นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 11 เม.ย. 2025 2:25 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความฉลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 20 มี.ค. 2025 7:07 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4886
“ไม่ใช่ว่าพ่อแม่เราจะจบ ดร. แล้วจะสบายและร่ำรวยมีเงินมีทองแล้วจะสุขสบายในโลกนี้ ในโลกโลกีย์นี้ ไม่มีอะไรจะมาเปรียบได้และสบายเท่าความสุขและไม่วุ่นวายในสุขทางธรรมะและสุขจนถึงบรมสุขนะ

ยังไม่ถึงเวลาจะบวชนะหมอ ช่วยและเอาบุญในทางโลก ช่วยโลกช่วยชีวิตคนก็ได้บุญอย่างหนึ่งและให้ตั้งใจ และช่วยเหลือมนุษย์ตามที่เราได้เรียนมาศึกษามาก็มีอานิสงส์และเป็นบุญ ทำงานไปก่อนนะเรื่องบวชค่อยว่ากันใหม่นะหมอ”

โอวาทธรรม
#หลวงตาสมหมาย อตฺตมโน
เทศน์วันที่ 21 มกราคม 2564





#ปุพเพกตปุญญตา
"..บุคคลทุกคนซึ่งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ประกอบด้วยความสุขของมนุษย์ น้อยหรือมากและได้พบพุทธศาสนาอันแสดงสัจจะธรรมธรรมะที่เป็นสัจจะคือความจริง
จงทำให้ได้ทราบข้อปฏิบัติต่าง ๆ สำหรับที่จะได้เพิ่มพูนบารมีคือความดี อันได้กระทำไว้แล้ว
ซึ่งเรียกว่า "ปุพเพกตปุญญตา"
ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำไว้แล้วในกาลก่อนมาอุปถัมภ์
ตั้งต้นแต่ให้บังเกิดเป็นมนุษย์ และให้เจริญมาตามควรแก่ฐานะนั้น ๆโดยลำดับจนถึงปัจจุบันของทุกคน

อันความดีที่เป็นบารมีนี้ก็ตรงกับความชั่วที่เป็นอาสวะ อันคำว่าอาสวะและบารมีนี้คู่กัน ดังจะพึงกล่าวเป็นคำไทยง่าย ๆ ว่า

บารมี นั้นคือเก็บดี อาสวะ คือเก็บชั่ว

กรรมที่ทุกคนกระทำอยู่ เป็นกรรมดีก็ตาม
เป็นกรรมชั่วก็ตาม ทางกาย ทางวาจา ทางใจ

เมื่อกระทำแล้วคราวหนึ่ง ๆ กิริยาที่ทำนั้นก็ล่วงไป เสร็จไป แล้วไป
แต่ว่ายังเก็บความดีความชั่วอันเนื่องมาจากกรรมที่กระทำนั้นไว้อยู่

ถ้าเป็นส่วนชั่วก็เป็นอาสวะ เก็บชั่วเอาไว้ ถ้าเป็นความดีก็เป็นบารมี คือเก็บดีเอาไว้

หากประกอบกรรมที่ชั่วอยู่บ่อย ๆ ก็เก็บชั่วเอาไว้มาก เพิ่มพูนขึ้น
ถ้ากระทำกรรมที่ดีไว้บ่อย ๆ ไว้มาก ก็เก็บดีเอาไว้มาก ก็เป็นบารมีเพิ่มพูนขึ้น เพราะฉะนั้น อาสวะและบารมีนี้จึงเป็นส่วนที่ยังเหลืออยู่ไม่เสร็จไป ๆ เหมือนดังกิริยาที่กระทำที่เสร็จไปแล้วไปเลิกไป เป็นคราว ๆ

และคำว่าบารมีหรืออาสวะนี้
ที่เป็นเก็บดีหรือเก็บชั่วดังกล่าว ก็เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากรรมได้เหมือนกัน เพราะกิริยานั้นทำคราวหนึ่ง ๆ ก็แล้วไปเสร็จไป เลิกไป แต่ว่ากรรมที่เป็นส่วนดีส่วนชั่วนั้น ยังติดอยู่ยังเหลืออยู่

