พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ศุกร์ 12 มี.ค. 2010 10:53 pm
"...บ่อยครั้งที่เห็นคำสอนของหลวงปู่ทวด หรือสมเด็จโตฯ เผยแพร่ออกมาเป็นล่ำเป็นสัน พอสืบค้นไปแล้วพบว่ามีที่มาจากสำนักทรงบ้าง จากการนั่งสมาธิของใครบางคนบ้าง การเผยแพร่อย่างนี้หากเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นก็จะทำให้คำพูดแท้ ๆ ของครูบาอาจารย์กับคำพูดผ่านนิมิตของใคร ๆ มาปะปนกันจนแยกไม่ออก ไม่รู้อันไหนเป็นคำสอนจริง ๆ ของท่าน ซึ่งหากพิจารณาให้ดีแล้ว โอวาทของหลวงปู่ทวดนั้นจะมีมาเผยแพร่ได้อย่างไร ในเมื่อท่านละสังขารไปตั้งกว่า ๔๐๐ ปีมาแล้ว ขนาดว่าพระดำรัสของพระมหากษัตริย์ไทยในยุคนั้นก็ยังไม่มีเหลือถึงปัจจุบันเลย..."
ความผิดพลาดในการปฏิบัติธรรมนั้นมีได้ ๒ แบบ คือ ๑. การประพฤติที่วิปริตไปจากคำสอน และ ๒. การทำคำสอนให้วิปริต
การประพฤติที่วิปริตจากคำสอน
ถือเป็นความผิดที่รุนแรงน้อยกว่าประการหลัง เพราะถือเป็นความผิดเฉพาะที่ตัวเรา ส่วนคำสอนต่าง ๆ ไม่ถูกกระทบหรือทำให้มัวหมอง
การทำคำสอนให้วิปริตไป
จัดเป็นความผิดที่รุนแรงกว่าข้อแรกอย่างมาก เพราะทำให้เนื้อตัวของคำสอนผิดเพี้ยนไป ส่งผลกระทบกับคนจำนวนมาก เพราะทำให้หลงทางหรือเสียโอกาสในสิ่งที่ควรได้ควรถึง เพราะไปหลงยึดเอาคำสอนที่ผิดมาปฏิบัติ
บุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ธรรมะคำสอน ต้องตระหนักในเรื่องความผิดพลาดทั้งสองประการข้างต้นให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประการหลัง ไม่เช่นนั้นบุญจะไม่คุ้มบาป และถือว่าขาดความเคารพครูบาอาจารย์ เพราะบางครั้งเอาคำพูดของเราไปอ้างว่าเป็นคำพูดของครูบาอาจารย์ ชนิดที่ว่า “เอาคำของเราไปใส่ปากครูอาจารย์” ทำให้คนฟังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคำพูดออกจากองค์ท่านจริง ๆ ซึ่งถึงแม้จะมีเนื้อหาเป็นธรรม (ตามทัศนะของเรา ณ วันนี้) แต่ก็จัดว่าเป็นการกระทำที่ขาดความเคารพและไม่ซื่อสัตย์ต่อครูอาจารย์
ในการเผยแพร่คำสอนของหลวงปู่หรือครูอาจารย์ท่านใดก็ตาม เราควรต้องรักษาความบริสุทธิ์ในคำพูดคำสอนของท่าน โดยจะไม่คิดเอาเอง หรือเอาความรู้ในทางนิมิตมาเผยแพร่ เพราะมันสุ่มเสี่ยงว่าจะมีอุปาทานแทรกซ้อนได้ แม้จะมีเจตนาที่บริสุทธิ์ หรือข้อความดังกล่าวแลดูเป็นอรรถเป็นธรรมก็ตาม (ถ้าแลดูเป็นอรรถเป็นธรรม ก็เผยแพร่ได้แต่ควรเผยแพร่กับบุคคลใกล้ตัวเท่านั้น มิใช่เผยแพร่กับสาธารณะ รวมทั้งต้องบอกที่มาที่ไปที่ชัดเจน ว่าไม่ได้มาจากปากท่านในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หากแต่เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นที่จิตเรา)
