"... เขารักเขาชังช่างเขา แต่เรา.. ... ต้องทำความดี วิธีที่สร้างความดี ... ที่ง่ายที่สุดคือ “หยุด”..."
""""""""""""""""""""""""""""""""""" """ "" "" "" "" "" "" " #หลวงปู่ขาว_อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู (พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๕๒๖)
ผู้บรรลุธรรม เขาไม่ได้มาบอกแบบทางโลก ผมได้สำเร็จขั้นนั้นแล้ว สำเร็จขั้นนี้แล้ว ผมเป็นโสเดา โสดาแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นของปลอมทั้งนั้น คนที่เขาหลุดพ้นจริงๆ บรรลุธรรมจริงๆ เขาไม่มีความอยากให้ใครรู้หลอก เขาไม่บอกใครหลอก เขาจะเก็บตัวเงียบ
อย่างหลวงปู่ลี (หลวงปู่ลี กุสลธโร) ท่านไม่เคยบอกว่าท่านบรรลุธรรม ก็เพราะมีครูบาอาจารย์ท่านมาบอกใว้ ไม่มีใครรู้เพราะท่านไม่พูดกับใคร ท่านไม่บอกใคร ถ้ามีความอิ่มทางความสุขความพอแล้ว ไม่เห็นต้องอยากไปบอกใคร คนที่อยาก แสดงว่ายังไม่พอ ยังอยากให้คนรู้ ยังอยากให้คนยกย่องสรรเสริญ ก็เลยไปบอก คนที่รู้จริงๆคนที่บรรลุธรรมจริงๆ เขาจะไม่บอก
พระพุทธเจ้า ตอนต้นท่านก็ไม่อยากจะบอกใคร ท่านไม่อยากจะสอน สอนไปคนนึงก็ปฏิบัติตามไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้แยกแยะ จิต ของคน ก็มีสี่ประเภท เหมือนบัวสี่เหล่า พวกที่ฉลาดพร้อมรับคำสอนได้ก็มี ท่านก็เลยมุ่งไปหาผู้ที่ฉลาดก่อน คือ ปัญจวัคคีย์ ระหว่างทางก็ไปเจอพราหมณ์คนหนึ่ง พราหมณ์ถามไปไหน ท่านเป็นใคร พระพุทธเจ้าบอกเราเป็นพระพุทธเจ้า พราหมณ์ เอ้อดี เขาก็ไม่เชื่อ ไปบอกเขา เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี เขาก็ไม่รู้พระพุทธเจ้าเป็นอะไร เป็นใคร งั้นอย่าไปบอกดีกว่า สู้สอนให้เขาเป็นดีกว่า
พอมาสอนให้พระปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ พระปัญจวัคคีย์ก็รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ การเป็นพระอรหันต์นี้เป็นอย่างไร ผู้ที่ฉลาดเขาไม่มาพูดเปรยๆหลอก ข้าพเจ้าเป็นพระโน่นพระนี่แล้ว เขาจะมาสอนเรา แล้วถ้าเราปฏิบัติได้ เราได้ผล เราก็จะเป็นผู้มารับรองเขาเอง เอ้อ คนนี้ใช่แน่นอน เนี่ยใครมารับรองพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็พระสาวกทั้งหลายนี่ไง พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป วันมาฆบูชา มากราบพระพุทธเจ้า แสดงว่ามายืนยันมารับรอง นี่แหละ คือ พระพุทธเจ้าที่แท้จริง เพราะเขาได้เป็นพระอรหันต์เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้านี่เอง
โอวาทธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๙
โลกไม่ได้ทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เอง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ “ความเห็นของคน” เท่านั้น ที่ผิด . …. “เหมือนกับเราเดินทาง หนทางไกลเท่าไหร่มันก็ไม่เหนื่อยกับเรา หนทางไม่เหนื่อย เราผู้เดินนี้เหนื่อย เราผู้วิ่งนี้มันหนัก หนทางมันจะไปไหนก็ช่าง มันไม่เมื่อย มันก็ไม่เหนื่อย มันเหนื่อยเพราะเราเดินทาง มันเป็นอย่างนี้ . …. ฉะนั้น ทางมันพอดีของมันอยู่ พอดีอย่างไร ถ้าเราเดินเหนื่อยเราก็พัก ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราฉลาด ถ้าเหนื่อยแล้วยังขืนเดินไปก็ตายกับหนทางเท่านั้นแหละ ทางไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าเราจะหยุด มันก็ไม่บังคับให้เราเดินไปอีก ถึงแม้เราจะไปอีก มันก็ไม่บังคับให้เราหยุด …. โลกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้จักทางก็รู้จักกำลังของเรา พอสมควรเราก็พักได้ เราจึงค่อยเดินไป เป็นเรื่องของเรา คนรู้จักทางเป็นอย่างนี้ . …. คนรู้จักโลกก็เหมือนกัน โลกมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง ทางนั้นก็เป็นโลก โลกนั้นก็คือหนทาง ถึงแม้ว่าเราเดินต่อ มันก็ไม่สิ้นสุดสักที โลกไม่ได้ทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เอง ฉะนั้น จึงมาแก้ที่เรา ใจเรานี้มันหลงโลก ไม่ใช่โลกหลงเรา เรามันหลงโลกเข้าใจไหม? …. ถ้าว่า อาหารทั้งหลาย ถ้ามันอร่อย ไม่ใช่อาหารมันหลงเรา เรามันหลงอร่อยอันนั้น หลงหวาน หลงเปรี้ยว หวานก็พอดีของมัน เปรี้ยวก็พอดีของมัน มันเป็นของพอดี ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด” . พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
#ตัวทุกข์ที่เกิดขึ้นเราต้องเผชิญเอง
การปฏิบัติธรรมมุ่งการเป็นที่พึ่งของตน ครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะ เป็นผู้ชี้ทาง แต่สุดท้ายเราต้องเป็นผู้รู้เอง เห็นเอง เป็นปัจจัตตัง
เปรียบเหมือนการทานข้าว เพื่อนผู้หวังดีก็อาจเอากับข้าวดีๆ มาให้ทาน รสชาติก็อร่อย วิตามินโปรตีนก็สมบูรณ์ เขาทำหน้าที่ของผู้หวังดีอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเราไม่ยอมทาน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายมันอยู่ที่เรา
เรื่องที่สำคัญๆ ในชีวิต เรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย สิ่งเหล่านี้เราทุกคนต้องเผชิญคนเดียว ถึงจะมีผู้หวังดีห้อมล้อม มีครอบครัวที่อบอุ่น มีครูบาอาจารย์ให้กำลังใจ แต่ตัวทุกข์ที่เกิดขึ้น เราต้องเผชิญเอง
ฉะนั้นเราหวังให้คนอื่นแก้ทุกข์ให้เรานั้น เป็นการคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ยุติธรรมกับเขา แต่สิ่งที่เราหวังจากคนรอบข้างและสิ่งที่ควรพยายามให้เขาด้วย คือ ความเห็นอกเห็นใจ กำลังใจ การให้ข้อคิดหรือตักเตือนว่ากล่าวด้วยความหวังดีในเวลาอันสมควร การให้เกียรติ ให้อภัย คนอื่นช่วยเราได้ ช่วยได้มาก แต่ช่วยให้เราพร้อมที่จะช่วยตัวเอง
พระอาจารย์ชยสาโร
ทีนี้..ความดีความชั่วทั้งหลายก็เหมือนกัน อย่างความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นอยู่อย่างนี้ นี่เรื่องเรื่องความเป็นจริงของโลก แม้นเราจะร้องจะไห้จะหวั่นไหวไปมากันทั้งหลายอันนี้ มันเป็นอยู่เรื่องของอย่างนี้ แล้วก็ไปเมาทุกข์ เมายก เมายอ เมายึดเมาหมาย ในสิ่งทั้งหลาย เหล่านี้ ไม่รู้จักเรื่องของมัน
และพระบรมศาสดาของเราท่านให้เราพิจารณาธรรมะ ให้เห็นตามเป็นจริงของความเป็นจริง การเทศน์ให้ฟังการอธิบายอะไรให้ฟังทุกอย่างก็เพื่อให้เห็นความจริง ให้รู้ความ จริง..รู้ธรรมะ
ครั้นรู้ความจริงแล้ว เราจะไม่มีอะไรกล่าวถึง ไม่มีปัญหาและไม่มีเรื่องอะไรที่ถกเถียงกัน อย่างคนตาย..เป็นอะไรหนอมันจึงตาย เป็นอะไรหนอมันจึงเจ็บ อย่างนี้ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาที่ต้องถกเถียงกันอีก มีแล้วก็หาไม่เกิดแล้วมันก็ลับไป
ท่านว่ามีแล้วก็เหมือนไม่มี เกิดแล้วมันก็ดับไป...ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน อันนี้คือหนทางเข้าไประงับทุกข์ ครั้นรู้เรื่องสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ความทุกข์นั่นมันจะบรรเทาลง ครั้นไม่รู้เรื่องสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ความทุกข์มันจะทวีขึ้น..ความทุกข์ทางใจ
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
"..สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศหัวใจพระพุทธศาสนาให้ปรากฏประจักษ์ ก็เพื่อผู้มีปัญญารักพระพุทธศาสนา ดังเช่นรักชีวิตของตัวเอง จะได้รู้ว่าหัวใจพระพุทธศาสนานั้น แม้รักษาไว้ให้ดีเพียงไร ก็จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ได้ดีเพียงนั้น
ในทางตรงกันข้าม แม้ไม่รักษาหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ให้ดีจริง ก็จะไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ไม่มีพระพุทธศาสนาแน่นอน แม้ไม่รักษาหัวใจพระพุทธศาสนาให้อยู่อย่างงดงาม.."
พระนิพนธ์ 'แสงส่องใจ มาฆบูชา ๒๕๔๙' สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
|