เพราะฉะนั้นจึงได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ว่า

สัตว์ที่จะต้องตายถือเอาบาปบุญที่กระทำไว้แล้ว..ไป
อันบาปบุญที่กล่าวนี้ก็หมายถึงกรรมนั้นเอง
กรรมที่เป็นบาปเป็นบุญที่ได้กระทำไว้แล้ว..ไป

เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่ากรรมได้อีกชื่อหนึ่งซึ่งเป็นคำที่เรียกกันทั่ว ๆไป
และอาจจะแยกส่วนดีเป็น บารมี ส่วนชั่วเป็น อาสวะ.."

พระโอวาทธรรมคำสอนของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ อ้างอิงที่มาของบทความคัดลอกบางตอนจาก "วิมุตติจิต"







"..ที่มานี่เราก็พากันมารักษาศีล ก็รักษาตัวของเรา ไม่ได้รักษาอื่น นี่กุศลอันนี้นำผลให้เรามาหลายภพหลายชาติ ผู้ที่ขี้ร้ายขี้เหร่ ก็เพราะเขาไม่ได้รักษาศีลจะดูในปัจจุบันนี้ก็ดูนั่น คนที่มาอยู่ที่วัดนี้มีกี่ร้อยกี่พันหรือกี่คน แล้วผู้ไปเที่ยวล่ะ ดูซิ โอ้โฮ นับทีซิ หมื่นหนึ่งน่ะซี่ จะเอาเสี้ยวหนึ่งก็ไม่ได้ คิดดูซี่ นี่ผู้เข้าวัดเข้าวาอย่างนี้นับซิมีกี่คน ให้พากันพึงรู้พึงเข้าใจ นัยต่อไปคืออานิสงส์การเกิดมามีสติปัญญาใครก็อยากได้ เกิดมามีสติปัญญา ของเราไม่ได้ภาวนาก็ไม่ได้ ท่านสอนให้ภาวนา เกิดมาจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ท่านสอนให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆนี้ ให้ระลึกเอาในใจ พิจารณาเลือกเฟ้นหัวใจของเราใจมันมีมาก ใจดีใจชั่ว ใจสุขใจทุกข์ ใจนรกใจเปรตใจสัตว์เดรัจฉานก็มี ใจใบ้ใจบ้า ใจเสียจริตก็มี ใจคนเรามีหลายใจ ใจเทวบุตรใจเทวธิดาใจพระอินทร์ใจพระพรหมก็มี ใจท้าวพญามหากษัตริย์ก็มี ใจเศรษฐีคหบดีก็มี แน่ะ ใจคนมั่งมีศรีสุข ใจนายร้อยนายพัน นายพล ใจจอมพลก็มี จะเอาอย่างไรเล่า เลือกเอาซี่.."

อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร







ทุกคนโดยมากก็ต้องการความดี ต้องการความสุข แต่ว่าไม่รู้จักว่าอะไร #มันเป็นเหตุให้สุข #ให้ทุกข์เกิดขึ้นมาแค่นั้น

อะไรทุกอย่าง #ถ้าเรายังไม่เห็นโทษมัน #เราก็ละมันไม่ได้ มันจะชั่วขนาดไหนก็ละมันไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้เห็นโทษอย่างจริงจัง

แต่เมื่อเราเห็นโทษอย่างแน่นอนจริงๆ นั่นแหละ #สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราถึงจะปล่อยได้ วางได้

พอเห็นโทษอย่างแน่นอนจริงๆ #พร้อมกระทั่งเห็นประโยชน์ในการกระทําอย่างนั้น ในการประพฤติอย่างนั้น เปลี่ยนขึ้นมาทันทีเลย

#พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)