นอกจากนี้ หากเป็นคำสอนที่จำสืบ ๆ กันมา แต่เข้ากันไม่ได้กับคำสอนโดยรวมของท่าน เราก็ต้องละไว้ ไม่นำมาเผยแพร่ โดยให้สันนิษฐานว่ามีการจดจำและเล่าสืบ ๆ กันมาจนเกิดความคลาดเคลื่อน หรืออาจเป็นคำสอนเฉพาะบุคคลจริง ๆ ซึ่งไม่เหมาะจะเผยแพร่เป็นสาธารณะ เพราะอาจทำให้คนหมู่ใหญ่สับสน
ดังนั้น หากเราคิดว่าครูบาอาจารย์ของเรา และเป็นดั่งพ่อแม่ของเรา ก็โปรดช่วยกันรักษาความบริสุทธิ์ในคำสอนของท่าน และพิจารณากลั่นกรองให้ดีก่อนเผยแพร่ออกไป หากเป็นคำสอนที่ผุดรู้ขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน และอยากที่จะเล่าเพราะเห็นว่ามีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ก็ให้เล่าเฉพาะหมู่เพื่อนใกล้ตัว รวมทั้งควรบอกที่มาที่ไปให้ชัดเจน ไม่ควรให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด
ดังนั้น หากเคารพรักครูบาอาจารย์ของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ควรช่วยกันรักษาความบริสุทธิ์ในโอวาทของท่าน และในกรณีที่ไม่แน่ใจเพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ด้วยตนเอง ก็อาจอาศัยความเข้าใจจากการศึกษาปฏิปทาและคำสอนของท่านให้อยู่ในระดับที่พอจะวินิจฉัยได้ว่าคำสอนใดน่าจะใช่ คำสอนน่าจะไม่ใช่ เช่น
คำสอนที่ขัดกับหลักการพึ่งตนเอง
กล่าวคือมัวแต่พึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมนต์วิเศษ เพราะตลอดชีวิตของท่าน (หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ)ท่านมีแต่จะกระตุ้นให้ลูกศิษย์ไปทำงาน (ทำกรรมฐาน) ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ท่านพูดเสมอว่าท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทาง พวกเราต้องขวนขวายทำเอาเองจึงจะได้) จะโมทนาอย่างเดียว หรือเอาแต่สวดมนต์อ้อนวอนขอร้องไม่ได้
คำสอนที่ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ
กล่าวคือ ทำให้อยู่ยาก กินยาก ชิวิตที่เรียบง่ายหายไป กลายเป็นชีวิตที่ติดสุขหรือติดสิ่งอำนวยความสะดวก
คำสอนที่พาให้หลงวนเวียนในเรื่องบุญหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพลังงานลึกลับ
กล่าวคือสอนให้หมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องทาน เรื่องศรัทธา หรือเรื่องปาฏิหาริย์จนไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่เป็นคุณค่าสูงสุดนั่นคือการปฏิบัติในหลักแห่งศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อจะให้มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
คำสอนที่เน้นให้ยึดมั่นถือมั่นในตัวอาจารย์
