พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
จันทร์ 09 พ.ย. 2009 8:28 am
จากเรื่องราวเมื่อตอนที่แล้วได้แสดงว่า พระมหินเถระที่ประเทศอินเดีย ได้พิจารณา
ถึงกาลเวลาที่เหมาะสมในการประกาศพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ว่าเวลาที่พระเจ้า-
เทวนัมปิยดิสขึ้นครองราชย์เป็นเวลาที่เหมาะสม ในการประกาศพระศาสนา และเมื่อ
พระเจ้าเทวนัมปิยดิสขึ้นครองราชย์ พระอินทร์ก็ได้ไปบอกกับพระมหินเถระว่าถึง
เวลาแล้วที่ควรไปประกาศพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกา เหตุที่พระอินทร์ไปบอกกับ
พระมหินเถระเพราะพระพุทธเจ้าเมื่อยังไม่ได้ปรินิพพาน ได้ทรงเห็นว่าในอนาคตกาล
พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรื่องที่ประเทศศรีลังกา จึงได้ตรัสกับพระอินทร์ว่าแม้พระองค์ก็
ควรไปเกาะศรีลังกากับพระมหินเถระด้วย
มาถึงตอนที่ 2 เรื่องราวจึงพอสรุปได้ดังนี้ พระมหินเถระและภิกษุรูปอื่นๆ เหาะจาก
ประเทศอินเดียมาที่มิสสกบรรพตที่ประเทศศรีลังกา ประมาณ ปี 236 หลังจากที่พระ-
พุทธเจ้าปรินิพพาน ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าเทวนัมปิยดิสกำลังล่าเนื้ออยู่ที่ภูเขามิสสก
บรรพตเช่นกัน จึงได้พบพระเถระและได้มีการสนทนา ซึ่งขอให้ได้อ่านข้อความใน
พระไตรปิฎกโดยละเอียดอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจและปิติปราโมทย์ในพระธรรม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 123
[พระมหินทเถระพร้อมกับคณะไปเกาะลังกา]
พระเถระ รับคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว เป็น ๗ คนทั้งตน เหาะขึ้น
ไปสู่เวหาจากเวทิสบรรพต แล้วดำรงอยู่บนมิสสกบรรพต ซึ่งชนทั้งหลายใน
บัดนี้จำกันได้ว่า เจติยบรรพตบ้าง ทางทิศบูรพาแห่งอนุราชบุรี. เพราะ เหตุนั้น
พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้ว่า
พระเถระทั้งหลายพักอยู่ที่เวทิสคิรี-
บรรพตใกล้กรุงราชคฤห์ สิ้น ๓๐ ราตรีได้
ดำริว่า เป็นกาลสมควร ที่จะไปยังเกาะอัน
ประเสริฐ, พวกเราจะพากันไปสู่เกาะอัน
อุดม ดังนี้ แล้วได้เหาะขึ้นจากชมพูทวีป
ลอยไปในอากาศดุจพญาหงส์บินไปเหนือ
ท้องฟ้าฉะนั้น,พระเถระทั้งหลายเหาะขึ้นไป
แล้วอย่างนั้นก็ลงที่ยอดเขาแล้ว ยืนอยู่บน
ยอดบรรพต ซึ่งงามไปด้วยเมฆ อันตั้งอยู่
ข้างหน้าแห่งบุรีอันประเสริฐราวกะว่า หมู่-
หงส์จับอยู่บนยอดเขาฉะนั้น.
