่แปรเปลี่ยนไปมา เพราะมีการสร้างขันธ์ขึ้นของจิต และเห็นสภาวะแห่งจิตที่หยุดสร้างขันธ์ ปัญญานี้แหละ ที่จะทำลายจิตให้เป็น จิตหนึ่ง การที่จิตหยุดสร้างขันธ์ ในครูบาอาจารย์มักกล่าวว่า ให้จิตหยุดคิด หรือ ฮวงโปได้กล่าวว่า ให้หยุดปรุงแต่งเสีย นี่เป็นสิ่งทียากยิ่งอีกอย่างของนักภาวนา จิตหยุดคิด เพราะนักภาวนาไม่รู้จัก จิตหยุดคิดเป็นอย่างไร ถ้านักภาวนาเพียงคิดว่า จะทำอย่างไรให้จิตหยุดคิด นั้นคือ เป็นการคิดแล้ว ถ้านักภาวนาเพียงรู้ว่า นี่ลมหายใจเข้า นี่ลมหายใจออก นี่กินข้าวไปแล้วสิบคำ นี่ก็คือ การคิดแล้วเช่นกัน
..

จิตหยุดคิด ก็คือ จิตหยุดสร้างขันธ์ จิตที่ไม่สร้างขันธ์ ใน มโน จะใสกระจ่างแจ้ง จิตที่กำลังสร้างขันธ์ ใน มโน จะขุ่นมัว ไม่สดใส ในสภาวะแห่ง จิตหนึ่ง แสงแห่งจิต จะส่องสว่างขึ้นไม่มืดมัว เมื่อจิตส่องแสงสว่าง อันกิเลสต่าง ๆ ที่อาศัย โมหะ เป็นชนวนการเกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะ โมหะ ต้องกาศัยเกิดตอนจิตมืดมิด เมื่อ จิตส่องสว่าง ความมืดย่อมหายไป กิเลสจึงเกิดอีกไม่ได้เพราะเหตุนี้ นี่คือธรรมชาติของจิตที่ประภัสสร เปล่งกระกายออกมา แล้วกิเลสก็เกิดไม่ได้เอง นี่คือวิถีแห่งมรรค








คนไม่มีเงิน หรือ ไม่มีเวลาจะไปวัด แต่อยากทำบุญ ก็เพียงเจริญเมตตาจิต ไม่ให้โกรธเกลียดใคร มีแต่ความรักให้แก่เขา วิธีนี้ถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์มากทีเดียว..

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วัดป่าสุคะโต







ท่านจึงให้ใช้วิธีกลั่นกรองที่ละเอียดเข้าไปกว่านั้นอีกเป็นขั้นที่ 3 คือกลั่นกรองด้วย “ปัญญา“ ใช้ปัญญาวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใด้วิพากษ์วิจารณ์ที่อื่นใด ท่านให้พิจารณาสังขารหรือขันธโลกนี้แหละ โลกอันกว้างศอกยาววาหนาคืบหนึ่งของเรานี่แหละ ให้ปรารภลงตรงนี้ เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย พอตายแล้วเอาอะไร ไปไม่ได้สักอย่างเดียว….ปัญญาตรงนั้นจะชัดเจนเข้ามาในใจแนบเนียนอยู่กับจิตกับใจอยู่ตลอดกาลเวลา มีความอยากทะเยอทะยานขึ้นในขณะไหนปัญญาตัวนั้นคอยกำกับชัดอยู่กับจิตอันนั้นรู้เห็นทันทีอยู่ตลอดกาลเวลา ความทะเยอทะยานและความดิ้นรนอันนั้นก็หายไป ฝึกหัดอยู่อย่างนี้เรื่อยไปนาน ๆ หนักเข้าอารมณ์ต่าง ๆ ไม่เกิด เพราะเห็นตามเป็นจริง นี่เป็นการใช้ปัญญากลั่นกรองละเอียดเข้าไปอีก ต้องกรองแล้วกรองเล่า ปัญญาจึงเป็นของประเสริฐที่ทุกคนปรารถนา เพราะปัญญานี้สามารถจะทำให้เกิดความบริสุทธิ์หมดจดได้ พุทธภาษิตที่ท่านตรัสว่า “ปญฺญาย ปรสุทฺธติ เพราะปีญญาอย่างเดียวจึงบริสุทธิ์” ศีลก็ยังไม่ทันบริสุทธิ์ สมาธิก็ยังบริสุทธิ์เต็มที่ไม่ได้ตลอดไป การกรองขั้นละเอียดด้วยปัญญา จึงค่อยทำให้บริสุทธิ์ได้เต็มที่และถาวร

พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
วิจัยธรรมออกจากโลก (๗)
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง
๒๒ กันยายน ๒๕๑๕


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO