ประโยชน์สูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็คือ การได้เข้าใจพระธรรม การศึกษา
พระธรรมต้องมีความเข้าใจเป็นลำดับขั้น ขั้นการฟังเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่มีอยู่จริงต้อง
มีความเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่ไปรู้เรื่องราวของธรรมหรือจำ
ชื่อได้มากมาย เมื่อมีความเห็นถูกต้องในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความ
เป็นจริง ค่อยๆอบรมเจริญความเห็นถูกในสภาพธรรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง เพราะ
ฉะนั้น ความเห็นถูกเป็นเบื้องต้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้สามารถประพฤติปฏิบัติ
ต่อไปจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ความเห็นถูกต้องในสภาพธรรมก็คือสัมมาทิฏฐิ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 456
๗. ปฐมสุริยูปมสูตร
(ว่าด้วยสิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อนการตรัสรู้อริยสัจ)
[๑๗๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่จะขึ้น
ก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้อง
ต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจจ์ ตามความเป็นจริง คือ สัมมา-
ทิฏฐิ ฉันนั้นเหมือนกัน อันภิกษุผู้มีความเห็นชอบ พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้
ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธ
คามินีปฏิปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย พึง
กระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย
นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
เรื่องราวจากตอนที่แล้ว ซึ่งได้มีผู้บรรลุมากมายที่ศรีลังกาจากการแสดงธรรมของ
พระมหินเถระที่มาจากชมพูทวีป(อินเดีย) ซึ่งต่อมาพระมหินเถระและภิกษุทั้งหลายก็อยู่
จำพรรษา ถึงวันปวารณาได้ทูลคำนี้กับพระราชาว่าอยากจะกลับไปชมพูทวีปเพราะ
ไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้านานแล้ว พระราชาตรัสว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วมิใช่หรือ
ซึ่งพระเถระก็ทูลพระราชาว่า แม้ปรินิพพานไปแล้วแต่ว่าพระบรมสารีริกธาตุนั้นยังอยู่
พระราชาจึงทรงทราบทันทีว่า พระเถระปรารถนาให้สร้างพระสถูป เพื่อที่จะประดิษฐาน
พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งพระเถระได้ให้พระราชาไปบอกเรื่องนี้กลับสุมนสามเณรที่ได้
ติดตามพระเถระมาด้วย ซึ่งสุมนสามเณรเป็นพระอรหันต์แล้วและมีฤทธิ์ ได้อันเชิญพระ-
บรมสารีริกธาตุมาจากพระเจ้าอโศกมหาราชมาบางส่วนและอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
พระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้าด้านขวา) ที่พระอินทร์ทรงครอบครองไว้ อัน
เชิญมาประดิษฐานที่ศรีลังกา
ดังนั้นพระบรมสารีริกธาตุที่สุมนสามเณรอันเชิญมา มี 2 ส่วนคือที่ได้จากพระเจ้า
อโศกมหาราชส่วนหนึ่งและส่วนที่สองคือจากพระอินทร์ที่เป็นส่วนพระรากขวัญเบื้อง
ขวา(กระดูกไหปลาร้าด้านขวา)
ส่วนพระบรมสารีริกธาตุที่ได้จากพระเจ้าอโศก ซึ่งได้ประดิษฐานที่เจติยบรรพต
(มิสสกบรรพต)อันเป็นสถานที่ที่พระมหินเถระและคณะภิกษุสงฆ์ได้เหาะมาจากชมพู
ทวีปมาลงที่เกาะลังกาครั้งแรกและได้พบกับพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ ซึ่งชาวศรีลังกา
ได้สร้างเจดีย์ชื่อ พระมหาเสยะเจดีย์(Mahaseya Pagoda) ซึ่งสำหรับผู้ที่จะได้เดิน
ทางไปประเทศศรีลังกา คงได้มีโอกาสไปพระมหาเสยะเจดีย์ เมื่อรู้ประวัติความเป็นไป
ของพระเจดีย์นี้ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอันได้มาจากพระเจ้าอโศกย่อมทำให้ซาบซึ้ง
ระลึกถึงพระคุณได้มากชึ้นไม่มากก็น้อย
พระมหาเสยะเจดีย์
อันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระเจ้าอโศกและเป็น
สถานที่ที่พระเถระทั้งหลายผู้เป็นพระอรหันต์อันมาจากชมพูทวีปมาประกาศ
พระศาสนาที่ศรีลังกาได้มาถึงที่นี่ครั้งแรก
ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่สองที่ได้มาจากพระอินทร์นั่นคือ
พระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้า) ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุส่วนนี้เองที่ได้
แสดงปาฏิหารย์หลายอย่างก่อนที่จะประดิษฐานในพระสถูป อันเป็นสิ่งที่ควรเลื่อมใส
เป็นอย่างยิ่ง
การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 383 ท้าวมฆวานเทพกุญชร ผู้เป็นอธิบดีในสวรรค์ชั้นไตรทศ ทรงสดับคำนี้แล้ว
เมื่อจะยังเทวดาชั้น ดาวดึงส์ให้เลื่อมใส จึงได้ตรัสคำนี้กะมาตลีเทพสารภีว่า ดูก่อน
มาตลี ท่านจงดูผลแห่งกรรมอันวิจิตรน่าอัศจรรย์นี้ ไทยธรรม(ของบูชา)ที่เทพธิดา
นี้กระทำแล้ว ถึงจะน้อย บุญก็มีผลมาก เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า
หรือในสาวกของพระองค์ก็ตาม ทักษิณา ไม่ชื่อว่าน้อยเลย มาเถิด มาตลี แม้ชาว
เราทั้งหลาย ก็ควรจะพากันบูชาพระบรมธาตุของพระตถาคตให้ยิ่งยวดขึ้นไป เพราะ
การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้ เมื่อพระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม เสด็จปรินิพ-
พานแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลบุญก็ย่อมสม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้
ชอบ สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายกระทำสักการะใน พระตถาคต
เหล่าใดแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้น ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่
ชนเป็นอันมากหนอ.