ก็ท่านพระมหินทเถระ ผู้มาร่วมกับพระเถระทั่งหลาย มีพระอิฏฏิยะ เป็นต้น
ยืนอยู่อย่างนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ได้ยืนอยู่แล้วในเกาะนี้ ในปีที่ ๒๓๖ พรรษา
นับมาแต่ปีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน
[พระเจ้าเทวานัมปิยดิสทรงพบพระมหินทเถระ]
ก็ในวันนั้น ที่เกาะตัมพปัณณิทวีป มีงานนักษัตรฤกษ์ในเชษฐมาสต้น
(คือเดือน ๗). พระราชาทรงรับสั่งให้โฆษณานักษัตรฤกษ์ แล้วทรงบังคับ
พวกอำมาตย์ว่า พวกท่าน จงเล่นมหรสพเถิด ดังนี้ มีราชบุรุษจำนวนถึง
สี่หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกไปจากพระนคร มีพระสงค์จะทรงกีฬาล่าเนื้อ
จึงเสด็จไปโดยทางที่มิสสกบรรพตตั้งอยู่. เวลานั้น มีเทวดาตนหนึ่ง ซึ่ง
สิงอยู่ที่บรรพตนั้น คิดว่า เราจักแสดงพระเถระทั้งหลาย แก่พระราชา จึง
แปลงเป็นตัวเนื้อละมั่งเที่ยวทำทีกินหญ้าและใบไม้อยู่ในที่ไม่ไกล(แต่พระเถระ
นั้น). พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นเนื้อละมั่งตัวนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า บัดนี้
ยังไม่สมควรจะยิงเนื้อ ตัวที่ยังเลินเล่ออยู่ จึงทรงดีดสายธนู. เนื้อเริ่มจะหา
ทางหนี ๆ ไปทางที่กำหนดหมายด้วยต้นมะม่วง. พระราชาเสด็จติดตามไป
ข้างหลัง ๆ แล้วเสด็จขึ้นสู่ทางที่กำหนดด้วยต้นมะม่วงนั่นเอง. ฝ่ายมฤค ก็
หายตัวไปในที่ไม่ไกลพระเถระทั้งหลาย. พระมหินทเถระเห็นพระราชากำลัง
เสด็จมาในที่ไม่ไกล จึงอธิษฐานใจว่า ขอให้พระราชาทอดพระเนตรเห็น
เฉพาะเราเท่านั้น อย่าทอดพระเนตรเห็นพวกนอกนี้เลย จึงทูลทักว่า ติสสะ
ติสสะ ขอจงเสด็จมาทางนี้. พระราชาทรงสดับแล้ว เฉลียวพระหฤทัยว่า
ขึ้นชื่อว่าชนผู้ที่เกิดในเกาะนี้ซึ่งสามารถจะเรียกเราระบุชื่อว่า ติสสะ ไม่มี ก็
สมณะโล้นรูปนี้ทรงแผ่นผ้าขาดที่ตัด (ด้วยศัสตรา) นุ่งห่มผ้ากาสาวะ เรียก
เราโดยเจาะชื่อ ผู้นี้คือใครหนอแล จักเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ? พระเถระจึง
ถวายพระพรว่า
ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! อาตม-
ภาพทั้งหลายชื่อว่าสมณะ เป็นสาวกของ
พระธรรมราชามาที่เกาะนี้ จากชมพูทวีป
เพื่ออนุเคราะห์มหาบพิตรเท่านั้น
ท้าวเธอพระองค์นั้น เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงศาสนาประวัตินั้น ที่พระองค์
ได้ทรงสดับมาไม่นาน(ได้ฟังจากพระเจ้าอโศก) ครั้นได้ทรงสดับคำนั้น ของ
พระเถระว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลาย ชื่อว่าสมณะ
เป็นสาวก ของพระธรรมราชาดังนี้ เป็นต้นแล้วทรงดำริว่า พระผู้เป็น
พระเจ้าทั้งหลาย มาแล้วหนอแล จึงทรงทิ้งอาวุธในทันใดนั้นเอง แล้วประทับ
นั่งสนทนาสัมโมทนียกถาอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.เหมือนดังที่พระโบราณาจารย์
กล่าวไว้ว่า
พระราชาทรงทิ้งอาวุธแล้ว เสด็จ-
ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นประทับนั่ง
แล้ว ได้ตรัสพระดำรัสประกอบด้วยประโยชน์
เป็นอันมากร่าเริงอยู่.
[พรเถระแสดงให้พระราชาทอดพระเนตรเห็นจริงอีก ๖ คน]
คราวนั้น พระเถระ ก็แสดงชน ๖ คนแม้นอกนี้. พระราชาทอด
พระเนตรเห็น (ชนทั้ง ๖ นั้น) แล้ว จึงทรงรับสั่ง (ถาม) ว่า คน
เหล่านี้มาเมื่อไร ?
พระเถระ. มาพร้อมกับอาตมภาพนั่นแล มหาบพิตร !
พระราชา. ก็บัดนี้สมณะแม้เหล่าอื่น ผู้เห็นปานนี้ มีอยู่ในชมพูทวีปบ้างหรือ ?
พระเถระ. มีอยู่ มหาบพิตร ! บัดนี้ ชมพูทวีป รุ่งเรืองไปด้วย
ผ้ากาสาวพัสตร์ สะบัดอบอวลไปด้วยลมฤษี, ในชมพูทวีปนั้น
มีพระอรหันต์พุทธสาวกเป็นอันมาก
ซึ่งเป็นผู้มีวิชชา ๓ และได้บรรลุฤทธิ์
เชี่ยวชาญทางเจโตปริยญาณ สิ้นอาสวะแล้ว.
พระราชา. ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระคุณเจ้าทั้งหลาย พากัน
มาโดยทางไหน ?
พระเถระ. มหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลายไม่ได้มาทางน้ำและทางบกเลย.
พระราชา. ก็ทรงเข้าพระทัยได้ดีว่า พระคุณเจ้าเหล่านี้มาทางอากาศ
เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน และตั้งใจว่าจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
จันทร์ 09 พ.ย. 2009 8:40 pm
อนุโมทนา สาธุ ครับ
อ่านแล้วเกิดปีติซาบซ่านอย่างยิ่ง ขอขอบพระคุณครับ...
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.