พระเจ้าพิมพิสาร ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งแคว้นมคธ เป็นพระ
โสดาบันยังเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ ชีวกโกมารภัทรเป็นหมอเป็นพระโสดาบัน
ยังรักษาพระภิกษุได้คนอื่นๆ ด้วย วิสาขามีคารมาดา(และ)ท่านอนาถบิณ-
ฑิกเศรษฐีก็เป็นพ่อค้านักธุรกิจก็เป็นพระโสดาบันแล้ว
ให้ทราบว่าแต่ละชีวิตเกิดในขณะที่ปฏิสนธิประมวลมาซึ่ง
กรรมและสิ่งซึ่งมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไปในชาตินั้นตามที่ได้ประมวลมา
สำหรับปฏิสนจิตในขณะนั้น เมื่อเกิดเป็นคน ก็เป็นผลของกุศลกรรม
ประกอบด้วยปัญญาและไม่ประกอบด้วยปัญญา อันนี้ก็ต่างกันนัยหนึ่งนะ
ก็จะเห็นได้ถึงแต่ล่ะบุคคลมีความสนใจมีความเข้าใจธรรม มีการศึกษาประ-
พฤติปฏิบัติละเอียดขึ้นหรือเปล่า ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นไปตามการสะสม เรา
จะทำให้คนที่เขาไม่ได้สะสมปัญญา ให้เขามีความเข้าใจธรรม จนกระทั่งมี
ความสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ไหม ? ...ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเขา
มีฉันทะมีความพอใจที่จะเป็นนักดนตรี ที่จะเป็นนักกฎหมาย ที่จะเป็นวิศวกร
จะไปเปลี่ยนความที่เขาสะสมมาที่จะมีฉันทะในทางนั้นๆ ได้ไหม ? ...ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าการสะสมมาทั้งหมดในแสนโกฏิกัปนี้น่ะ ก็
ประมวลมาที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เป็นไปพร้อมด้วยสิ่งที่ได้สะสมมา
ต่างๆ กันไป ไม่ต้องคิดว่าเป็นพระโสดาบันแล้วจะไม่ช่วยใครหรือว่าเป็นพระ
สกทาคามีแล้ว จะไม่ทำประโยชน์ ...ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนที่ไม่รู้ความ
จริงอกุศลมาก อกุศลเป็นประโยชน์แก่ใครแม้กับตัวเองหรือคนอื่นก็ไม่ใช่ ใช่
ไหมแต่เวลาที่กุศลเกิดขึ้นไม่ใช่กับตัวเองเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่หวั่นไหวเลยนะคะในเรื่องของการที่ว่าเมื่อรู้สภาพธรรม
แล้ว จะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น หรือที่ใช้ คำว่า สังคมแต่จะเป็นผู้ที่หนัก
แน่นมั่นคงในธรรมที่เป็นกุศล มีชีวิตที่ไม่เป็นไปในทางที่ทุจริตแต่กว่าจะถึง
อย่างนั้นนะ ภาวนาธิษฺฐานชีวิตเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วย การอบรมที่มั่นคง
เพื่อที่จะได้รู้ความจริงด้วยการดำเนินชีวิตที่เป็นสัมมาอาชีวะๆ นี้ กาย วาจา
สุจริตด้วยนะคะรวมทั้งการอาชีพ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็วันหนึ่งก็สามารถที่จะอบรม
เจริญปัญญายิ่งๆ ขึ้น แล้วก็ล่ะอกุศลได้ตามกำลังของปัญญา
เมื่อมัคควิถีจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อหลายขณะแล้ว ปัจจ-
เวกขณะวิถีก็เกิดขึ้นพิจารณามัคคจิตวาระ ๑ ผลจิตวาระ ๑ พระนิพพานวาระ ๑
กิเลสที่ดับแล้ววาระ ๑ กิเลสที่ยังเหลือวาระ ๑ รวมเป็นปัจจเวกขณะวิถี ๕ วาระ
