#คาถารักษาโรคกรรมอันเกิดแต่กรรม
ครั้งหนึ่งเมื่อพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พักอยู่บ้านจีด มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งไอทั้งวันทั้งคืน แม้ขณะฟังเทศน์ ก็ไอตลอดเวลารบกวนสมาธิของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเทศน์จบพระอาจารย์ฝั้นจึงถามว่า ทำไมไม่รักษา
โยมนั้นก็ตอบว่า กินยานับขนานไม่ถ้วนก็ยังไม่หาย
ท่านจึงบอกโยมผู้นั้นว่า คงเป็นกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน ขอให้หัดภาวนา แล้วท่านบอกคาถาให้บริกรรมว่า
" ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ "
ท่านให้ภาวนาตั้งจิตบริกรรม โดยกำหนดจิตที่ใดที่หนึ่ง
วันแรกนั่งบริกรรมได้สักพักก็ยังไออยู่ตลอด
วันที่สองปรากฎว่ามีอาการค่อยชุ่มคอขึ้น อาการไอห่างไปบ้าง
พอถึงวันที่สามอาการไอก็หายราวกับปลิดทิ้ง รู้สึกคอชุ่มขึ้น โยมผู้นั้นนั่งบริกรรมอยู่จนดึกดื่น ใครๆเขาหลับกันหมดก็ยังไม่ยอมหลับ ในที่สุดอาการไอก็หาย โดยเด็ดขาดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
#หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร
เครื่องประดับในโลกอันนี้ จะเป็นหลายหมื่น หลายพัน หลายแสน มองดูมันไม่เย็นอกเย็นใจ ไม่ชื่นอกชื่นใจ เหมือนศีลธรรมประดับ ถ้าศีลธรรมประดับแล้ว...มันถึงใจ
#หลวงปู่อุทัย สิริธโร
"เป็นหลวงปู่หมด แต่เดี๋ยวนี้เว้ากันง่ายๆๆ ปู่โลดนี้จำไว้ให้ดี คารโวนิวาโตจะ พูดบ่สำนึก
คำว่าหลวงปู่ มันจะเป็นคำที่นอบน้อมมันถึงจิตถึงใจ ปู่โลด ปู่โลดคือเสี่ยวนี่ คารโวนิวาโตจะบ่มีคารโวนี่เพิ่นมาคารวะ คารโวนิวาโตจะ เอตัมมังคะลังมุตตะมัง
เมื่อวานนี้ก็เว้าเพิ่น พระพุทธเจ้าเพิ่นว่าเป็นมงคล พูดด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน พูดด้วยความคารวะคารโว พูดออกมาด้วยความบ่ถือเนื้อถือตัว ไม่ดูถูกดูแคลนดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ไม่ดูหมิ่นชาติตระกูลกัน ถึงแม้จะเป็นคนจน ก็ไม่ให้ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ฉะนั้นเพิ่นจึงว่า เป็นความร่มเย็น เพิ่นจึงว่าคารโวจะนิวาโตจะ
ใจนี่ถ้ามันเกรงใจหรือเคารพนอบน้อมมันก็เป็นบุญ เพราะเป็นใจที่อ่อน บ่เป็นใจแข็งกระด้าง ถ้าใจแข็งกระด้าง แม่นสิพูดดีก็แข็งกระด้าง อันนี้เพิ่นว่า อันนี้เพิ่นว่าใจแข็งใจมืดใจมั่วใจดำใจบ่มีกุศลเป็นพี่เลี้ยง..."
#หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ
#เวลาใกล้จะตายเห็นแสงไฟ ปรากฏเห็นแสงไฟมา ยังไม่คิดไปทางอื่นแล้วก็เลยตายในขณะนั้นก็ไปเกิดในนรก
ถ้าเวลาใกล้จะตายปรากฏเห็นท่าน้ำหรือป่าไม้ แล้วก็สิ้นลมปราณในเวลานั้นยังไม่คิดไปทางอื่น ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เวลาใกล้จะตายปรากฏว่ามืดมนอนธกาล มองไม่เห็นอะไรเลยคล้ายๆ ว่ากลางคืน สิ้นลมปราณในขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นเปรต
เวลาใกล้จะตาย ได้ปรากฏเห็นวิมานและปรากฏเห็นเทวบุตรเทวดา แล้วก็สิ้นลมปราณในขณะนั้น ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวดาเป็นอินทร์เป็นพรหมอยู่ในสรวงสวรรค์หรือพรหมโลก
เวลาใกล้จะตาย ปรากฏเห็นครรภ์มารดา ก็ไปถือปฏิสนธิเกิดอีกในครรภ์ ส่วนพระอรหันต์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เวลาใกล้จะตายก็มาเห็นกายเราส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ลมหายใจเข้าออกเป็นต้น หรือ กระดูกท่อนใดท่อนหนึ่งเป็นต้น หรือผม ขน เล็บ ฟัน อันใดอันหนึ่งเป็นต้น หรือธาตุน้ำอันใดอันหนึ่งในสกลร่างกายเป็นต้น มีดี เสลด น้ำเลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำลาย ไขข้อ น้ำมูตร หรืออันใดอันหนึ่ง เป็นต้น
ต่อจากนั้นแล้วท่านก็พลิกจิต ไม่ได้ติดอยู่ในผู้รู้ทั้งหลาย ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันด้วย ท่านก็เข้าสู่พระนิพพานไปซะ หาธรรมอันไม่ตาย
ถ้าเราไม่หัดไว้ทีนี้ ใกล้จะตายมาพุทโธๆ แด่เด้อ พุทโธๆ เด้อ พุทโธๆ ยังไงเมื่อมีชีวิตอยู่มันก็ยังไม่ภาวนา เดี๋ยวจะเจ็บอันนั้นปวดอันนี้ ร้องครางไปสารพัด แล้วไม่หัดไว้เดี๋ยวนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหัดไว้ ถ้าตายคาภาวนาพุทโธ ถึงจะมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกก็ตาม เราก็ไปสุคตินานอยู่เหมือนกัน
"อยู่กับทุกข์" ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต”
#มนุษย์เราทั้งหลายจึงจมอยู่ในกองทุกข์อยู่ในวัฏสงสาร ก็เพราะคิดอย่างนี้ ถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาก็นึกแต่จะให้มันหายเท่านั้น อยากจะให้มันหายเดี๋ยวนี้ จะให้มันหายเท่านั้นแหละ #ไม่นึกว่าอันนี้มันเป็นสังขาร อันนี้ไม่มีใครรู้จัก #สังขารมันเปลี่ยน ทนไม่ได้ พังไม่ได้ จะต้องให้หายให้หมด แต่ผลสุดท้ายมันก็สู้ไม่ได้ #สู้ความจริงไม่ได้ทั้งหมด อันนี้คือเราไม่ได้คิด คือมันเห็นผิดหนักเข้าไปเรื่อยๆ
ฉะนั้น #การประพฤติปฏิบัติทุกอย่างเพื่อเห็นธรรมะ มันเลิศกว่าสิ่งทั้งหลาย #พระพุทธองค์สร้างบารมีตั้งแต่ทานบารมีไปถึงปรมัตถบารมี เพื่ออะไร ก็เพื่อให้รู้จักอันนี้ เพื่อให้เห็นธรรมะ ให้ปฏิบัติธรรมะ แล้วให้รู้ธรรมะ #ให้ใจเป็นธรรมะ #ให้ปล่อยวาง เพื่อจะไม่ให้หนัก อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน หรือจะพูดง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งว่า #ให้ยึดแต่อย่าให้มั่น นี่ก็ถูกเหมือนกัน
คือเราเห็นอะไรก็จับมันขึ้นมาดูเสีย เออ อันนี้ก็อันนั้น แล้วก็วางมันไป เห็นอันนั้นอีกก็ยึดมาอีก แต่อย่ายึดให้มันมั่น #เอามาพิจารณา #รู้เรื่องแล้วก็ปล่อยวางเท่านั้นแหละ ถ้ายึดไม่วาง แบกไม่หยุด มันก็หนักตลอดเวลา ถ้าเรายึดมาแบก รู้สึกว่ามันหนัก ก็ปลงมันไป ทิ้งมันเสีย อย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นมา
#พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
"วันหนึ่งๆ ควรจะระลึกถึงความตายในตัวบ้าง อย่างน้อย ๕ หน ก็ยังดี จิตใจของเรา จะได้มีการยับยั้งจากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความโลภก็จะไม่มากนัก ความโกรธก็จะไม่มากนัก ความหลงก็จะไม่มากนัก เพราะมองเห็นป่าช้า"
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
"โลกไม่ได้วุ่นวายหรอก ใจเราต่างหากที่วุ่นวาย"
หลวงปู่ชา สุภัทโท
มกราคมอากาศหนาว กุมภาพันธ์ก็เริ่มจะอุ่นขึ้นมา มีนาคมก็เริ่มร้อน เมษายนร้อนจัด มันก็หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ วันคืนเดือนปีหมุนไปเรื่อย ๆ มันก็หมุนไปตามธรรมชาติของมัน ชีวิตของเราก็แก่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จุดนี้เป็นจุดที่พวกเราไม่เคยคิด มีแต่ความสนุกสนานเพลิดเพลินเฮฮาลุ่มหลงมัวเมาการเป็นอยู่
ตามที่จริงความแก่ มันแก่ขึ้นไปทีละนิด ๆ เหมือนกับเข็มวินาที มันยิ่งกว่าวินาทีเสียอีก การแก่ของพวกเรา จนมาถึงจุดนี้จึงจะรู้ได้ โอ้ ข้าแก่ ที่จริงมันแก่มาทีละน้อย ๆ มันแก่มาเรื่อย ๆ เขาใช้ศัพท์ความแก่หลวงพ่อว่าก็ใช้ถูก ความแก่ลากไป คือแก่ไปข้างหน้า ลากไปข้างหน้า ชีวิตของพวกเราก็ลักษณะอย่างนั้น เราจะคิดหรือไม่คิดเท่านั้นเอง
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก จากพระธรรมเทศนา “เวรภัยที่ไม่มีใครหนีพ้น” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
คาถารักษาโรคกรรมอันเกิดแต่กรรม
ครั้งหนึ่งเมื่อพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พักอยู่บ้านจีด มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งไอทั้งวันทั้งคืน แม้ขณะฟังเทศน์ ก็ไอตลอดเวลารบกวนสมาธิของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเทศน์จบพระอาจารย์ฝั้นจึงถามว่า ทำไมไม่รักษา
โยมนั้นก็ตอบว่า กินยานับขนานไม่ถ้วนก็ยังไม่หาย
ท่านจึงบอกโยมผู้นั้นว่า คงเป็นกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน ขอให้หัดภาวนา แล้วท่านบอกคาถาให้บริกรรมว่า
" ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ "
ท่านให้ภาวนาตั้งจิตบริกรรม โดยกำหนดจิตที่ใดที่หนึ่ง
วันแรกนั่งบริกรรมได้สักพักก็ยังไออยู่ตลอด
วันที่สองปรากฎว่ามีอาการค่อยชุ่มคอขึ้น อาการไอห่างไปบ้าง
พอถึงวันที่สามอาการไอก็หายราวกับปลิดทิ้ง รู้สึกคอชุ่มขึ้น โยมผู้นั้นนั่งบริกรรมอยู่จนดึกดื่น ใครๆเขาหลับกันหมดก็ยังไม่ยอมหลับ ในที่สุดอาการไอก็หาย โดยเด็ดขาดตั้งแต่ วันนั้นเป็นต้นมา
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร
"มีสติ รู้ตัว พูดจาให้น้อยลง พูด เท่าที่จำเป็น จะต้องพูด ด้วยความมีสติ รู้ตัวอยู่
การพูดมาก มีโอกาส พูดผิดได้มาก ไม่เกิดประโยชน์ แล้วยัง เป็นโทษอีกด้วย เป็นผู้ฟัง แล้วตามคิด เลือกจำสิ่งดีๆ มาใช้ จะได้ ประโยชน์กว่า
คนพูดมาก มักขาดสติง่าย เป็น ผู้ฟังที่โทษน้อย หรือไม่มีเลย แต่ เป็นผู้ได้รู้มากกว่า ผู้พูด"
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
|