อังคาร 07 ก.ค. 2009 11:02 am
เพราะฉะนั้น จะต้องไม่ลืมที่ได้ยินได้ฟัง แล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็น
อนัตตาเห็นไหม ไม่มีความมั่นคงที่จะรู้ว่าแม้แต่คิด ขณะไหนก็ตามก็เป็น
ธรรม ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด ห้ามไม่ให้คิดอย่างที่กำลังคิดได้
ไหม?ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีปัจจัยสะสมมาที่จะทำให้คิดอย่างนั้นเกิดขึ้นกับ
แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมลืมไม่ได้ว่าเป็นธรรม
ซึ่งเป็นอนัตตา ลืมเมื่อไหร่ก็คือคุ้นเคยกับการที่เคยยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็น
เราแม้คิดก็เข้าใจว่าเป็นเรา แม้ความจงใจและความตั้งใจเจตนาต่าง ๆ ก็เข้า
ใจว่าเป็นเราแม้โทสะหรือโลภะก็เข้าใจว่าเป็นเรา นี่ก็คือการฟังที่เคยได้ยินได้
ฟังยังไม่พอที่จะเป็นปัจจัยที่จะให้ประพฤติปฏิบัติตามได้ ถึงแม้คนที่กำลังฟัง
ในขณะนี้ก็รู้ว่ายังเป็นคนที่มีกิเลสทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่มีคำพูดที่เกิดจาก
อกุศลแสดงให้เห็นถึงว่ายังมีอกุศลนั้น ๆ ที่ยังไม่ได้ดับไปนี่คือ การเห็นถูกว่า
เป็นธรรมไม่ใช่เราแต่พอมีคำพูดหรือมีวาจาที่เป็นไปด้วยอกุศลแล้วก็มีตัวตน
ที่จะทำอย่างอื่นก็หมายความว่าการฟังยังไม่พอที่จะละคลายการยึดถือสภาพ
ธรรมว่าเป็นตัวตนด้วยเหตุนี้ ต้องมีความมั่นคงแล้วก็ไตร่ตรองธรรมคือ สิ่งที่
กำลังมีจริง ๆปรากฎในขณะนี้ ที่กล่าวว่าจริงปฏิเสธไม่ได้เลยมีความมั่นคงว่า
นี้เป็นธรรมแน่ ๆหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมเห็นเป็น
ธรรม แล้วคิดนึกล่ะเป็นเราหรือเป็นธรรมนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทำไมบางครั้งคิด
เป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศลบังคับบัญชาได้ไหม ไม่ได้ทุกคนอยากจะให้หมด
อกุศลแม้คิดก็อยากจะให้เป็นกุศลพยายามที่จะบังคับให้เห็นกุศล แต่ถ้าตราบ
ใด ที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะหมดอกุศลที่ยึดถือ
สภาพว่าเป็นเราไม่ได้อกุศลทั้งหลาย จะหมดไปไม่ได้เลย
อะไรเป็นทุกข์เราหรือธรรม ?ธรรม เพราะฉะนั้นก็ตรงกับที่ทรง
แสดงว่าธรรมทั้งหลายเกิดแล้วดับแต่ยังไม่รู้จักว่า “นี้เป็นธรรม” แล้วจะไป “นี้
ทุกข์”ได้ไหมในเมื่อธรรมเกิดธรรมดับถ้าเป็นเราไม่เกิดดับแน่เพราะเป็นเรา
ความเข้าใจถูก จะทำให้ประพฤติปฏิบัติตามธรรม โดยไม่ใช่เรา
ประพฤติ
ไม่ใช่เราด้วยคะเข้าใจค่ะถึงอย่างไรก็ตามแต่ทั้งหมดก็ยังมีความมั่น
คง เราจะขยัน เราจะมีสติ เราจะเพียร ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นนะคะไม่ใช่เราแต่เริ่ม
เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ว่าเป็นธรรมและสภาพของโสภณเจตสิกทั้งหลาย ก็จะ
เจริญขึ้นจะไม่เห็นผิดโสภณเจตสิกหรือโสภณธรรม ต้องเกิดพร้อมกันขณะนี้
ปัญญาเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ไม่ต้องห่วงสติเพราะแม้กำลังเข้าใจก็
มีโสภณเจตสิกอื่น ๆเกิดร่วมด้วยทั้งสติทั้งศรัทธา
เพราะฉะนั้น การเข้าใจจะเป็นปัญญาส่องให้เห็นลักษณะของสภาพ
ธรรมที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้วความมืดคืออวิชชาจะเอาออกได้อย่างไร
มากมายหนาแน่นฟังนิดหนึ่งก็ลืมว่าเป็นธรรมฟังอีกหลายๆครั้งฟังเข้าใจขณะ
ที่กำลังฟังไม่มากต้องใช้คำว่า ไม่มากเพราะอะไรคะ แล้วก็ลืมว่าเป็นธรรมแต่
ถ้ามากแม้ขณะนี้สติสัมปชัญญะก็เกิดได้ ที่จะกล่าวว่าเป็นสติปัฏฐานหรือสติ
สัมปชัญญะก็คือว่า ไม่มีใครทำแต่ว่ามีความเข้าใจ ที่จะรู้ว่าแม้ขณะนั้นก็เกิด
แล้วระลึกแล้วเลือกสิ่งที่สติกำลังระลึกรู้ก็ไม่ได้ และความที่จะค่อย ๆ เข้าใจ
ของสภาพธรรมก็จะเห็นได้ว่า ถ้ามีตัวตนเข้าไปแทรกเมื่อไรก็คือกั้น จะไม่
สามารถเห็นว่าเป็นธรรม ความสงสัยเป็นธรรม ความจงใจเป็นธรรม ความ
ต้องการเป็นธรรม ทุกอย่างทั้งกุศลธรรมและอกุศลธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นฟังเพื่อที่จะละความเป็นตัวตน โดยการที่รู้ว่าขณะใดที่
หลงลืมสติไม่ใช่ขณะที่สติเกิดจะไปพยายามที่จะให้เกิดผิด
มีพระพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันวิจิต
ตระกรดุจจะราชรถที่พวกคนเขลาหมกมุ่นอยู่แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่
โลกนี้อีกคำหนึ่งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายถึง คือ ตา, หู,
จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ โลกทางตา,ทางหู,ทางจมูก,ทางลิ้น,ทางกาย,ทางใจ โลก
ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้วท่านจึงบอกให้ดูไม่ได้บอกให้ไปดูที่ป่า,ที่เขาที่ไหนนะตาม
ถ้ำที่ไหนทุกคนมีอยู่นี้ดูหรือยังต้องเสพจนคุ้น ต้องทำให้เจริญไม่ใช่ครั้งสอง
ครั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะเป็นความเข้าใจจริง ๆ ของเราจนเป็นความรู้ของ
เราเองจนเข้าถึงของจริงที่มีอยู่และขณะกำลังปรากฎในขณะนี้