ผัสสเจตสิก เป็น นเหตุ (ไม่ใช่เหตุ)
แต่ ผัสสเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ.
ถ้า จิตขณะใด
เกิดร่วมกับ เจตสิกที่เป็นเหตุหนึ่งเหตุใด ในเหตุ ๖
ผัสสเจตสิก
ที่เกิดร่วมกับจิตที่มีเหตุเกิดร่วมด้วยขณะนั้น
ก็เป็น สเหตุกะ(เจตสิก)
ถ้าจิตขณะใด เป็น อเหตุกะ(จิต)
คือ ไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งในเหตุ ๖ เกิดร่วมด้วย
ผัสสเจตสิก
ที่เกิดร่วมกับ อเหตุกจิต นั้น
ก็เป็น อเหตุกะ(เจตสิก) ด้วย.
ฉะนั้น
ผัสสเจตสิก จึงเป็น นเหตุ.
และ บางขณะ ผัสสเจตสิก ก็เป็น สเหตุกะ หรือ อเหตุกะ ก็ได้
โดยนัยดังกล่าว ข้างต้น.
.
ชีวิตของทุกท่าน ในวันหนึ่ง ๆ นั้น
มีทั้ง สเหตุกจิต และ อเหตุกจิต.!
แต่
เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรม
ก็ย่อมไม่ทราบว่า ขณะไหน เป็น สเหตุกจิต
และ ขณะไหน เป็น อเหตุกจิต.
.
พระผู้มีพระภาคฯ
ทรงแสดง สภาพของจิตแต่ละขณะไว้ โดยละเอียด ว่า
จิตขณะใด เป็น อเหตุกจิต
จิตขณะใด เป็น สเหตุกจิต
และ
จิต ที่เป็นสเหตุกะ นั้น
เกิดร่วมกับเหตุ กี่เหตุ
และ
มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย กี่ประเภท.!
.
โมหมูลจิต
มี โมหเหตุ เกิดร่วมด้วยเพียงเหตุเดียว
โมหมูลจิต จึงเป็น "เอกเหตุกะ"
โลภมูลจิต
มี เหตุเกิดร่วมด้วย ๒ เหตุ
คือ โมหเหตุ และ โลภเหตุ
จึงเป็น "ทวิเหตุกะ"
โทสมูลจิต
มีเหตุเกิดร่วมด้วย ๒ เหตุ
คือ โมหเหตุ และ โทสเหตุ
จึงเป็น "ทวิเหตุกะ"
.
สำหรับ กุศลจิต นั้น
ก็ต้องมี "โสภณเหตุ" เกิดร่วมด้วย.
มิฉะนั้น ก็เป็น กุศลจิต ไม่ได้.!
กุศลจิต
มี ๒ ประเภท
คือ
๑. กุศลจิต ที่ไม่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก.
๒. กุศลจิต ที่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก.
ฉะนั้น
กุศลจิต ที่ไม่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก
มีเจตสิกที่เป็นเหตุ เกิดร่วมด้วย ๒ เหตุ
คือ
อโลภเหตุ และ อโทสเหตุ.
กุศลจิต ที่ไม่เกิดร่วมกับปัญญาเจตสิก
จึงเป็น "ทวิเหตุกะ"
และ
กุศลจิต ที่เกิดร่วมกับ ปัญญเจตสิก
มีเจตสิกที่เป็นเหตุ เกิดร่วมด้วย ๓ เหตุ
คือ
อโลภเหตุ อโมหเหตุ อโทสเหตุ
กุศลจิต ที่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก
จึงเป็น "ติเหตุกะ"
.
กุศลจิต ที่เป็น "เอกเหตุกะ" ไม่มี.!
เพราะว่า กุศลจิต
ต้องมี อโลภเจตสิก และ อโทสเจตสิก เกิดร่วมด้วย ทุกครั้ง
จึงจะเป็น กุศลจิต ได้.
(บางครั้ง ก็เป็นกุศลจิตที่มี ทั้ง ๓ เหตุ เกิดร่วมด้วยเป็น ติเหตุกะ) คำว่า "เหตุ" กับ คำว่า "ปัจจัย"
ต่างกันอย่างไร.?
.
