นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 ม.ค. 2025 10:03 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ตามหลักพระวินัย
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 20 ก.พ. 2010 9:10 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4803
ตามหลักพระวินัยมีว่า พระภิกษุบวชใหม่ ต้องอยู่กับพระอุปัชฌาย์ หรืออาจารย์

คือถือนิสัยอยู่ในการดูแลของท่านอย่างน้อย ๕ พรรษา เมื่อพ้น ๕ พรรษาแล้ว ถ้า

ไม่สามารถดูแลตัวเอง คือ ทรงจำพระธรรมวินัย พระปาฏิโมกข์ไม่ได้ ก็ต้องถือ

นิสัยอยู่กับพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์ไปเรื่อยๆ จนตลอดชีวิต ถ้าไม่ถือนิสัย

ต้องอาบัติ ส่วนเรื่องของธุดงค์นั้น ก็ควรเข้าใจก่อนว่า ธุดงค์คืออะไร มีกี่ข้อ ทำไม

ต้องธุดงค์ อยู่ที่อารามรักษาธุดงค์ได้ไหม รักษาได้กี่ข้อ การเดินป่าเป็นธุดงค์หรือ..

ถ้าอยู่กับพระอุปัชฌาย์ รักษาธุดงค์ไม่ได้หรือ...

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 274

พระพุทธานุญาตให้ถือสัย

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้า

มูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ ถือนิสัยอยู่ ๕ พรรษา

และให้ภิกษุผู้ไม่ฉลาดถือนิสัยอยู่ตลอดชีวิต....

องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ

นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-

๑. ไม่รู้จักอาบัติ.

๒. ไม่รู้จักอนาบัติ.

๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา.

๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ

๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดี โดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี

ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสัย

อยู่ ไม่ได้.



องค์ ๖ แห่งภิกษุต้องถือนิสัย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ

นิสัยอยู่ไม่ได้ คือ:-

๑. ไม่รู้จักอาบัติ.

๒. ไม่รู้จักอนาบัติ.

๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา.

๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก.

๕. เธอจาปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดี โดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี

ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุ คะ โดยอนุพยัญชนะ

๖. มีพรรษาหย่อน ๕.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสัย

อยู่ ไม่ได้. ..

เพื่อ ความเข้าใจ "สภาพธรรมตามความเป็นจริง"

ว่า "เป็นธรรมะ-แต่ละลักษณะ-ซึ่งกำลังเกิด-ปรากฏ-ตามปกติ-ขณะนี้"


และ ไม่สามารถที่จะรู้ถึงความลึกซึ้งของ "ธรรมะ" ใด ๆ ได้เลย

ถ้า "ขณะนี้"....ไม่เข้าใจ ว่า "ความเข้าใจธรรมะ" มี ๓ ขั้น.


ขั้นปริยัติ คือ ความรอบรู้-ในสิ่งที่ได้ฟัง

ไม่ได้หมายความว่า

รู้-เรื่องราว-อรรถะ-พยัญชนะ-โวหาระ-ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งหมด

แต่ หมายความว่า

แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" เพียงคำเดียว ที่ส่องถึง"ลักษณะที่มีจริง-ของธรรมะ"

แม้จะเข้าใจจากการฟัง ว่า เป็น "ธรรมะ" ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ

มีลักษณะเกิด-ดับอยู่ทุกขณะ....ก็ยังยากที่จะรู้ได้.?


เพราะฉะนั้น

"การฟัง" ก็เพื่อ "ละความไม่รู้"

ไม่ใช่ฟังแล้ว-อยากเข้าใจทั้งหมดเลยทุกอย่าง-ที่ได้ฟัง

ซึ่งเป็นไปไม่ได้.!


แม้แต่คำว่า "ธรรมะ"....ก็ได้ฟังแล้วตั้งหลายครั้งว่า "ธรรมะ-ไม่ใช่เรา"

ขณะที่ฟัง และ มีสภาพธรรม-กำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้-มีการเห็น....?


