มีเด็กวัยเรียนคนหนึ่ง ปรารถนาจะมีพระเครื่องพระบูชากะเขาบ้าง จึงได้ไปเช่าเหรียญหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่เป็นเหรียญทำเลียนแบบ จำหน่ายอยู่ตามตลาดพระ เป็นต้นว่า เหรียญท่านเจ้าคุณนรฯ เหรียญหลวงปู่ฝั้น เหรียญหลวงปู่ขาว เหรียญหลวงปู่แหวน เป็นต้น ในราคาเหรียญละ ๑- ๒ บาท นำมาขอความเมตตาจากหลวงปู่อธิษฐานจิต หลวงปู่มองดูแล้วก็อมยิ้ม แล้วท่านก็เมตตาอธิษฐานจิตให้ตามประสงค์
ห่างหายไปประมาณปีหนึ่ง เด็กคนนี้พอมีปัจจัยขึ้นหน่อย ก็ไปเช่าพระแก้วมรกต ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว ทำจากเรซิ่น (พลาสติก) ราคา ๑๐๐ บาท มาขอหลวงปู่อีก หลวงปู่คงจำหน้าเจ้าหมอนี้ได้ ท่านก็เมตตารับพระมาอุ้มไว้ที่หน้าตัก แล้วท่านก็ใช้มือลูบไปที่องค์พระซ้ำ ๆ หลายครั้ง จากนั้นท่านก็จับองค์พระนิ่งสงบไปพักหนึ่ง
สุดท้ายท่านส่งพระคืนมาให้ แล้วให้เด็กคนนั้นเอามือสองข้างจับที่ฐานองค์พระ ส่วนท่านจับที่บริเวณไหล่ทั้งสองขององค์พระ แล้วท่านก็ประสิทธิพระ (ว่าบทเตสังฯ) ในขณะที่เด็กคนนั้นยังจับที่ฐานองค์พระ ท่านพูดว่า
"เอ้า ปีติขึ้นมาที่หลังแล้ว... ขึ้นมาถึงศีรษะแล้ว ใช้ได้ ๆ" นี้เป็นกุศโลบายของหลวงปู่ที่จะให้ผู้เป็นเจ้าของ รับรองของที่ตนจะนำไปบูชาด้วยตนเอง จะได้มีศรัทธาเชื่อมั่นคุณพระที่อยู่ในองค์พระนั้น
สิ่งหนึ่งที่เด็กคนนั้นได้เรียนรู้ก็คือ
คุณค่าแห่งพระเครื่องพระบูชานั้น มันไม่สำคัญเลยว่าสังคมภายนอกเขาจะให้ค่านิยมมากน้อยเพียงใด หรือจะตั้งราคาแพงสักปานใด หากแต่สำคัญที่ความบริสุทธิ์ในการได้มา ความเมตตาของครูบาอาจารย์ผู้อธิษฐานจิต และดวงจิตที่เชื่อมั่นศรัทธาต่อองค์พระนั้นต่างหาก---------------------------------------------------
บทความจากพี่พรสิทธิ์