พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อังคาร 03 พ.ย. 2009 7:55 pm
บารมี ๑๐ ในชีวิตประจำวัน
.
บารมี ๑๐ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับการที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท
เพราะการเจริญกุศลนั้น ต้องเจริญทุกประการ
เพื่อเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้น ดับกิเลสได้หมดสิ้น เป็นสมุจเฉท
ตามลำดับขั้น.
.
ดังนั้น จึงต้องเข้าใจให้ถูก ว่า กุศลใด เป็นบารมี...กุศลใด ไม่ใช่บารมี
และควรศึกษาให้เห็นความสำคัญของบารมีทั้ง ๑๐
เพื่อจะได้อบรมให้เจริญยิ่งขึ้น.
.
บารมี ๑๐
ได้แก่
ทานบารมี
ศีลบารมี
เนกขัมมบารมี
ปัญญาบารมี
วิริยบารมี
ขันติบารมี
สัจจบารมี
อฐิษฐานบารมี
เมตตาบารมี
อุเบกขาบารมี
จุดประสงค์ของการศึกษาธรรม เพื่อละความไม่รู้ เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อสะสม
ปัญญา สะสมความดี เพื่อเป็นปัจจัยให้ออกจากสังสารวัฏฏ์คือการเวียนว่ายตายเกิด
ตายแล้วเกิดทันทีตามกรรมที่ทำไว้ จึงทำให้มีรูปร่างหน้าตา ชาติตระกูล ปัญญา แตก
ต่างกันตามการสะสม เพราะกุศลและอกุศลที่ทำไว้สะสมอยู่ในจิตไม่สุญหายไปไหน
วันเพ็ญเดือน ๑๒(ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) เป็นวันปริพนิพพานของพระสารีบุตรเถระ
พระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา พระอัครสาวกทั้งสอง (ท่านพระสารีบุตรเถระ,
พระมหาโมคคัลลานะ) ย่อมปรินิพพานก่อนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กล่าวคือท่านพระสารีบุตร ปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ต่อจากนั้นอีก ๖ เดือน
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน (และ ท่านพระ
สาบุตรปรินิพพานก่อนท่านพระมหาโมคคัลลานะ ๑๕ วัน) ดังนั้น เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน
๑๒ แทนที่จะนึกถึง คิดถึงอย่างอื่น ก็ควรที่จะได้น้อมระลึกถึงพระรัตนตรัย พร้อมทั้ง
น้อมระลึกถึงพระคุณของท่านพระสารีบุตร ที่ท่านได้กระทำไว้ต่อพุทธบริษัท
สภาพธรรม มี ๒ อย่าง คือ นามธรรม และ รูปธรรม.
นามธรรม เป็นสภาพรู้
รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร.
เช่น
การเห็น....เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่รู้สี
สี เป็น รูปธรรม เพราะ สี ไม่รู้อะไร.
.
สิ่งที่เรายึดถือ ว่า เป็นตัวตน นั้น
เป็นเพียงนามธรรม และ รูปธรรม
ซึ่ง เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป.
.
สภาพธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในกาย และ ภายนอกกาย
เป็นแต่เพียง นามธรรม และ รูปธรรม
ซึ่ง เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป...ไม่เที่ยง.
.
นามธรรม และ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง
ซึ่ง ภาษาบาลี เรียกว่า ปรมัตถธรรม.
.
เราสามารถรู้ลักษณะของปรมัตถธรรมได้...เมื่อปรมัตถธรรมปรากฏ
ไม่ว่าเราจะบัญญัติเรียกปรมัตถธรรมนั้น ๆ ว่าอย่างไรก็ตาม.
.
สำหรับผู้ที่อบรมเจริญวิปัสสนา
สามารถประจักษ์ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม ตามความเป็นจริง
ว่า ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
และเมื่อรู้ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม แต่ละประเภทมากขึ้น
ก็จะยิ่งรู้ชัดขึ้น ว่า "ตัวตน" นั้น....เป็นแต่เพียง "ความคิดเห็น"
ไม่ใช่ "ปรมัตถธรรม"
.
เอาบุญมาฝากวันนี้ได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
กำหนดอิริยาบทย่อย และตั้งใจว่าจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.