เพราะฉะนั้น "การฟัง" ที่เป็นประโยชน์

ก็คือ ในขณะที่ฟัง-ฟัง"เรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น" แล้วเริ่มเข้าใจ"ความจริง"


"ความจริง" ที่เข้าใจได้ คือ "ลักษณะจริง ๆ-ของสิ่งที่มีจริง ๆ"

ในขณะที่กำลังฟังนั่นเอง.!


ซึ่งยากมากที่จะประจักษ์ "ความจริง" นั้นได้....?

เพราะว่า สะสมความไม่รู้สภาพธรรม-ตามความเป็นจริง-มานานมาก.!

สีเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรมคือเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร

สีไม่ดี ไม่ชั่วเพราะไม่ใช่นามธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล

บุคคลจะประเสริฐหรือไม่ประเสริฐไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสี แต่ขึ้นอยู่กับจิต

บุคคลจะประเสริฐได้เพราะจิตที่บริสุทธิ์

จิตจะบริสุทธิ์ได้ด้วยการอบรมปัญญา คืออริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งก็ไม่พ้นจากการที่สติ

ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ

สีจึงไม่เป็นประมาณให้บุคคลบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 11

๔. พราหมณสูตร

[๑๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว

ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ได้เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์

ออกจากกรุงสาวัตถี ด้วยรถเทียมม้าขาวล้วน ได้ยินว่า ม้าที่เทียมเป็นม้าขาว

เครื่องประดับขาว ตัวรถขาว ประทุนรถขาว เชือกขาว ด้ามปฏักขาว ร่ม

ขาว ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้าขาว พัดวาลวัชนีที่ด้ามพัดก็ขาว ชน

เห็นท่านผู้นี้แล้ว พูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ยานประเสริฐหนอ

รูปของยานประเสริฐหนอ ดังนี้.

[๑๓] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีแล้ว

เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ

ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้

กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส

เวลาเช้าข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี

ข้าพระองค์เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ออกจากกรุงสาวัตถี ด้วยรถม้าขาวล้วน

ได้ยินว่า ม้าที่เทียมเป็นม้าขาว เครื่องประดับขาว ตัวรถขาว ประทุนรถ

ขาว เชือกขาว ด้ามปฏักขาว ร่มขาว ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้า

ขาว พัดวาลวัชนีที่ด้ามก็ขาว ชนเห็นท่านผู้นี้แล้วพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ

ทั้งหลาย ยานประเสริฐหนอ รูปของยานประเสริฐหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

พระองค์อาจทรงบัญญัติยานอันประเสริฐในธรรมวินัยนี้ได้ไหมหนอ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 12

[๑๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ อาจบัญญัติได้

คำว่ายานอันประเสริฐ เป็นชื่อของอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้เอง เรียก

กันว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถพิชัยสงความอันยอดเยี่ยมบ้าง.

[๑๕] ดูก่อนอานนท์ สัมมาทิฏฐิที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก

แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ

เป็นที่สุด.

[๑๖] ดูก่อนอานนท์ สัมมาสังกัปปะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้

มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด. มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัด

โมหะเป็นสุด.

[๑๗] ดูก่อนอานนท์ สัมมาวาจาที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก

แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ

เป็นที่สุด.

[๑๘] ดูก่อนอานนท์ สัมมากัมมันตะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้

มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัด

โมหะเป็นที่สุด.

[๑๙] ดูก่อนอานนท์ สัมมาอาชีวะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก

แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ

เป็นที่สุด.

[๒๐] ดูก่อนอานนท์ สัมมาวายามะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้

มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัด

โมหะเป็นที่สุด.

[๒๑] ดูก่อนอานนท์สัมมาสติที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว

มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.

[๒๒] ดูก่อนอานนท์ สัมมาสมาธิที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก

แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ

เป็นที่สุด.

[๒๓] ดูก่อนอานนท์ ข้อว่า ยานอันประเสริฐ เป็นชื่อของอริย-

มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้เอง เรียกกันว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง

รถพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมบ้าง นั้นพึงทราบโดยปริยายนี้แล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง

แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๒๔] อริยมรรคญาณนั้นมีธรรม คือ ศรัทธา

กับปัญญาเป็นแอก มีศรัทธาเป็นทูบ มีหิริ

เป็นงอน มีใจเป็นเชือกชัก มีสติเป็นสารถี

ผู้ควบคุม รถนี้มีศีลเป็นเครื่องประดับ มี

ฌานเป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ มี

อุเบกขากับสมาธิเป็นทูบ ความไม่อยากได้

เป็นประทุน กุลบุตรใดมีความไม่พยาบาท

ความไม่เบียดเบียน และวิเวกเป็นอาวุธ มี

ความอดทนเป็นเกราะหนัง กุลบุตรนั้น

ย่อมเป็นไปเพื่อความเกษมจากโยคะ พรหม

ยานอันยอดเยี่ยมนี้ เกิดแล้วในตนของ

บุคคลเหล่าใด บุคคลเหล่านั้นเป็นนัก-

ปราชญ์ ย่อมออกไปจากโลกโดยความแน่

ใจว่า มีชัยชนะโดยแท้.

จบพราหมณสูตรที่ ๔
เรื่อง บุคคลจะเศร้าหมองหรือผ่องแผ้วอยู่ที่จิตไม่ใช่ที่รูป

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 345

ข้อความบางตอนจาก คัททูลสูตร

สัตว์เศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง

บทว่า จิตฺตสงฺกิเลสา ความว่า ก็สัตว์ทั้งหลายแม้อาบน้ำดีแล้ว

ก็ชื่อว่าเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมองนั่นแล แต่ว่าแม้ร่างกายจะ

สกปรกก็ชื่อว่าผ่องแผ้วได้เพราะจิตผ่องแผ้ว.

ด้วยเหตุนั้น โบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า :-

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาพระคุณ

อันยิ่งใหญ่มิได้ตรัสไว้ว่า เมื่อรูปเศร้าหมอง สัตว์

ทั้งหลายจึงชื่อว่า เศร้าหมอง เมื่อรูปบริสุทธิ์ สัตว์

ทั้งหลายจึงชื่อว่า บริสุทธิ์.

(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหา

พระคุณอันยิ่งใหญ่ได้ตรัสไว้ว่า เมื่อจิตเศร้าหมอง

สัตว์ทั้งหลายจึงชื่อว่าเศร้าหมอง เมื่อจิตบริสุทธิ์

สัตว์ทั้งหลายจึงชื่อว่าบริสุทธิ์ด้วย


เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
ให้อภัยทาน อุทิศบุญกุศล ตื่นแต่ดึกมาศึกษาธรรม ฟังธรรม
สักการะพระธาตุ ถวายข้าวพระพุทธรูป
อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทาง
และวันนี้คุณแม่กับพี่สาวได้ไปปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน
อบรมวิปัสสนากรรมฐาน และววันี้ตั้งใจว่าจะเดินจงกรม
นั่งสมาธิ สวดมนต์ กำหนดอิริยาบทย่อย ศึกษาการรักษาโรค
ศึกษาธรรม ฟังธรรม เจริญสมถะภาวนา และสร้างบารมีให้ครบ
ทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย



ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสร้างอาคารเรียน
ณ โรงเรียนชุมชนบ้านเกาะสมอ ต.หัวหว้า อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
กำหนดการในวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553

เวลา 9.00 น.ตั้งกองผ้าป่า
เวลา11.00น. ถวายภัตราหารเพล
เวลา 11.30 น.ถวายผ้าป่า
เวลา 12.00น. รับประทานอาหารร่วมกัน

ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO