#อามิสบูชาใครว่าไม่สำคัญ ใครไม่ทำอามิสบูชา เกิดชาติหน้าลำบากยากจน
..บางแห่งบอกอามิสบูชาไม่ต้องเอาละ พระพุทธรูปก็ไม่มี แต่นี้มี เพราะให้คนระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก่อน บางคนยังได้สมาธิกับพระพุทธรูป นั่งเป็นกสิณ ใช่มั๊ย..ดูพระพุทธรูปตลอด จิตไม่ไปไหน จิตก็สงบได้ผลดีอยู่ อาตมาก็เลยบอกแก้อย่างไรเล่า..
แก้เรื่องไม่เอาอามิสบูชา ใครเอาแต่ปฏิบัติบูชา เกิดชาติหน้า บ้านก็ไม่มี รถก็ไม่มี เงินก็ไม่มี เครื่องนุ่งห่มก็ไม่มี จะเป็นอเจลก เมืองอินเดีย ไม่นุ่งผ้าอย่างนั้น ต้องเข้าใจ เอาสมาธิอย่างเดียว ถ้าไม่มีข้าวฉัน มันจะอยู่ได้บ่..พระนั้นต้องมีปัจจัย๔ เป็นเครื่องอยู่ ต้องพูดเรื่องอามิสบูชา..
โอวาทธรรม หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป
พระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์
๑. พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ๒๔๗๕ ๒. ครูบาศรีวิชัย เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ ๒๔๖๗-๒๔๗๘
หมายเหตุ : วัดของท่านทั้งสองห่างกันเพียงหนึ่งกิโล ท่านทั้งสองได้พบและสนิมสนมกันในทางธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย โดยหลวงปู่มั่นมีอาวุโสกว่าครูบาศรีวิไชย ๘ ปี
ปี ๒๔๗๗-๒๔๗๘ การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพของครูบาศรีวิชัยนั้นแสนจะยิ่งใหญ่ เลื่องลือทั่วแคว้นแดนล้านนา มีหรือจะไม่เข้าหู หรือตกหล่นจากญาณรู้แห่งพระอัจฉริยเจ้าอย่างท่านพระอาจารย์มั่น บำเพ็ญเพียรวิเวกอยู่อีกซีกหนึ่งของเชียงใหม่ อ.พร้าว
หลังจากสร้างทางขึ้นดอยสุเทพแล้วเสร็จในปี ๒๔๗๘ นั้น ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์หนักที่สุดในชีวิตสมณะ โดยการบวชครูบาขาวปี๋(ศิษย์เอก)เป็นเหตุหลัก และข้อหาตั้งตัวเป็นผู้ครองวัดในสังกัดอีกว่า ๖๐ วัดในเชียงใหม่ (เข้าข่ายกบถหรือผีบุญ) ท่านหลวงปู่มั่นได้พบกับครูบาศรีวิชัย และได้เชื้อเชิญในฐานะพระเถระผู้พี่ที่สนิทสนมกันทางธรรม ถึงกับได้กล่าวออกปากชวนครูบาศรีวิไชยเลยทีเดียวว่า
"โลกนี้มืดมนนัก...น้อยคนจักเห็นแจ้งในสัจธรรมได้ ขอน้องเราท่านจงมาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานกับผม เพื่อล่วงทุกข์ภันในวัฏฏะไม่ต้องมาเกิด แก่ เจ็บและตาย และวุ่นวายด้วยกิเลสตัณหาให้ได้รับทุกข์อย่างไม่มีสิ้นสุดด้วยเถิด"
เมื่อได้ฟังคำเชิญเชิญด้วยความจริงใจจากพระผู้บรรลุธรรมอย่างหลวงปู่มั่น ผู้เป็นพระเถระผู้พี่ของท่านด้วยความซาบซึ้งใจอย่างนอบน้อมยิ่ง ครูบาศรีวิไชยก็ได้กล่าววาจาเปิดโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นการเฉลยมโนปรารถนาของท่านในกาลบัดนั้น (ซึ่้งหลวงปู่มั่นท่านก็ทราบอยู่แล้วถึงความปรารถนาของครูบา และยังเคยถวายรายงานเรื่องครูบาฯต่อพระอุปาลีฯมาก่อนแล้ว)
