พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
จันทร์ 29 มี.ค. 2010 9:23 pm
นักปฏิบัติใหม่ (รวมทั้งเก่า) จำนวนไม่น้อย ที่มีปัญหากับเรื่องกลัวผี ทำให้ไม่กล้านั่งสมาธิคนเดียว หรือไม่กล้าไปปฏิบัติที่วัดต่างจังหวัด โดยเฉพาะกุฏิเดี่ยว ๆ ยิ่งไปกางกลดด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งเพิ่งเริ่มปฏิบัติไม่นาน มากราบหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ พร้อมทั้งสารภาพกับท่านถึงสาเหตุที่ไม่ได้นั่งปฏิบัติภาวนาที่บ้านว่า เป็นเพราะนั่งปฏิบัติแล้วเกิดอาการกลัวผีอย่างมาก
- (เทียนจุดข้างหลัง).jpg (34.6 KiB) เปิดดู 690 ครั้ง
หลวงปู่อมยิ้มแล้วพูดตอบไปว่า
"ในท้องแกก็มีผีเต็มไปหมด มีทั้งผีเป็ด ผีไก่ ผีหมู สารพัดผี แกยังไม่เห็นกลัวเลย"
เด็กคนนั้นรวมทั้งศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นั่นก็พากันหัวเราะ เพราะเห็นจริงตามที่หลวงปู่กล่าว
แท้จริงแล้วถึงผีจะมีจริง แต่ตัวปัญหาที่ทำร้ายเรา ทำให้เราเป็นทุกข์กลับไม่ใช่ "ผี" หากแต่ว่าเป็น "ความกลัวผี" ต่างหาก
ผียังไม่ทันทำร้ายเรา แต่จิตที่ปรุงแต่งเป็นความกลัวผีต่างหากที่ทำร้ายเรา แถมยังทำร้ายซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ตลอดทุกนาทีตราบเท่าที่สติเราตามรู้ไม่ทัน
บางคนก็ปากเก่งบอกว่าไม่เชื่อหรอกว่าผีมีจริง แต่พอพระท่านให้ลองไปอยู่ป่าช้า ก็ไม่เอา
เรื่องที่จะรู้ใจเจ้าของเองนั้นยากเหลือเกิน เปรียบเหมือนลูกนัยน์ตาที่ไม่เห็นนัยน์ตาตัวเอง ต้องอาศัยกระจกสะท้อน
หากผู้ที่กลัวได้พิจารณาจนตระหนักว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าผีจะมีจริงหรือไม่ มันจะมาหรือไม่มาก็ตาม
แต่สิ่งที่ทำร้ายเราอยู่ขณะนี้ก็คือ "ความกลัวผี" มิใช่ "ตัวผี" และความกลัวผีนี้ เรานั่นเองที่เป็นผู้ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความอ่อนแอ ความไม่มีสติ ความไม่มีปัญญา
ลูกศิษย์หลวงปู่บางคนได้คิดเอาตอนไปฝึกหัดภาวนาตามวัดป่า ลองอยู่กุฏิโดด ๆ เพียงลำพัง ตะโกนถึงกันก็แทบไม่ได้ยิน ตกกลางคืนบรรยากาศมันชวนให้น่าสะพรึงกลัว เวลาทุกวินาทีช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า บรรยากาศมันเงียบเสียจนได้ยินเสียงชีพจรตัวเองเต้น มือที่กำพระอยู่ทำไมมันมีเหงื่อไหลจนเปียก ความขี้ขลาดขี้กลัวมันแสดงตัวออกมาชัดขึ้น ๆ
เวลาผ่านไป ๆ ดึกขนาดไหน แต่ความง่วงมันหนีหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
จึงได้เห็นอานิสงส์อย่างหนึ่งของการกลัวผี คืออย่างน้อยทำให้ความง่วงเหงาหาวนอนที่เคยเป็นนิวรณ์รบกวนเรามันถอยทัพไปได้ เพราะมีอารมณ์กลัวผีเข้ามาแทนที่นั่นเอง
พอรุ่งสางได้ยินเสียงนกสารพัดชนิด ประกอบกับแสงแดดน้อย ๆ ที่ค่อย ๆ พาดผ่านเข้ามา แถมอากาศก็เย็นสบาย ทำให้รู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน
อ้าว...ก็มันที่เดียวกันนี่นา ที่กุฏิแห่งนี้ ตอนกลางคืนน่ากลัวเหลือเกิน แต่พอถึงตอนเช้ากลับเป็นสวรรค์ขึ้นมาได้ เอ... สุดท้ายแล้ว อะไรกันแน่ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ กุฏิ(ผีสิง)หรือ ?? ถ้าใช่ มันก็น่าจะทำให้เราทุกข์อย่างเดียว ไม่ควรกลับมาทำให้เราสุขได้
เมื่อพิจารณาทบทวนดีแล้วจึงได้เรียนรู้ว่า กุฏิก็คือกุฏิ ผีก็คือผี มันไม่ได้ทำร้ายเราหรอก ตัวจิตปรุงแต่งของเราเองต่างหากที่เป็นตัวปรุงให้ทุกข์ก็ได้ ปรุงให้สุขก็ได้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเราเอง
ถ้าจะกลัวผีก็ควรกลัวตั้งแต่ผีเป็ด ผีไก่ ผีหมู ในท้องของเราอย่างที่หลวงปู่บอกสิ ทีกินเขาเข้าไปเป็นผีตั้งมากมาย ไม่เห็นคิดบ้างเลย แล้วยังจะมากลัวผีอีก คิดสอนตัวเองอย่างนี้เรื่อย ๆ จะได้ช่วยลดอาการกลัวผี ทั้งผีในตัว และผีนอกตัว
เรื่องความกลัวผีนี้ ถ้าเราไม่ฝึกหัดอบรมจิตเพื่อแก้ไขลดความขี้กลัวนี้ให้เบาบางลง มันก็มีหวังอยู่กับเราไปจนแก่จนตายนั้นแหละ จึงควรที่เราจะต้องเห็นว่ามันเป็นตัวปัญหา หรือตัวสร้างทุกข์ที่เราต้องจัดการชำระสะสางเสีย ถึงไม่หมด แต่ให้เบาบางลงบ้างก็ยังดี จึงจะไม่เสียทีที่มาเป็นศิษย์มีครูอาจารย์
จันทร์ 29 มี.ค. 2010 9:41 pm
สาธุ สาธุ ขอบพระคุณครับ
จันทร์ 29 มี.ค. 2010 10:46 pm
อนุโมทนาสาธุ ครับ
อังคาร 30 มี.ค. 2010 9:59 am
อนุโมทนาด้วยครับ
โดยความรู้สึกแล้ว ผมคิดว่า...........
คนเลว น่ากลัวกว่าผีเยอะครับ
โดยเฉพาะคนเลวที่ปั่นป่วนชาติ
ในปัจจุบันนี้ เลวบริสุทธิ์จริงๆ
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.