เมื่อมัคควิถีดับไปแล้ว ปัจจเวกขณะวิถีต้องเกิดต่อทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้
พระอริยบุคคลจึงไม่เข้าใจผิดในคุณธรรมที่ตนบรรลุคือพระโสดาบันบุคคล ไม่
เข้าใจผิดว่าท่านเป็นพระสกทาคามีบุคคล พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระ
อรหันต์ก็โดยนัยเดียวกัน
การบรรลุอริยสัจจธรรมขั้นต่อไป คือสกทาคามิมัคควิถี อนาคามิมัค-
ควิถีและอรหัตตมัคควิถีนั้น มหากุศลที่เป็นโคตรภู ก็เปลี่ยนเป็นโวทาน
(ผ่องแผ้วขึ้น) เพราะท่านข้ามพ้นความเป็นปุถุชนแล้ว
ถ้าเป็นโลกุตตรฌานจิตขั้นใด ก็เกิดร่วมกับองค์ฌานขั้นนั้น คือถ้า
เป็นโลกุตตรทุติยฌาน ก็ไม่มีวิตกเจตสิกซึ่งเป็นสัมมาสังกัปปะเกิดร่วมด้วย ถ้า
เป็นโลกุตตรตติยฌาน ก็ไม่มีวิจารเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าเป็นโลกุตตรจตุตถ-
ฌาน ก็ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าเป็นโลกุตตรปัญจมฌาน ก็มีอุเบกขาเวท-
นาเกิดร่วมด้วยแทนโสมนัสสเวทนา
มัคควิถีจิตของผู้บรรลุอริยสัจจธรรมได้รวดเร็วนั้น เป็น ติกข-
บุคคล ไม่จำเป็นต้องมีบริกัมม์ ฉะนั้น มัคคชวนวิถีจึงมีแต่...
อุปจาร ๑ ขณะ
อนุโลม ๑ ขณะ
โคตรภู ๑ ขณะ
มัคคจิต ๑ ขณะ
และ ผลจิตเพิ่มจาก ๒ ขณะ เป็น ๓ ขณะ
รวมเป็นชวนวิถีจิต ๗ ขณะ
เมื่อปัญญาอบรมสมบูรณ์ พร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประกอบด้วย
องค์ของการตรัสรู้ คือ โพชฌงค์ ๗ สมบูรณ์ด้วย โพธิปักขิยธรรม ๓๗ (สติ-
ปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์
๗ มัคค์มีองค์ ๘) แล้ว โลกุตตรจิต ประกอบด้วยมัคค์มีองค์ ๘ ครบทั้ง ๘
องค์ คือ สัมมาทิฏฐิเจตสิก สัมมาสังกัปปเจตสิก สัมมาวาจาเจตสิก สัมมา-
กัมมันตเจตสิก สัมมาอาชีวเจตสิก สัมมาวายามเจตสิก สัมมาสติเจตสิก สัม-
มาสมาธิเจตสิก ก็เกิดขึ้นประจักษ์แจ้งสภาพของพระนิพพาน เป็น มัคควิถี ทาง
มโนทวารดังนี้ คือ ...
ภวังค์ เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต
ภวังคจลนะ เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต
(ประเภทเดียวกับภวังค์)
ภวังคุปัจเฉทะ เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต
(ประเภทเดียวกับภวังค์)
มโนทวาราวัชชนะ เป็นกิริยาจิต
บริกัมม์ ๑ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
อุปจาร ๒ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
(ประเภทเดียวกับบริกัมม์)
อนุโลม ๓ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
(ประเภทเดียวกับบริกัมม์)
โคตรภู ๔ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต
(ประเภทเดียวกับบริกัมม์)
โสตาปัตติมัคคจิต ๕ เป็นโลกุตตรกุศลจิต
โสตาปัตติผลจิต ๖ เป็นโลกุตตรวิบากจิต
โสตาปัตติผลจิต ๗ เป็นโลกุตตรวิบากจิต
ภวังคจิต เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต
-------------------------------------------------------------------------------- ๑ - ๗ เป็นชวนวิถีจิต
|