"ที่พี่กล่าวมาเช่นนี้ก็ชอบอยู่แท้...แต่สุดวิสัยอยู่แต่เพียงว่า อันตัวข้าเจ้าผู้น้องนี้ หาได้บำเพ็ญบารมีธรรมทั้งปวงมาเพื่อจะหลุดพ้นจากวัฏสงสารแต่เพียงลำพังก็หามิได้...แต่ข้าเจ้าได้บำเพ็ญธรรมตามจริยาอย่างพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจะล่วงเข้าสู่พระพุทธภูมิอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งยังได้รับพระพุทธพยากรณ์ไว้แล้วด้วยว่าข้าเจ้านี้เที่ยงแท้ที่ได้จะบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในภายหน้า แม้จะเป็นพระคุณอย่างล้นเหลือ แต่ข้าเจ้าไม่มีอำนาจใดจักไปฝ่าฝืนพุทธพยากรณ์ที่ได้ทรงตรัสไว้แล้วดังนี้ ฉะนั้น ขอพี่ท่านจงได้โปรดอดโทษแก่ข้าเจ้าผู้น้องที่มิอาจสนองความปรารถนาดีของพี่ท่านในกาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด"
เมื่อได้ฟัง ท่านพระอาจารย์มั่น ก็ได้ตระหนักแน่อยู่แก่ใจดีอย่างที่สุดว่า ไม่มีหนทางอันใดที่จะแปรเปลี่ยนเส้นทางแห่งพระโพธิญาณของครูบาฯไปได้อีก จึงได้กล่าวอนุโมทนากับท่านพระครูบาฯ เป็นวาระสุดท้ายว่า
"ผมขออนุโมทนาในกุศลเจตนาเป็นมหาปณิธานของท่านในโอกาสนี้ด้วย...ขอท่านจงสำเร็จพระโพธิญาณสมดังมโนปรารถนาที่ตั้งไว้โดยเร็วพลัน อย่าได้มีเภทภัยอันตรายใดๆมาแผ้วพานได้ตลอดไปด้วยเทอญ...สาธุ"
ข้อมูลจากหนังสือ : พระกรรมฐานสู่ล้านนา โครงการหนังสือบูรพาจารย์เล่ม ๖
...อย่าพากันประมาท ให้รู้สึกว่าพวกเรากำลังถูกขับไล่ออกจากโลกอยู่ทุกวันๆ คือความแก่มันก็กำเริบ ความเจ็บมันก็คำราม ความตายมันก็เข้ามาถาม อย่ามัวไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับพวกกองกิเลส จงคลุกคลีอยู่กับ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จนจิตใจเป็นสัมมาสมาธิ เราจะได้ไม่หวั่นไหว ต่อภัยของโลก... ---------------------- โอวาทธรรม ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
"... โยมเอ๊ย.!! เราจะอาศัยอยู่ในโลกนี้อีก ... นานสักเท่าไร แล้วก็จะต้องจากกันไป ... ให้รีบๆ ทำความดีกันไว้ อย่าเอาแต่กิน ... แต่นอนแล้วก็ปรุงเรื่องกิเลศตัณหา ..." ----------------------------------------------- #พระสุทธิธรรมคัมภีรเมธาจารย์ #ท่านพ่อลี_ธมฺมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ (พ.ศ.๒๔๔๙ - ๒๕๐๔)
"... อย่าอยากดัง อยากดี อยากเด่น ให้พยายามปฏิบัติตนของตนให้มั่นคงในศีล สมาธิ ปัญญา
... อย่าอยากได้เกินไป อย่าอยากให้มันเป็นเกินไป ค่อยทำค่อยไป แล้วจิตใจของเรานั้น จะมั่นคงขึ้นเอง
... เราต้องวางจิตของเราให้เป็นกลาง วาง ให้ได้ ใครจะเป็นอะไรก็เป็นไป ..." ----------------------------------------- #หลวงปู่จันทร์ศรี_จันททีโป วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
อามิสบูชาใครว่าไม่สำคัญ ใครไม่ทำอามิสบูชา เกิดชาติหน้าลำบากยากจน
..บางแห่งบอกอามิสบูชาไม่ต้องเอาละ พระพุทธรูปก็ไม่มี แต่นี้มี เพราะให้คนระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก่อน บางคนยังได้สมาธิกับพระพุทธรูป นั่งเป็นกสิณ ใช่มั๊ย..ดูพระพุทธรูปตลอด จิตไม่ไปไหน จิตก็สงบได้ผลดีอยู่ อาตมาก็เลยบอกแก้อย่างไรเล่า..
