พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อาทิตย์ 28 มิ.ย. 2009 7:03 pm
วิปัสสนาญาณที่ ๑๓ -- โคตรภูญาณ
เมื่ออนุโลมญาณ ๓ ขณะ ( สำหรับผู้เป็นมัณทบุคคลคือผู้บรรลุอริย-
สัจจธรรมช้ากว่าติกขบุคคล) หรือ ๒ ขณะ (สำหรับผู้เป็นติกขบุคคล) ดับไปแล้ว
โคตรภูญาณคือมหากุศลญาณสัมปยุตตจิตก็เกิดต่อ โดยน้อมไปมีนิพพานเป็น
อารมณ์ เป็นอาเสวนปัจจัยให้โสตาปัตติมัคคจิตเกิดต่อมีนิพพานเป็นอารมณ์
โดยเป็นโลกุตตรกุศลจิตที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท
ธรรมดาของชวนวิถีในวาระเดียวกัน ๗ ขณะนั้นต้องมีอารมณ์เดียวกัน
แต่ในมัคควิถีนั้น ชวนวิถี ๗ ขณะมีอารมณ์ต่างกัน คือ บริกัมม์ ๑ ขณะ อุปจาระ ๑
ขณะ อนุโลม ๑ ขณะ มีไตรลักษณ์ลักษณะหนึ่งลักษณะใดใน ๓ ลักษณะเป็นอา-
รมณ์ แต่โคตรภูจิต ๑ ขณะ มัคคจิต ๑ ขณะ และ ผลจิต ๒ ขณะ มีนิพพานเป็น
อารมณ์ เมื่อโคตรภูจิตเป็นมหากุศลจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ขณะแรก จึงเป็น
ดุจอาวัชชนะของโสตาปัตติมัคคจิตซึ่งมีนิพพานเป็นอารมณ์ ต่อจากโคตรภูจิต
โสตาปัตติมัคคจิตจึงทำกิจดับกิเลสได้
ข้อความในอัฏฐาสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ พรรณนาโลกุตตรกุศล และ
วิสุทธิมัคค์ ญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส อุปมาอนุโลมญาณและโคตรภูญาณ ดุจ
บุรุษผู้แหงนดูดวงจันทร์ในเวลากลางคืน ขณะนั้นดวงจันทร์ไม่ปรากฏเพราะเมฆ
หมอกกำบังไว้ ทันใดนั้นมีลมกองหนึ่งพัดเมฆก้อนทึบนั้นให้กระจายไปแล้วลม
อีกกองหนึ่งก็พัดเมฆที่กระจายแล้วนั้นให้ออกไปอีก แล้วลมอีกกองหนึ่งก็พัดเมฆ
แม้ละเอียดที่ปิดบังดวงจันทร์นั้นให้ออกไป บุรุษนั้นจึงเห็นดวงจันทร์ที่ปราศจาก
เมฆปิดบัง นิพพานเปรียบดุจดวงจันทร์ อนุโลมญาณ ๓ ขณะเปรียบดุจลม ๓
กอง โคตรภูญาณเปรียบดุจบุรุษผู้เห็นดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆปิดบัง อนุโลม
ญาณ ๓ ขณะเหมือนลม ๓ กองซึ่งอาจกำจัดเมฆที่ปิดบังดวงจันทร์ได้ แต่ไม่
อาจเห็นดวงจันทร์ฉันใด อนุโลมญาณก็บรรเทาความมืดอันปกปิดสัจจะได้ แต่
ไม่อาจเห็นนิพพานได้ ฉันนั้น และบุรุษนั้นอาจเห็นดวงจันทร์ได้อย่างเดียวแต่
ไม่สามารถกำจัดเมฆได้ ฉันใด โคตรภูญาณก็ฉันนั้น คือ อาจเห็นนิพพานได้ แต่
ไม่อาจทำลายความมืด คือ กิเลสได้
วิปัสสนาญาณที่ ๑๔ -- มัคคญาณ
เมื่อโคตรภูจิตดับไปแล้ว โสตาปัตติมัคคจิตที่เกิดต่อ ก็ข้ามพ้น
สภาพความเป็นปุถุชนสู่ความเป็นพระอริยบุคคล โสตาปัตติมัคคจิตเกิดขึ้นดับ
กิเลสเป็นสมุจเฉท ตามขั้นของโลกุตตรปัญญา
วิปัสสนาญาณที่ ๑๕ -- ผลญาณ
เมื่อโสตาปัตติมัคคจิตซึ่งเป็นโลกกุตตรกุศลจิตดับไปแล้ว ก็เป็น
ปัจจัยให้โสตาปัตติผลจิตซึ่งเป็นโลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อโดยไม่มีจิตอื่นเกิด
คั่นเลย โลกุตตรกุศลจิตเป็นอกาลิโก เป็นกัมมปัจจัยที่ทำให้โลกุตตร-
วิบากจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีจิตอื่นเกิดคั่นเลย โลกุตตรวิบากจิตจึง
เป็นวิบากจิตที่ต่างกับวิบากอื่นๆ คือ ทำชวนกิจ สืบต่อจากโลกุตตรกุศล
จิต ๒ หรือ ๓ ขณะ ในมัคควิถี และโลกุตตรวิบากคือผลจิตซึ่งเกิดภายหลัง
มัคควิถีนั้นก็ทำชวนกิจ ไม่ทำกิจของวิบากจิตอื่นๆ เลย
วิปัสสนาญาณที่ ๑๖ -- ปัจจเวกขณญาณ
เมื่อมัคควิถีจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดสืบต่อ และหลังจากนั้นมโน
ทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้น พิจารณาสภาพธรรมที่เพิ่งประจักษ์แจ้ง ที่ละวาระ คือ
พิจารณามัคคจิต วาระ ๑ พิจารณาผลจิต วาระ ๑ พิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว
วาระ ๑ พิจารณากิเลสที่ยังเหลือ วาระ ๑ พิจารณานิพพาน วาระ ๑
สำหรับผู้ที่บรรลุอรหัตตมัคค์และอรหัตตผลนั้น ไม่มีการพิจารณา
กิเลสที่ยังเหลือ เพราะอรหัตตมัคคจิตดับกิเลสทุกประเภทหมดเป็นสมุจเฉท ไม่
มีกิเลสใดๆ เหลือเลย
จันทร์ 29 มิ.ย. 2009 4:29 pm
ขอบคุณครับ
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.