จำได้ว่าในสมัยเมื่อแรกศึกษาธรรมะและพระพุทธประวัติ พอศึกษาถึงตอนที่พระอานนท์มิได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ตั้งความปรารถนาที่จะมีอายุไปได้ตลอดกัปป์หนึ่งหรือกว่านั้น ก็ให้รู้สึกเสียดาย ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้มีโอกาสพบพระพุทธองค์ที่เป็นองค์จริง ๆ เพราะไปเข้าใจว่ากัปป์หนึ่งจะมีระยะเวลายาวนานเป็นหมื่นเป็นแสนปีหรือกว่านั้น
ก็จะไม่ให้เข้าใจอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมีคำอุปมาว่าระยะเวลา ๑ กัปป์ ยาวนานเท่ากับการเอาเมล็ดถั่วทิ้งลงไปในสระใหญ่กว้างลึกอย่างละ ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปีก็ใส่ลงไปเมล็ดหนึ่ง เต็มเมื่อไหร่ก็นั่นแหละ ครบ ๑ กัปป์ บ้างก็เป็นอุปมาทุกร้อยปีเอาผ้าขาวไปลูบภูเขาแท่งทึบที่มีความกว้างหนาและสูงอย่างละ ๑ โยชน์เช่นกัน ๑๐๐ ปีมาลูบทีหนึ่ง ภูเขาราบเรียบเสมอพื้นดินเมื่อไหร่ก็นั่นแหละครบ ๑ กัปป์เช่นกัน
ภายหลังมาถึงได้รู้ว่ากัปป์น่ะ มีทั้งที่เป็นโลกกัปป์ กับอายุกัปป์
ความหมายที่รับทราบสมัยเด็ก ๆ นั้น คือ โลกกัปป์ (อายุโลก)
ส่วนอายุกัปป์นั้นหมายถึงอายุของมนุษย์ (กลุ่มที่มีอายุยืนโดยเฉลี่ย) ซึ่งจะมีแนวโน้มลดเรื่อย ๆ
ในสมัยพุทธกาล อายุกัปป์ของมนุษย์อยู่ที่ ๑๐๐ ปี ส่วนคนที่มีอายุเกิน ๑ กัปป์ ดังเช่นพระอรหันต์หลายรูป ก็เช่น พระอานนท์ ซึ่งท่านมีอายุตั้ง ๑๒๐ ปี จึงนิพพาน
ทุก ๑๐๐ ปี อายุกัปป์จะลดลง ๑ ปี ตอนนี้ผ่านมาแล้วราว ๒๕๐๐ ปีเศษ ดังนั้น อายุกัปป์ของมนุษย์ก็จะลดลงไปประมาณ ๒๕ ปี แปลว่าอายุเฉลี่ยของคนที่มีอายุยืน (เฉลี่ยทั้งโลก) อยู่ที่ ๗๕ ปี ใครอยู่เกินกว่านี้ก็ให้ไปฉลองอายุเกิน ๑ กัปป์ได้
วกเข้ามาเรื่องพุทธประวัติ หากพระอานน์ได้อาราธนานิมนต์ให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อ อย่างมากพระองค์ก็สามารถโปรดสัตว์ต่อไปได้อีก ๒๐ - ๔๐ ปี (อายุ ๑๐๐ - ๑๒๐ ปี) มิใช่ว่าจะอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์อย่างที่เคยเข้าใจผิด ๆ มาแต่ครั้งก่อน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทความจากพี่สิทธิ์ เว็บหลวงพ่อดู่ดอทคอม
_________________ ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน
|