แก้เรื่องไม่เอาอามิสบูชา ใครเอาแต่ปฏิบัติบูชา เกิดชาติหน้า บ้านก็ไม่มี รถก็ไม่มี เงินก็ไม่มี เครื่องนุ่งห่มก็ไม่มี จะเป็นอเจลก เมืองอินเดีย ไม่นุ่งผ้าอย่างนั้น ต้องเข้าใจ เอาสมาธิอย่างเดียว ถ้าไม่มีข้าวฉัน มันจะอยู่ได้บ่..พระนั้นต้องมีปัจจัย๔ เป็นเครื่องอยู่ ต้องพูดเรื่องอามิสบูชา..
โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
เปรตลักกินของสงฆ์ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านเล่าถึงเปรตตนหนึ่งตอนที่องค์ท่านหลวงปู่เสาร์พาท่านมาพักภาวนาอยู่ที่วัดท่าแขกว่า
ตอนพักภาวนาอยู่วัดท่าแขก ท่านอาจารย์เสาร์บอกกับเราว่า ท่านชอบ ที่วัดแห่งนี้มีเปรตผู้ชายตนหนึ่งนะ ท่านรู้ไหม ที่วัดท่าแขกมีเปรตผู้ชายตนหนึ่งตามที่ท่านอาจารย์เสาร์บอก เปรตตนนี้มีอายุร่วมสามร้อยปีแล้ว ตัวของมันจะสูง ตัวผอมดำเหมือนกับโดนไฟไหม้จนเกรียมไปทั้งตัว ตัวมันสูงเท่ากับหลังคาโบสถ์วัดท่าแขก หาเก็บกินของบูดของเน่าภายในวัด เก็บขี้หมาขี้แมวกิน
เปรตตนนี้ อดีตมันเคยเป็นโยมรับใช้พระเณรที่วัดแห่งนี้ พอคุ้นเคยกับพระเณรเถรชีในวัดมันก็ไม่เคารพยำเกรงในพระเณร มักถือวิสาสะเอาของวัดไปกินไปใช้อยู่เสมอโดยไม่แจ้งให้พระเณรองค์ใดองค์หนึ่งทราบ ของกินของฉันอันใดที่มันเห็นว่าแซ่บ หรือของที่มันอยากจะกินแล้ว มันแอบเอาไปกินโดยไม่มีการขออนุญาตจากพระเณรเลย
พอของกินของใช้ในวัดมันหายไปหลายครั้ง พระเณรท่านถามมันว่าได้เอาไปกินไปใช้หรือเปล่า มันปฏิเสธว่ามันไม่ได้เอาไปกินไปใช้ หลายๆครั้งที่มันทำลงไปเพราะมันคิดว่าพระเณรท่านไม่รู้ เมื่อท่านปรามหรือห้ามมันก็ปฏิเสธทุกครั้งไป พอถูกซักถามมากครั้งเข้ามันก็โกรธพระเณรตามประสานิสัยอันธพาลของมัน มันท้าทายว่าถ้าหากมันเอาของสงฆ์ไปกินขอให้ข้าพเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเปรตอดอยากปากแห้งบ่มีข้าวกิน ให้ได้กินแต่ของบูดเน่ากินขี้หมาขี้แมวภายในวัดนี้
เพราะความมืดบอดของจิตใจมันถึงได้ทำแบบนี้ ออกปากท้าทายบุญบาป มันเข้าวัดแต่ตัวแต่จิตใจของมันไม่มีวัตรปฏิบัติเลย มันคิดว่าบาปบุญไม่มีตัวตน มันจึงไม่เชื่อในเรื่องของบาปกรรมทำอะไรก็ทำไปตามกิเลสบงการ พวกนี้จิตมืดบอดนี้ยากต่อการโปรด บุคคลเช่นนี้ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอีกกี่พระองค์มาตรัสรู้ มันถึงจะได้รู้เห็นเป็นธรรมขึ้นมากับเขาบ้าง
