จันทร์ 31 ส.ค. 2009 12:47 pm
- lp1.jpg (109.54 KiB) เปิดดู 934 ครั้ง
ในที่สุดแล้ว ตัววัดผลการปฏิบัติธรรมก็มาวัดในตอนสำคัญนั่นก็คือการประคองใจในวาระสุดท้ายของชีวิตว่าจะยกจิตเจ้าของขึ้นเหนือทุกขเวทนาที่สาหัสสากรรจ์ ตอนสังขารใกล้จะแตกดับได้หรือไม่
เมื่อคราวที่ท่านเจ้าคุณอุบาลี (จันทร์ สิริจันโท) ประสบเหตุหัวเข่าไปกระแทกกับขอบธรรมาสน์ จนลูกสะบ้าหัวเข่าหลุด ท่านก็สู้อดทนอดกลั้น แสดงธรรมไปด้วยอาการปรกติไปจนจบ พอแสดงธรรมจบท่านจึงได้บอกกับโยมว่าหัวเข่าอาตมาหลุด โยมได้ยินแล้วก็พากันตกใจ พาหมอมาดูอาการท่าน ท่านไม่ยอมให้หมอให้ยาสลบเพื่อทำการผ่าตัด อีกทั้งยาชาก็ไม่มี สุดท้ายท่านให้ผ่าสด ๆ โยมลูกศิษย์ผู้หญิงบางคนก็ร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บแทนท่าน แต่ท่านก็มิได้แสดงอาการทุกข์ใจอะไรให้เห็นเลย
สุดท้าย เมื่อเห็นว่าสังขารจะไปไม่ไหวแล้ว ท่านก็เตรียมตัวสำหรับการละสังขารโดยให้ลูกศิษย์นำจีวรมาเปลี่ยนและนุ่งห่มอย่างเรียบร้อย จากนั้นท่านก็ลาพระอุปัฏฐาก พร้อมกับพูดให้คติลูกศิษย์ ณ ที่นั้นว่า
“เราไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นนักรบ ได้มีโอกาสจับอาวุธคือธรรมะของพระพุทธเจ้า รบกับพญามัจจุราช บัดนี้เราชนะแล้ว”เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ ก็ได้เกิดกับหลวงปู่ดู่ ท่านอดทนต่อทุกขเวทนาอันแสบร้อนก่อนจะมรณภาพ กระทั่งท่านได้เอ่ยให้ลูกศิษย์ฟังในคืนลุดท้ายก่อนมรณภาพว่า
“ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกายข้าที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเขาห้องไอซียูไปนานแล้ว” แม้กระนั้น ท่านก็ยังไม่ละความห่วงใยในลูกศิษย์ของท่าน ท่านได้เตือนสติเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“ข้าจะไปแล้วนะ ... ขออย่าได้ทิ้งการปฏิบัติ” นี้คือตัวอย่างของผู้มีชัยชนะต่อทุกขเวทนา มีชัยชนะต่อความตาย ก็โดยอาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอาวุธโดยแท้ ...แล้วเราล่ะ พากันเตรียมพร้อมต่อความตายแล้วหรือยัง
------------------------------------------
บทความจากพี่พรสิทธิ์