สืบเนื่องจากในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ที่รายการตีสิบนำเรื่องราวของฆราวาสท่านหนึ่งใช้มีดหมอของหลวงพ่อเดิมมาสงเคราะห์ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยจากการถูกของหรือถูกวิญญาณมาเบียดเบียน จึงทำให้ย้อนระลึกถึงหลวงปู่ดู่ ว่าท่านมีแนวทางสงเคราะห์ที่ต่างกันออกไป
เหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดขึ้นขณะที่ท่านนั่งสนทนาอยู่กับกลุ่มนักศึกษาชุมนุมพุทธศาสตร์ฯ มธ. อยู่พอดี มีญาติผู้ป่วย ประคองผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเข้ามากราบหลวงปู่ คงหวังจะให้ได้บุญใหญ่ก่อนจะละสังขาร เพราะทราบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มีอาการตัวบวม หน้าบวมมากแล้ว
หลวงปู่บอกให้นักศึกษาคนหนึ่งรินน้ำชาให้ผู้ป่วยดื่ม ญาติเขาก็บอกว่าผู้ป่วยได้รับคีโมจนตอนนี้ดื่มน้ำอะไรก็ไม่ได้ แต่หลวงปู่ยังคงยืนยันว่า "ดื่มได้ ค่อย ๆ จิบเอา" ปรากฏว่าผู้ป่วยดื่มได้จริง ๆ แต่พอดื่มได้จิบเดียวก็มีอาการเรอเสียงดังออกมา
หลวงปู่บอกว่าเขาออกมาแล้ว (หมายความว่าในท่ามกลางความเจ็บป่วยนี้ ก็ยังมีส่วนของเจ้ากรรมนายเวรผสมโรงอยู่ด้วย และเวลาของหรือวิญญาณออก ก็มักจะออกทางทวารปากด้วยอาการเรอเช่นนี้)
หลวงปู่บอกกับนักศึกษาท่านนั้นว่า "เอ้า ขอบารมีหลวงปู่ทวดสงเคราะห์เขาหน่อย" นักศึกษาคนนั้นก็ทำอย่างที่หลวงปู่สั่ง เขาเล่าว่าพอนิมิตหลวงปู่ทวดชี้ไม้เท้าไปที่ใด ก็เหมือนเอาไฟฉายส่องไปตรงบริเวณนั้น ครั้งแรกที่ไม้เท้าหลวงปู่ทวดจี้ไป กลุ่มสีดำ ๆ ก็แตกตัวออกเป็นกลุ่มก้อนขนาดเล็ก ๆ จำนวนมาก หนีไปที่ส่วนล่างของร่างกายผู้ป่วย กลุ่มสีดำบางส่วนสว่างหายไป แต่ก็ยังคงมีกลุ่มหรือจุดสีดำหลงเหลืออยู่อีก
นักศึกษาคนนั้น ถามหลวงปู่ว่า "ยังไม่หมดเลยครับ ยังมีจุดดำ ๆ หลงเหลืออยู่อีก" หลวงปู่ดู่จึงว่า
"ได้เท่านี้แหละ ที่เหลือเขาไม่เอาบุญ" ซึ่งท่านก็ไม่ฝืน
นี้เองเป็นจุดแตกต่าง เพราะเราจะไม่เคยเห็นหลวงปู่ขับไล่วิญญาณด้วยการทำให้เขากลัวหรือเจ็บปวดจนทนอยู่ไม่ได้ มีแต่ให้ใจเขาอ่อนโยนและยอมรับบุญและอโหสิกรรมด้วยดี ส่วนที่ยังเหลือ หากมีโอกาสก็จะใช้วิธีแผ่เมตตาซ้ำ ๆ เข้าไปอีก ในวาระต่าง ๆ กัน สุดท้ายท่านก็มีอุเบกขาของท่าน ว่าทุกอย่างก็แล้วแต่กรรม
เมื่อคิดทบทวนถึงแนวทางการเอาวิญญาณออกจากร่างผู้ป่วยแล้ว ก็อดปีติไม่ได้ว่า ครูบาอาจารย์เช่นหลวงปู่ ท่านเมตตาเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณทั้งหลาย ท่านก็ไม่ประสงค์ให้เขาเจ็บปวดทรมานใด ๆ นี้แหละจึงเรียกว่าชัยมงคล คือการชนะแบบพระพุทธเจ้า คือเป็นชัยชนะที่ไม่ก่อเวรนั่นเอง
----------------------------------------------
บทความจากพี่พรสิทธิ์