พอตายไปแล้วมันจึงได้มาเกิดเป็นเปรตสมกับที่มันปรารถนา เป็นเปรตที่มีความหิวโหยอยู่ตลอดเวลา หิวโหยเพราะตัณหาของตนเอง เที่ยวหาเก็บกินของบูดเน่า ขี้หมาขี้แมวที่อยู่ตามพื้นดินของวัด มาวัดท่าแขกทีไรก็เห็นแต่มันเก็บกินขี้มาขี้แมวอยู่อย่างนั้น เห็นมันแล้วก็สังเวชใจสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมของมันทำมาแบบนี้ ผลมันจึงออกมาเช่นนี้
ผู้เขียนถามองค์ท่านว่าถ้าขี้หมาขี้แมวไม่มีแล้ว เปรตตนนี้มันจะกินไรล่ะ มันคงจะทรมานในบาปกรรมของมันมากเหมือนกันนะ แล้วหลวงปู่มีวาสนาร่วมกันพอที่จะโปรดเปรตตนนี้ได้ไหม หลวงปู่ชอบท่านตอบว่า…
“ คนอื่นหรือเราก็โปรดมันบ่ได้ เพราะจิตของมันมืดบอด จิตไม่มีด้านสว่างพอที่จะรับเอาบุญกุศลได้ เป็นโมฆะบุรุษผู้บกพร่องทางธรรม อาหารบูดหรือขี้หมาขี้แมวนั้น เป็นอาหารที่เกิดจากผลกรรมของเปรตตนนี้ ของพวกนี้ไม่มีวันหมดหรอก เมื่อมันหิวขึ้นมาเมื่อไหร่ กรรมมันจะบันดาลให้มูตรคูถของเน่าผุดขึ้นมาให้มันได้กิน สิ่งเหล่านี้มันจะหมดไปพร้อมกับกรรมของมันเท่านั้น ” หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เราก็ใช้ร่างกายไป อีกสักวันหนึ่ง มันทุพพลภาพแล้ว เราจะบังคับใช้ยังไงก็ใช้ไม่ได้ เมื่ออายุ ๘๐-๙๐ ปีเข้ามาแล้ว เหมือนกับรถที่มันอายุมากแล้ว เครื่องยนต์ก็พอติดได้เอง แต่ล้อมันจะหลุดออกไปยังไงก็ไม่รู้ เพราะว่ารถเก่าแก่ รถใช้มานาน
ร่างกายของเราก็เหมือนกับรถ ถ้าใช้มานาน ๆ มันไม่รู้ว่าอะไรจะหลุด อะไรมันจะหล่น ของไม่เที่ยงอยู่ในร่างกายของเราทั้งหมด อีกสักวันหนึ่งนะ ใจนะ กายนะ จะต้องหยุดนะ หยุดหายใจนะ ใจเราจะทำยังไง ก็ออกจากร่างล่ะทีนี้ ความรู้สึกนึกคิดตัวนั้นออกจากร่าง
หลวงพ่อย้ำแล้วย้ำอีก การภาวนานี้ เราจะเห็นอย่างนี้ได้ เราไม่ใช่พิจารณาเพียงครั้งเดียวสองครั้งนะ หลวงตาท่านบอกเหมือนกับคราดนา คราดแล้วคราดอีก คราดแล้วคราดอีก จนขี้ไถ มูลไถ แตกกระจุยกระจาย ละเอียด เราพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ย้ำแล้วย้ำอีก กลั่นกรองแล้วกลั่นกรองอีก ทบทวนแล้วทบทวนอีก ให้เห็นชัดเจน เมื่อเราเห็นชัด ใจของเราเข้าสู่ความสงบ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเอง ใจของเราก็เกิดความนิพพิทา คือความเบื่อหน่าย เบื่อว่าร่างกายมันไม่ใช่ของข้านะ พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว มันเป็นสภาพของมันเอง ใจของเราไปยึดไปถือ ไปให้ความสำคัญ กายก็เลยสำคัญ
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก จากพระธรรมเทศนา “อย่าแพ้ใจตัวเอง” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗
|