"..ศาสนาคือคำสั่งสอนของท่านผู้ฉลาด ท่านสอนคนเพื่อให้เกิดความฉลาดทุกแง่ทุกมุม ซึ่งพอจะพิจารณาตามท่านได้ แต่เราอย่าฟังเพื่อความโง่ อยู่ด้วยความโง่ กินดื่มทำพูดด้วยความโง่ คำว่าโง่ไม่ใช่ของดี คนโง่ก็ไม่ดี สัตว์โง่ก็ไม่ดี เด็กโง่ ผู้ใหญ่โง่ มิใช่ของดีทั้งนั้น เราโง่จะให้ใครเขาชมว่าดี จึงไม่ควรทำความสนิทติดจมอยู่กับความโง่โดยไม่ใช้ความพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง จึงไม่ควรแก่สมณะซึ่งเป็นเพศที่ใคร่ครวญไตร่ตรอง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) ที่มาประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







"คิดดู.. การให้อภัยผู้อื่น มันเป็นการช่วยใคร
ที่จริงเป็นการช่วยตัวเราเอง เราไม่ต้องเครียด
ไม่ต้องเศร้าหมอง ไม่ต้องอึดอัดอีกแล้ว
ถือว่าหมด มันหมดอยู่ที่ตัวเรา หมดอยู่ที่ในจิตใจ
ของเรา"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ







#ครั้งหนึ่งได้มีพระนวกะผู้บวชใหม่รูปหนึ่งเดินทางจากภาคเหนือ

มากราบพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร

พระอาจารย์ : แล้วมานี่มีจุดประสงค์อะไรล่ะ?
พระนวกะ : มากราบพ่อแม่ครูอาจารย์ครับ
พระอาจารย์ : กราบที่วัดก็เหมือนกัน เอาเวลาที่เดินทางมา ภาวนาดีกว่าไหม? นั่นสิ มันคือ แก่นแท้ของพระศาสนา

พระอาจารย์ถามต่อไปว่า : ก่อนบวชทำอะไร?
พระนวกะ : ทำงานธนาคารขอรับ
พระอาจารย์ : วันหนึ่งนั่งทำงานธนาคารกี่ชั่วโมง?
พระนวกะ : 8 ชั่วโมงต่อวันครับ
พระอาจารย์ : เออ! คนเรานี่แปลก ทำให้คนอื่น นั่งทำได้หลังขดหลังแข็ง ไม่บ่นสักคำ แต่เวลาทำให้ตนเอง นั่งภาวนา 10 นาที 20 นาที โอ้ยปวด โอ้ยเมื่อย มันน่าสงสารแท้คนเรานี่นะ อ้าวคิดกันเอานะ....

โอวาทธรรม
#หลวงปู่จันทร์เรียน_คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี






#ตัณหาทำให้เกิดทุกข์

ถ้าให้ตัณหานั้นมาเป็นนาย
บุคคลก็กลายเป็นทาสของตัณหา ท่านจึงสอนให้ อาศัยตัณหา
โดยฐานะที่เป็นนายของตัณหา
ถ้าไม่มีตัณหา ชีวิตก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ตัณหาเป็นสิ่งที่ไม่มีอิ่ม
ฝไม่มีพอ จำต้องควบคุมให้อิ่มให้พอเป็นคราวๆ ไป เมื่อประสพความสำเร็จดังที่ปรารถนา
โดยชอบแล้ว ก็ให้ละทิ้งความปรารถนานั้นเสีย
ความรู้จักอิ่มรู้จักพอ ซึ่งเป็นเครื่องสกัดตัณหา
คือ สันโดษ ความยินดี พอใจ ความอิ่ม ความพอ
ตัดความรัก และตัณหาในชีวิต
กับสิ่งทั้งหลายได้ทั้งหมด จึงดับความทุกข์ทั้งปวงในโลกได้แล
ตสฺสา นิโรโธ นิพฺพานํ ดับตัณหาเสียได้เป็นความดับทุกข์...

โอวาทธรรม
#สมเด็จพระญาณสังวร
( เจริญ สุวฑฺฒโน )

#ที่มา หนังสือ รวบรวมพระคติธรรม เล่ม ๒


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO