แต่ก่อนก็สงสัยว่าทำไมเขาจึงแปลความหมายของปัญญาว่าคือความรู้รอบในกองสังขาร รู้เฉย ๆ ไม่ได้หรือ ทำไมต้องรู้รอบ และทำไมต้องเป็นกองสังขาร ไม่ใช้คำว่าก้อนสังขาร หรือสังขารเฉย ๆ
พอเอาคำสอนของหลวงปู่มาพิจารณาในชีวิตจริงมากเข้า ๆ ก็ทำให้พอจะเข้าใจคำว่าปัญญาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคำสอนของหลวงปู่ที่ว่า
"พวกแกมันดูแต่ตัวเกิด ไม่ดูตัวดับ มองไม่เห็นความไม่สวยไม่งามในสิ่งที่ว่าสวยว่างามนั้น"ธรรมโอวาทข้อนี้นับว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันอย่างยิ่ง เช่นเวลาเราได้วัตถุสิ่งของอะไรมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ถูกใจมาก ๆ หากเราไม่ทำใจในความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงของมัน เวลามันกระเทาะ เวลามันเริ่มไม่งาม หรือถ้าเป็นรถยนต์คันงาม เวลามีรอยขีดข่วนอะไรหน่อย ฯลฯ เจ้าของผู้มิเคยทำใจให้เห็นความดับ หรือความเสื่อมของมันอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นทุกข์ใจได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน
ผู้ฝึกฝนทางด้านปัญญา พอได้อะไรมาปุ๊บ เขาก็จะมองทะลุหรือเลยไปถึงภาวะที่มันเสื่อมทันที เรียกว่ามองเห็นว่าเป็นแก้วแตกตั้งแต่ขณะที่รับแก้วใบใหม่นั้นมา
หากได้ฝึกมองตัวดับอย่างที่หลวงปู่สอนเรื่อย ๆ เราก็จะเป็นผู้รู้รองในกองสังขารมากขึ้น ๆ เห็นตลอดสายของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสังขารคือวัตถุสิ่งของ รวมทั้งคนสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผลก็คือกลายเป็นคนมีภูมิคุ้มกันความทุกข์ได้มากขึ้นนั่นเอง
----------------------------------------------------
บทความจากพี่พรสิทธิ์