ในสมัยก่อนที่ยังชอบไปวัดโน้นวัดนี้ ได้เห็นรูปแบบการทำบุญของคนที่ไปวัดต่าง ๆ ก็จดจำทำเลียนแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการพับดอกบัวถวายพระ
พอมีจังหวะมาวัดสะแก ก็จัดแจงนำดอกบัวที่ซื้อมา มาพับเป็นดอกกุหลาบ หรือรูปแบบต่าง ๆ ตามที่จดจำมา เพราะเห็นว่าสวยดี และแสดงถึงความประณีต (กิเลสมันบอกตัวเองอย่างนั้น)
หลวงปู่ดู่ท่านก็มองดูพวกเราทำกัน แล้วท่านก็ตั้งคำถามกับหมู่คณะคนที่นั่งใกล้ท่านว่า
"แกว่า ดอกบัวที่พับ กับดอกที่ไม่ได้พับ อย่างไหนจะอยู่ได้ทนกว่ากัน"เขาก็ตอบว่า
"ดอกที่ไม่ได้พับสิครับ อยู่ทนกว่า"นี่ขนาดท่านพูดให้คิดนะ พวกเราก็ได้แต่หัวเราะ (แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ตัวอีก) ยังคงสารวนอยู่กับการพับดอกบัว พยายามทำมันให้วิจิตรบรรจงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใจก็บอกตัวเองว่า นี่คือบุญกิริยา?
ผ่านไปนานทีเดียว การปฏิบัติธรรมจึงช่วยให้เราเริ่มเข้าใจว่าจิตมนุษย์นี้หนอชอบการปรุงแต่งจริง ๆ ธรรมชาติมันก็ดีของมันอยู่แล้ว ก็ชอบจะไปดัดแปลงปรุงแต่งมัน ซึ่งในที่สุดแทนที่จะบูชาพระได้นาน ๆ มันก็กลับเหี่ยวเฉาเร็วกว่าที่ควร ที่สำคัญทำให้อดเห็นของดี
ของดีที่ว่านี้ก็คือ ดอกบัวตูม ๆ ที่นำไปใส่แจกันถวายหลวงปู่นั้น ปรากฏว่าบานคาแจกันให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยสังเกต ก็ว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ที่ดอกบัวตูม ก็ควรจะเป็นดอกบัวตูมที่เหี่ยวเฉาคาแจกัน มิใช่จะไปแปรสภาพจากดอกบัวตูมเป็นดอกบัวบานอยู่ในแจกันอย่างนั้น
แล้วก็สังเกตว่ามักมีคนมากราบขอดอกบัวดอกที่บานอยู่ในแจกัน เอาไปต้มกินเป็นยา ซึ่งหลวงปู่ท่านก็เมตตาให้ไปทุกครั้ง
มาถึงเรื่องพระเครื่องก็นึกขำตัวเองอีก ชอบจริง ๆ ชอบให้ท่านทรงเครื่องแบบนั้นแบบนี้ ก็ใจมันชอบนี่นา มานึกอีกที พระพุทธเจ้าท่านสละราชสมบัติ ดำเนินหนทางสู่การมีเพียงผ้า ๓ ผืน กับบาตร เป็นเครื่องอาศัย เรียกว่ามีปฏิปทาสู่ความไม่มีอะไร แล้วเราก็ยังอุตส่าห์เติมให้ท่านอีก เมื่อทำไปแล้ว ก็มานั่งพิจารณาสิ่งที่ทำไป แล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ หมู่คณะมาดูพระที่บ้านก็ยังได้พากันพิจารณาเรื่องนี้ว่าหลวงปู่สอนพวกเราตั้งแต่เมื่อครั้งพับดอกบัวแล้ว ยังพากันหลงลืมอีก ดูเอาสิ พวกเรานี่มันเด็กดื้อแท้ ๆ จากนั้น ก็เปลี่ยนมาสร้างพระพุทธรูปธรรมดา แต่ไปปรุงแต่งฐานพระพุทธรูปให้วิจิตรแทน ^-^
------------------------------------
บทความจากพี่พรสิทธิ์