ปรมัตถธรรมที่ ๒ คือ เจตสิก ซึ่งเป็น นามธรรม
จิต เป็นสภาพรู้อารมณ์
ขณะที่จิตเห็นกำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ (เป็นต้น)
ขณะนั้นยังมีนามธรรมอื่น ๆ อีก ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน
คือ มีเจตสิกหลายประเภท เกิดร่วมกับจิตที่เกิดขึ้นในขณะหนึ่ง ๆ
เช่น กำลังคิดด้วยโทสะ โลภะ หรือ ปัญญา ฯลฯ
โทสะ โลภะ ปัญญา (เป็นต้น)...เป็นนามธรรมที่ไม่ใช่ จิต.
แต่ โทสะ โลภะ ปัญญา (เป็นต้น) เป็นเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับจิตประเภทต่าง ๆ
ในขณะที่จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ มีเจตสิกเกิดขึ้นร่วมด้วยหลายประเภท
แต่อย่างน้อยที่สุด ต้องมี เจตสิก ๗ ประเภทเกิดร่วมด้วย
เจตสิก ๗ ประเภทนั้น เรียกว่า "สัพพจิตตสาธารณเจตสิก"
จิต และ เจตสิก เกิด-ดับ พร้อมกัน
จิต จะเกิดขึ้นตามลำพัง (โดยปราศจากเจตสิก) ไม่ได้.
เช่น ความรู้สึก ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า "เวทนา"
เวทนาเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ
จิตเพียงแต่รู้อารมณ์...แต่ เวทนาเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่รู้สึก
บางครั้งรู้สึกเป็นสุข บางครั้งรู้สึกเป็นทุกข์
บางครั้งรู้สึกเฉย ๆ (ไม่ทุกข์-ไม่สุข)
ความรู้สึก (เวทนาเจตสิก) มีอยู่เสมอ
ไม่มีสักขณะจิตเดียวที่ปราศจาก ความรู้สึก (เวทนาเจตสิก)
เช่น เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น...ความรู้สึก (เวทนาเจตสิก) เกิดร่วมกับจิตเห็น
แต่ขณะที่เห็น...ขณะนั้นยังไม่มีความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบเกิดขึ้น
หมายความว่า เวทนาเจตสิกขณะที่กำลังเห็น เป็น ความรู้สึกเฉยๆ
คือ ไม่ทุกข์ ไม่สุข (ภาษาบาลี เรียกว่า อุเบกขาเวทนา)
และ หลังจากจิตเห็นดับไปแล้ว...จิตขณะอื่น ๆ ก็เกิดขึ้น
อาจจะเป็นจิตที่ชอบ หรือ ไม่ชอบในอารมณ์ (สิ่งที่ปรากฏทางตา) นั้น ๆ
เช่น ถ้าเป็นจิตที่ไม่ชอบในอารมณ์ที่เห็น......หมายความว่า
เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตขณะนั้น เป็น โทมนัสเวทนา.
(หรือถ้าเป็นจิตที่ชอบในอารมณ์ที่เห็น..........หมายความว่า
เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตขณะนั้น เป็น โสมนัสเวทนา)
จิต มีหน้าที่รู้อารมณ์
จิต เป็นใหญ่....เป็นประธานในการรู้อารมณ์
เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต มีอารมณ์เดียวกับจิต
จิต และ เจตสิกต่างๆ รู้อารมณ์เดียวกัน เกิด-ดับพร้อมกัน-ที่เดียวกัน
แต่ เจตสิกแต่ละประเภท......มีลักษณะและกิจหน้าที่เฉพาะของตน ๆ
เจตสิกทั้งหมด มี ๕๒ ประเภท
มีเจตสิก (อย่างน้อยที่สุด) ๗ ประเภท ที่เกิดกับจิตทุกขณะ
เรียกว่า สัพพจิตตสาธารณเจตสิก.
ควรทราบว่าในสมัยครั้งพุทธกาลกุลบุตรผู้มีศรัทธาเมื่อเข้ามาบวช ย่อมได้รับ
การฝึกอบรมจากอุปัชฌาย์อาจราย์ ให้ศึกษาประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุในยุดนั้นจึงเป็นผู้สำรวม มีมรรยาท
ทางกาย ทางวาจางาม น่าเลื่อมใส แต่ยุคปัจจุบันก็ต่างกันออกไป คือท่านไม่ได้
รับการฝึกอบรม ไม่ได้ศึกษา ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ผลคือเป็นผู้มี
ความประพฤติทางกายทางวาจาที่ไม่น่าดู ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส.....
จบปฐมสุริยูปมสูตรที่ ๗
เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน ได้ถวายอุปกรณ์การเรียนให้พระสงฆ์ ได้ถวายพระพุทธรูปปางค์ธรรมเทศนาที่ได้มาจากอินเดีย
ได้กำหนดอิริยาบทย่อย เจริญวิปัสสนา สวดมนต์ อาราธนาศีล
อนุโมทนาบุคคลที่ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหลายสาย
และได้กรวดน้ำ และได้ไหว้พระประธานระหว่างเดินทางด้วย
และปิดไฟตามที่สาธารณะ ให้ธรรมะเป็นทาน
และตั้งใจที่ จะ กำหนดอิริยาบทย่อย สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
ให้อาหารทานแก่คนยากจนตามถนน และรักษาศีล
ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
|