พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อาทิตย์ 02 ส.ค. 2009 7:41 pm
ในพระไตรปิฎกและอรรถกถามีแสดงว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง
ดังข้อความจากอรรถกถาทีฆนิกายและมัชฌิมนิกายดังนี้
.......คำว่า มีสติ คือประกอบด้วยสติกำกับกาย. ก็ภิกษุรูปนี้กำหนดอารมณ์
ด้วยสติพิจารณาเห็นด้วยปัญญา ธรรมดาว่าปัญญาพิจารณาเห็นของผู้เว้น
จากสติ ย่อมมีไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส (สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติแลจำปรารถนาในที่ทั้งปวง
...เพราะฉะนั้น สตินั้น จึงจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนการปรุงรสด้วยเกลือ
จำปรารถนาในการปรุงอาหารทุกอย่าง และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในราชกิจทุก
อย่าง จำปรารถนาในราชกิจทุกอย่างฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะเหตุไร เพราะจิตมีสติ เป็นที่อาศัยและ
สติมีการอารักขา เป็นที่ปรากฏ เว้นสติเสียแล้วจะประคอง และข่มจิตไม่ได้เลย.....
-------------------------------------
สำหรับความเข้าใจส่วนตัวคิดว่า ผู้ที่มีปัญญาอันอบรมดีแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด
อารมณ์ไหนก็ตาม ปัญญาย่อมเกิดขึ้นกระทำกิจได้ทุกเมื่อ ไม่เว้นกาลเวลาเลย
ในธชัคคสูตร สังยุตตนิกาย แสดงคุณของการระลึกถึงของพระรัตนตรัย ว่า
ทำให้หายกลัวได้ว่า เพราะคุณของพระรัตนตรัย และอีกส่วนหนึ่งก็คือกุศลจิต
ของผู้ที่ระลึกถึงพระคุณพระรันตตรัย ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
....ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งอะไร เพราะว่า
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากราคะปราศจากโทสะ
ปราศจากโมหะ ไม่เป็นผู้กลัว ไม่หวาด ไม่สะดุ้ง ไม่หนีไป....
สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคทางกาย ไม่มีแสดงว่าว่าเมื่อระลึกถึงพระคุณของ
พระรัตนตรัยแล้วจะหายโรคทางกาย
แท้ที่จริง เราเป็นเพียงจุดเล็กๆในจักรวาลเท่านั้น
กายที่ว่าใหญ่โตนักหนา
เมื่อแตกทำลายไปก็ไม่ต่างอะไรกับ....ผงธุลี
ไม่เหลืออะไรไว้ให้ยึดถือได้อีก
การสั่งสม...."โลกิยกุศลจิต" "อกุศลจิต" และ "มหากิริยาจิต"
ด้วยสามารถแห่ง "ชวนวิถีจิต" นั้น
มีการสั่งสมไป "ทุกขณะ".............
จนกระทั่ง ทำให้เกิด เป็น "อุปนิสัย" ต่าง ๆ
เป็นการกระทำกิริยาอาการ ทางกาย ทางวาจา ต่าง ๆ
.
บางท่าน ที่เห็นพระอรหันต์...........
ก็ยังดูหมิ่น โดยการสันนิษฐาน ตามอาการ ที่ปรากฏภายนอก.
เช่น
วัสสการพราหมณ์ ซึ่ง เป็น มหาอำมาตย์ ของแคว้นมคธ
เมื่อเห็น ท่านพระมหากัจจานะ ลงจากภูเขา.....ก็กล่าวว่า
"ท่านผู้นี้ มีอาการเหมือนลิง"
.
"การสั่งสมของชวนวิถีจิต" ของ วัสสการพราหมณ์
ทำให้ "สำคัญตน"
แม้ว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสให้วัสสการพราหมณ์
ขอให้ท่านพระมหากัจจานะ อดโทษให้..............
แต่ "มานะ" หรือ "ความสำคัญตน"
ที่ได้ "สั่งสมมาแล้ว" นั้นเอง...........
ที่ทำให้ วัสสการพราหมณ์
ไม่สามารถที่จะกระทำ (ขอโทษ) เช่นนั้น ได้.!
แม้พระผู้มีพระภาค จะทรงพยากรณ์ว่า
เมื่อ วัสสการพราหมณ์ สิ้นชีวิตลง...จะต้องไปเกิดเป็นลิงในป่าไผ่.
วัสสการพราหมณ์ ก็ให้คนไปปลูกกล้วย และอาหารของลิงไว้......
และ พร้อมที่จะไปเกิด เป็นลิง....ในป่าไผ่ นั้น.
.
ฉะนั้น
จึง"ควรเห็นโทษ" ของการ "สะสมอกุศลธรรม"
เพราะถึงแม้ว่า จะเป็นพระอรหันต์แล้ว.!
"การสะสมของจิต" แต่ละขณะ...โดยความสามารถของชวนวิถี
ซึ่ง เกิด-ดับ-สืบต่อ ซ้ำกัน ถึง ๗ ครั้ง (ขณะจิต)
เป็น "เหตุ" ที่ทำให้ "แต่ละบุคคล" มีกาย วาจา ต่าง ๆ กัน....
ซึ่ง เป็น "วาสนา"
.
คำ ว่า "วาสนา"
หมายถึง การประพฤติทางกาย ทางวาจา...ที่ "สั่งสมมาจนชิน"
คำ ว่า "วาสนา" ที่ใช้กันในภาษาไทย
หมายถึง ความเป็นใหญ่ เป็นโต ต่าง ๆ
แต่ คำ ว่า "วาสนา" ในพระพุทธศาสนา
หมายถึง
"การสั่งสม" จนกระทั่งเป็น "ความประพฤติที่เคยชิน"
ซึ่ง เป็นอาการ ที่ปรากฏ...ทางกาย ทางวาจา ต่าง ๆ
.
ผู้ที่ละ "วาสนา" ในส่วนที่ไม่ดี ได้นั้น
มีบุคคลเดียว....
คือ "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
"พระอรหันต์ทั้งหลาย".....ดับกิเลส ได้ จนหมดสิ้น
ไม่มีเชื้อของกิเลสใด ๆ เหลืออยู่อีกเลย
แต่กระนั้น......ก็ยังละ "วาสนา" ไม่ได้.!
เพราะมี "การสั่งสม" มา....เนิ่นนาน ในสังสารวัฏฏ์
ด้วยสามารถ แห่ง "ชวนวิถีจิต"
อาทิตย์ 02 ส.ค. 2009 11:17 pm
ชอบครับกระทู้นี้ ขอบพระคุณครับ
จันทร์ 03 ส.ค. 2009 8:37 am
ขอบพระคุณค่ะ
จันทร์ 03 ส.ค. 2009 11:05 pm
ขอบคุณครับ
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.