พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
จันทร์ 02 พ.ย. 2009 10:48 am
เรื่องวิรตีเจตสิก เกิดได้กับมหากุศล ๘ และโลกุตตรจิต ๘ ดวง
หรือ ๔๐ ดวงเท่านั้น มหากุศลจิตบางดวงก็ไม่มีวิรตีเจตสิกเกิดร่วมด้วย
วิรตีเจตสิกดวงหนึ่งดวงใดจะเกิดกับมหากุศลจิตที่กำลังวิรัติทุจริตประเภท
หนึ่งประเภทใดในขณะนั้นเท่านั้น วิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวงจะเกิดขึ้นพร้อมกันใน
มหากุศลจิตไม่ได้เลย แต่ขณะที่โลกุตตรจิตเกิดขึ้นนั้น วิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวง
เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยทำกิจวิรัติทุจริตเป็นสมุจเฉทตามขั้นของโลกุตตรจิตนั้นๆ
โลกุตตรจิต ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง ต้องมีวิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวงเกิดร่วมด้วย
วิรตีเจตสิกไม่เกิดกับมหากิริยาจิต เพราะเมื่อพระอรหันต์ดับกิเลสทุกประเภท
เป็นสมุจเฉทแล้ว วิรตีเจตสิกไม่เกิดขึ้นวิรัติทุจริตใดๆ เลย
วิรตีเจตสิกไม่เกิดกับมหาวิบากจิต เพราะมหาวิบากต่างกับรูปาวจรวิบาก
อรูปาวจรวิบาก โลกุตตรวิบาก คือ รูปาวจรกุศลเป็นกัมมปัจจัยให้เกิดผลเป็น
รูปาวจรวิบากซึ่งไม่ต่างจากรูปาวจรกุศลนั้นๆ อุปมาเหมือนตัวกับเงา รูปาวจร-
กุศลมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วยเท่าใด รูปาวจรวิบากก็มีเจตสิกนั้นๆ เกิดร่วมด้วย
เท่านั้น รูปาวจรกุศลมีอารมณ์อะไร รูปาวจรวิบากก็มีอารมณ์นั้น อรูปาวจรกุศล
และอรูปาวจรวิบาก โลกุตตรกุศลและโลกุตตรวิบากก็โดยนัยเดียวกัน แต่มหา
กุศลหาเป็นเช่นนั้นไม่ วิรตีเจตสิกเกิดกับมหากุศลจิตเฉพาะในขณะที่วิรัติทุจริต
แต่มหาวิบากซึ่งเป็นผลของมหากุศลนั้น ไม่มีวิรตีเจตสิกและอัปปมัญญาเจตสิก
เกิดร่วมด้วย เพราะมหาวิบากไม่ได้ทำกิจวิรัติทุจริตเช่นมหากุศล
วิรตีเจตสิกไม่เกิดกับรูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต เพราะขณะที่เป็นมหัคค-
ตจิตนั้น ไม่มีการกระทำใดๆ ทางกายวาจาที่วิรตีเจตสิกจะต้องเกิดขึ้นวิรัติทุจริต
ทางกายหรือทางวาจาเลย
ผู้ที่จะละกามราคะได้ต้องบรรลุเป็นพระอนาคามี ส่วนปุถุชนเริ่มต้นด้วยการตั้งใจฟัง
สนใจ ใส่ใจ พิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ที่สำคัญคือความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็น
ธรรมที่ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล หรือขณะนี้แข็งมีจริง ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
ต้องทราบว่า
ปัญญา รู้ลักษณะ ของสภาพธรรม
ที่กำลังปรากฏในขณะนี้.
.
.
.
พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า
ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล.
.
.
.
กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ ต้องไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน
แต่เป็นจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย.
.
.
.
ชีวิตของแต่ละคน
ก็ดำรงอยู่ เพียงชั่วขณะจิตหนึ่งๆ เท่านั้น.
.
.
.
ปัญญารู้อะไร.?
เมื่อปัญญา เป็น สภาพธรรม ที่รู้ถูกต้อง
.
.
.
ปัญญา เริ่มจาก ความเข้าใจถูก
ในลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้
ตามปกติ ตามตามความเป็นจริง.
.
.
.
ปัญญา ไม่ใช่รู้อื่น
แต่รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน
ทุกขณะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ
ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัทผัส
และ คิดนึก เรื่องราวต่างๆ.
.
.
.
ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนี้ มีจริงๆ
และเป็นอนัตตา
เป็น ลักษณะของ จิต เจตสิก รูป.
.
.
.
ค่อยๆระลึก ค่อยๆศึกษา ค่อยๆพิจารณา ค่อยๆเข้าใจ
เพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
เพราะว่า การอบรมเจริญปัญญา นั้น
เป็นจิรกาลภาวนา
ต้องอบรมไปเรื่อยๆ จนกว่า ปัญญาจะสมบูรณ์
ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลา ที่นานมาก.
.
.
.
จิต เกิดดับสลับกัน อย่างรวดเร็วมาก
ปัญญา จึงต้องรู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้
ตามปกติ ตามความเป็นจริง
ต้องทราบว่า ขณะนี้ เป็นธรรมะ ทั้งหมด
ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงธาตุ
เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ที่เกิด แล้วก็ดับ.
.
.
.
เพราะฉะนั้น ปัญญา ที่เป็นโลกียะ นั้น ประจักษ์ ความจริง ของโลก
คือ สภาพธรรม ที่เกิดขึ้น ในขณะนี้
แล้วดับไป ในขณะนี้.
.
.
.
นั่นคือ ปัญญา ในพระพุทธศาสนา
ซึ่งต้องเริ่มจาก ปัญญาขั้นฟัง คือ การฟังพระธรรม
ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ตลอด ๔๕ พรรษา
พระองค์ทรงแสดงธรรม
ก็เพื่อที่จะให้ พุทธบริษัท ได้ฟังพระธรรม
ที่พระองค์ทรงตรัสรู้.
เอาบุญมาฝากวันนี้ได้ถวายสังฆทาน และตั้งใจว่าจะสวดมนต์ เดินจงกรม เจริญวิปัสสนา กำหนดอิริยาบทย่อย ให้ธรรมะเป็นทานขอให้อนุโมทนาด้วย
จันทร์ 02 พ.ย. 2009 11:20 am
สาธุ...
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.