พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เสาร์ 22 ส.ค. 2009 9:48 am
อนึ่ง
จิต แม้ทุกดวง ชื่อว่า "จิต"
เพราะเป็นธรรมชาติ วิจิตรตามสมควร
ด้วยอำนาจ แห่ง สัมปยุตตธรรม.
"วิจิตร"
คือ ต่าง ๆ กันไป ตามสัมปยุตตธรรม
ซึ่งหมายถึง เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย.
เป็นไป ตามการสั่งสม ของแต่ละบุคคล.
.
ฉะนั้น
ที่จะให้ทุกคน มีความคิดอย่างเดียวกัน
นับถือลัทธิ หรือ ศาสนาเดียวกัน นั้น.
จึงเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ เลย.!
.
เพราะแม้แต่ รูปร่างกาย ก็ไม่เหมือนกัน
ความคิดนึก ก็ย่อมไม่เหมือนกัน
ความเห็น ความเชื่อต่าง ๆ
ก็ย่อมไม่เหมือนกัน.
.
แม้ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคฯ
ยังไม่ทรงปรินิพพาน.
พระผู้มีพระภาคฯ เอง
ก็ไม่ทรงสามารถโปรด ให้บุคคลทั้งหลาย
มีความเห็นถูก ได้ทุกคน.!
.
ผู้ที่สั่งสมเหตุปัจจัยมาแล้ว
ย่อมมีโอกาสที่วิบากจิต และ กุศลจิตจะเกิดขึ้น
ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้พิจารณาพระธรรม
ซึ่ง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น.
เมื่อได้ยิน ได้ฟังแล้ว.........
ก็ควรพิจารณา ใคร่ครวญ
สอบสวน ให้รอบคอบ ละเอียดยิ่งขึ้น.
และ
อบรมเจริญปัญญา.
จนกระทั่งสามารถ รู้ ลักษณะของสภาพธรรม
ตรง ตามที่พระผู้มีพระภาคฯ ได้ทรงแสดงไว้.
.
ความเห็นผิด นั้น
ไม่ได้มีแต่ในลัทธิอื่น.
แม้แต่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา
ก็ประพฤติปฏิบัติ ต่าง ๆ กันไป
ตามความคิด ความเข้าใจ
ซึ่งสั่งสมมาต่าง ๆ กัน.
.
ในสมัย หลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๒.
ภิกษุชาววัชชี
ผู้เป็นต้นเหตุให้เกิดการสังคายนาครังที่ ๒ นั้น
ก็ได้ตั้งนิกายต่าง ๆ ตามความคิดเห็นของตน.
เช่น
นิกายหนึ่ง มีความเห็นว่า
ผู้ใดก็ตาม ที่จะบรรลุมัคค์ผล รู้แจ้งพระนิพพานได้
ต้องเปล่งวาจา ว่า ทุกข์หนอ ๆ
(จาก นิทานกถา กถาวัตถุปกรณัฏฐกถา)
.
การเข้าใจหนทาง
และข้อประพฤติปฏิบัติ ที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนนั้น
มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ.
.
ฉะนั้น
สมัยนี้ ทุกท่านจึงควรศึกษาและพิจารณา พระธรรมวินัย
โดยละเอียด.
เพราะว่า
ผู้ที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ในสมัยนี้
ไม่ใช่ อุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือ วิปัญจิตัญญูบุคคล.
ผู้ที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ในสมัยนี้
ย่อมเป็น เนยยบุคคล.
และ ผู้ที่ไม่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
แม้ว่าจะได้ฟังธรรมมาก อ่านธรรมมาก
สนทนาธรรมมาก กล่าวธรรมมาก
ก็เป็น ปทปรมบุคคล.
.
ฉะนั้น
พระธรรมวินัย ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงมหากรุณาแสดง
โดย ตลอด ๔๕ พรรษา นั้น.
ก็เพื่ออนุเคราะห์
ผู้เป็นเนยยบุคคล และ ปทปรมบุคคล.
.
ทุกท่าน จึงควรศึกษา ให้เข้าใจจริง ๆ ว่า
การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั้น...คือ รู้ อะไร.!
และ หนทางที่จะรู้แจ้งการเกิดขึ้นและดับไป
ของนามธรรม และ รูปธรรม ที่ปรากฏ
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ
ได้จริง ๆ นั้น.
ต้อง อบรม เจริญ...อย่างไร.!
.
จึงจะชื่อว่า
เป็นผู้ที่เข้าใจ ประโยชน์อย่างแท้จริง ของการศึกษาพระธรรมวินัย
ว่า ศึกษา เพื่อเกื้อกูลให้สติ ระลึก รู้ ลักษณะของสภาพธรรม
ที่ พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้
และ ทรงพระมหากรุณา แสดงไว้โดยละเอียด.
.
แม้แต่ ลักษณะของจิต.!
ที่ได้กล่าวถึงแล้ว.
และ "จิต" ซึ่งกำลังเห็น
ก็เป็น "สติปัฏฐาน"
ซึ่งเป็น สภาพธรรม ที่ "ปัญญา" สามารถอบรมเจริญขึ้น
จนประจักษ์แจ้ง สภาพที่เป็น "อนัตตา"
ซึ่งก็คือ
การเกิดขึ้นและดับไป ของสภาพธรรมทั้งหลาย
ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือ วัตถุสิ่งใด ๆ เลย.!
ตามปกติ ตามความเป็นจริง
ในชีวิตประจำวัน.
ชีวิตเป็นของน้อย การฟังธรรมเป็นกำไรชีวิต ที่หากำไรอย่างอื่นมาทดแทนไม่ได้ และ
ถึงจะฟังเท่าไรเพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิดสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้จิตเกิดการคิดที่ถูก
ต้องนั้น เป็นเรื่องยากมาก การปรุงแต่งของจิตดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามโลภะ โทสะ
และโมหะเกือบตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ฟัง ๆ ๆ ยากจริง ๆ
ชนเหล่าใดรู้ธรรมอันเป็นสาระ โดยความเป็นสาระ
และรู้ธรรมอันหาสาระมิได้ โดยความเป็นธรรมอันหาสาระมิได้
ชนเหล่านั้นมีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมบรรลุธรรมอันเป็นสาระ
พระธรรมเป็นของยาก ละเอียด และลึกซึ้งมาก มิเช่นนั้นพระพุทธองค์คงไม่ต้องใช้
เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพราะฉะนั้นไม่ควรรีบ
ร้อนที่จะบรรลุเร็ว ๆ หรือจะให้สติปัฎฐานเกิดเร็ว ๆ บางท่านยังไม่เข้าใจถึงลักษณสภาพ
ธรรมที่กำลังปรากฎที่มีอยู่จริง ๆ ไม่ว่าทางตา ทางหู...และทางใจ ว่ารูปธรรม นามธรรม
มีลักษณะอย่างไร ก็บอกว่าได้ประจักษ์การเกิดดับแล้ว..ไม่ควรประมาทว่าพระธรรมง่าย
สามารถบรรลุเร็ว ควรศึกษาอย่างละเอียดและรอบคอบ ไม่เช่นนั้นก็จะเดินทางผิดต้อง
วนเวียนอยู่ในวัฎฎะต่อไป การฟังพระธรรมควรตั้งใจฟังและพิจารณาให้ตรงให้ถูกใน
สิ่งที่กำลังฟัง ไม่ควรจดหรือเขียนขณะฟังพระธรรม เพราะว่าขณะที่จดนั้นก็ไม่ได้ฟัง
หรือไตร่ตรองพระธรรม
เสาร์ 22 ส.ค. 2009 9:52 am
ขอบคุณครับผม
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.