กล่าวคือ ท่านจะไม่สอนให้เรายึดตัวบุคคลหรือยึดตัวครูอาจารย์ หากแต่ให้ยึดที่ธรรมะ ดังที่ท่านกล่าวว่า ธรรมที่ท่านให้ไว้น่ะ จงรักษาเท่าชีวิต เพราะจะเป็นที่พึ่งได้ในภายหน้า และท่านยังสอนว่าการจะไปสวรรค์นิพพาน เราต้องทำเอาเอง ท่านส่งใครไปไม่ได้ ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น
คำสอนที่มุ่งหาทางลัดตรง
กล่าวคือ มุ่งจะเอาธรรมะชั้นสูง โดยมองข้ามธรรมะพื้นฐาน คล้ายจะสร้างยอดเจดีย์โดยไม่สร้างฐานเจดีย์ให้แข็งแรงเสียก่อน หลวงปู่ทั้งสอนทั้งให้กำลังใจว่า “เบื้องต้นก็จะขึ้นยอดตาล มีหวังตกลงมาตาย หรือแข้งขาหักเท่านั้น” และ “หมั่นทำเข้าไว้ ๆ” เราจะมัวพูดถึงหรือจินตนาการในสมบัติหรือผลการปฏิบัติของครูอาจารย์ โดยที่เมื่อล้วงเข้าไปในกระเป๋าเราแล้ว กลับพบว่าแทบไม่มีสมบัติอะไร (ศีล สมาธิ และปัญญา) ติดกระเป๋าเลยนั้น ถือว่าตั้งอยู่ในความประมาทมาก
คำสอนที่ทำให้ตั้งอยู่ในความประมาทและเพื่อความเนิ่นช้า
เช่น พาให้หลงหมกมุ่นอยู่กับเครื่องเล่นต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลพลอยได้ทางสมาธิหรือแม้กระทั่งวัตถุมงคลต่าง ๆ จนแทบไม่เหลือเวลาให้กับการภาวนาละกิเลส รวมไปถึงคำสอนที่ทำให้หลงสำคัญตนว่าเป็นผู้สั่งสมบุญบารมีมาแต่เก่าก่อน ชาตินี้ทำพอเป็นนิสัยปัจจัยเพื่อรอจะไปบรรลุธรรมในยุคพระศรีอาริย์ทีเดียว ซึ่งเป็นทัศนะที่น่ากลัวที่สุด ซึ่งผู้ที่ทันหลวงปู่จะรู้ดีว่า หลวงปู่ห่วงลูกศิษย์ของท่านขนาดไหน แม้ขยันภาวนาอยู่กับท่านทุกวัน ท่านก็ยังไม่รับรองว่าจะพ้นนรกหรืออบายภูมิเลย
คำสอนของท่านมีจุดหมายปลายทางที่การเตรียมตัวตายเพื่อให้สามารถตายอย่างผู้มีชัย ด้วยการขวนขวายสร้างภูมิสมาธิและปัญญาให้พอตัว หรือปฏิบัติให้ถึงหนึ่งในสี่ (อริยบุคคลเบื้องต้น) อันเป็นเป้าหมายที่ท่านให้ลูกศิษย์ทุกคนยึดหลักนี้ไว้ให้ชัดเจน เพื่อความเที่ยงแท้แน่นอนว่าจะไม่ลงสู่อบายภูมิ โดยท่านไม่เคยสอนใครเลยว่า ปฏิบัติพอเป็นนิสัยปัจจัย เพื่อจะไปบรรลุธรรมในยุคพระศรีอาริย์ มีแต่สอนให้ปฏิบัติให้เต็มที่ หากไม่ได้ไม่ถึง อย่างน้อยสิ่งที่สั่งสมไว้ดีแล้วนี้จะช่วยให้เราได้ไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์ มิใช่มัวประมาทกินบุญเก่าอยู่
เสาร์ 13 มี.ค. 2010 10:33 am
ขอบคุณมักๆเรยครับ คำสอนที่พี่ต่อเขียนโดยเฉพาะบทความท้ายๆ
มีประโยชน์มาก นั่นแสดงให้เห็นว่า ผมก็ยังไม่พ้นนรคอยู่ดี ถ้าเป็น
แบบนี้ต่อไป
อาทิตย์ 14 มี.ค. 2010 2:20 am
ขอบคุณครับ
อาทิตย์ 14 มี.ค. 2010 3:49 am
อาทิตย์ 14 มี.ค. 2010 9:52 am
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.