"ปัจจัย"
เป็นสภาพธรรมที่อุปการะ เกื้อกูลให้สภาพธรรมอื่น เกิดขึ้น
หรือ ดำรงอยู่ตามควร แก่ประเภทของปัจจัย นั้น ๆ
(ตัวอย่าง เช่น)
ผัสสเจตสิก ไม่ใช่ โลภเจตสิก.!
แต่
ทั้ง ผัสสเจตสิก และ โลภเจตสิก
ต่างก็เป็นปัจจัย เกื้อกูลให้สภาพธรรมอื่น ๆ
คือ จิต เจตสิกอื่น ๆ และ รูป
สามารถเกิดขึ้นได้.!
แต่
เมื่อ สภาพลักษณะ และ กิจ
ของ ผัสสเจตสิก และ ของ โลภเจตสิก นั้น
ต่างกัน.!
ผัสสเจตสิก จึงเป็น "ปัจจัย" ที่ต่างกับ โลภเจตสิก.
(เป็นต้น)
.
"ผัสสเจตสิก" เป็น ปัจจัย โดยเป็น "อาหารปัจจัย"
.
คำว่า "อาหาร"
หมายถึง สภาพธรรมที่นำมาซึ่ง "ผล"
แต่
(โดยอุปมา)
ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็น อาหารปัจจัย
ไม่มั่นคง ถึงกับทำให้ "ผล" ที่เกิดขึ้น
งอกงาม ไพบูลย์ได้ เหมือนรากแก้วของต้นไม้.
ส่วน สภาพธรรม ที่เป็น เหตุ.
(เช่น โลภเจตสิก)
เป็นปัจจัย โดยความเป็น "เหตุ"
ซึ่ง อุปมาเหมือนกับรากแก้วของต้นไม้.
.
แต่
ต้นไม้ จะเจริญเติบโต
โดยมีแต่รากแก้วอย่างเดียว ไม่ได้.!
ต้องมีดิน มีน้ำ เป็น "อาหาร"
แต่
ถ้าขาด รากแก้ว.!
แม้จะมีดิน มีน้ำ เป็นต้น
ต้นไม้นั้น ก็ไม่สามารถที่จะมั่นคง งอกงาม ไพบูลย์ได้.
ต้นไม้ที่มีรากแก้ว กับต้นไม้ที่ไม่มีรากแก้ว นั้น
ย่อมมีความเจริญงอกงาม ไพบูลย์ ต่างกัน ฉันใด.!
เจตสิกอื่น ๆ และ สภาพธรรมอื่น ๆ
นอกจาก
"เจตสิกที่เป็นเหตุ ๖ ประเภท"
ก็เป็นปัจจัย โดยเป็น ปัจจัยอื่น ๆ
ซึ่ง ไม่ได้เป็นปัจจัย
โดยเป็น "เหตุปัจจัย"
.
ในคัมภีร์ "ปัฏฐาน"
ซึ่งเป็น คัมภีร์ที่ ๗
และเป็น คัมภีร์สุดท้าย ของพระอภิธรรมปิฎก นั้น.
แสดง สภาพธรรมทั้งหลาย
โดยความเป็นปัจจัยแก่กันและกัน
โดยประเภทของปัจจัยต่าง ๆ
ปัจจัยแรก คือ "เหตุปัจจัย"
ซึ่ง แสดงให้เห็นความสำคัญ ของสภาพธรรม ซึ่งเป็น "เหตุ"
.
ในงานศพ
เมื่อพระภิกษุท่านสวดพระอภิธรรม
จะเริ่มต้นด้วย "เหตุปจฺจโย"
หมายถึง
โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ
อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ (ปัญญาเจตสิก)
เพื่อ "เตือน" ให้รู้ว่า
สภาพธรรม ซึ่งเป็น "ตัวเหตุ"
ที่จะทำให้เกิด "ผล" คือ เกิดภพเกิดชาติ นั้น
ได้แก่
"เจตสิก ๖ ประเภท"
คือ
โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก
อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก (อโมหเจตสิก)
ชาวพุทธส่วนมากไม่สนใจศึกษาพระธรรมขั้นละเอียด เพราะเห็นว่า
เป็นเรื่องที่ยากเกินจะเข้าใจได้ ในขณะที่ชาวพุทธบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ที่มี
การศึกษาสูงๆ เข้าใจผิดคิดว่าพระธรรมง่าย สามารถจะคาดคะเนหรือคิดเอา
เองได้ตามความคิดนึกของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียดรอบ-
คอบก็สามารถจะเข้าใจได้ โดยคิดว่าเป็นหลักคำสอนที่สอนให้ทำความดี
ละความชั่วเหมือนกับหลักคำสอนของศาสนาอื่นๆ ทั่วไป จึงไม่สนใจศึกษา
พระธรรมเพราะคิดว่าตนเองดีแล้ว พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่แล้ว ไม่คิดร้าย
กับใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร ไม่มีทุกข์ เป็นคนดีของสังคมแล้ว จะต้องศึกษา
พระธรรมไปทำไม
เมื่อไม่สนใจศึกษาพระธรรม ซึ่งก็คือความจริงของชีวิตที่พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรมเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกผู้มืด
บอดทั้งหลายให้รู้ตาม ผู้นั้นก็ไม่สามารถจะเข้าใจความเป็นจริงที่มีอยู่ ไม่สา-
มารถหาคำตอบให้กับชีวิตของตนเอง ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้ใดมีโอกาส
ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาโดยละเอียดแล้ว ผู้นั้นจะรู้ได้ด้วยตนเองทันทีว่า
นี่คือของจริง และนี่คือ คำตอบของชีวิต
กรรม คืออะไร? กรรม คือการกระทำ ได้แก่ เจตนา (ความจงใจ
ความตั้งใจ) ที่เป็นกุศล (บุญ) หรือ อกุศล (กิเลส) เป็นเหตุให้กระทำกุศล-
กรรมหรืออกุศลกรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อได้กระทำกุศล-
กรรมหรืออกุศลกรรมสำเร็จไปแล้ว กุศล หรือ อกุศลกรรมนั้นจะเป็นปัจจัยให้
เกิดผลตามสมควรแก่กรรมนั้นๆ การให้ผลของกรรมนั้น จะให้ผลได้ในชาติ
ที่กระทำก็ได้ หรือจะให้ผลในชาติหน้าหรือชาติต่อๆ ไปก็ได้ ไม่ใช่กรรมทุก
กรรมจะให้ผลได้ทั้งหมดในชาติที่กระทำกรรม เพราะกรรมสามารถติดตาม
ไปให้ผลได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ให้ผลหรือยังให้ผลไม่หมด เนื่องจากกรรมจะ
สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะที่จิตเกิดดับสืบต่อกันไป
พุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุและผล ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ
หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
ดังที่ท่านพระอัสสชิแสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตรว่า “ธรรมะทั้งหลายย่อม
เกิดจากเหตุ” นั่นก็คือ การที่ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน เป็นเพราะได้กระทำ
เหตุ คือทำ กรรม มาต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้มีรูป-
ร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ต่างกัน มีอุปนิสัยดีเลวต่างกัน กรรมที่กระทำไว้แล้ว
นั่นเองเป็นเหตุให้ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับความสุข ทุกข์
สรรเสริญ นินทา ท่านจะเข้าใจสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาพระ-
อภิธรรมโดยละเอียด พระอภิธรมเป็นคำสอนเกี่ยวกับสภาวธรรมที่มีอยู่จริง
หรืออีกนัยหนึ่งคือสัจจธรรมนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบำเพ็ญ
ความเพียรอบรมพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อตรัสรู้ สัจจธรรม หรือ
ความจริงของสิ่งทั้งปวง นี้
ฉะนั้น ความจริงที่ทรงตรัสรู้นั้นไม่ง่าย ผู้ใดที่คิดว่าพระธรรมเป็น
ของง่ายไม่จำเป็นต้องศึกษาก็สามารถเข้าใจได้ ผู้นั้นกำลังเข้าใจผิดและ
กำลังประมาทพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธองค์เองเมื่อทรง
ตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรมแก่สัตว์โลก ด้วยทรง
เห็นว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นละเอียด ลึกซึ้ง และรู้ตาม เห็นตามได้ยาก
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยสะสมปัญญามาก็จะสามารถพิจารณาหรือ
พิสูจน์ธรรมะที่ทรงแสดงได้ตามกำลังของปัญญาของตน ดังข้อความ
ปรากฏในคำนำของหนังสือพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัยว่า พระ-
ธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น เป็นธรรมที่ลึกซึ้งรู้ตามเห็นตามได้ยาก สงบ ประณีต
ไม่อาจรู้ได้ด้วยการตรึกละเอียด เป็นธรรมอันบัณฑิตจะรู้ได้
|