ว่าตามพระวินัย พระภิกษุทำนาไม่ได้ ขุดดิน ถอนต้นกล้า ต้นหญ้าก็ไม่ได้
ผิดพระวินัย พระภิกษุอาจทำการช่วยเหลือมารดาและบิดาได้ ตามขอบเขต
ของพระวินัยบัญญัติ ไม่ใช่ทำเหมือนคฤหัสถ์ครับ ในพระไตรปิฏกก็แสดงไว้ พระภิกษุรูปหนึ่งพรากใบไม้เขียว ก็อาบัติแล้ว และก่อนตาย จิตเศร้าหมองเพราะไม่ได้ปลงอาบัติ ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ
พระภิกษุ เป็นเพศบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่สูงกว่าคฤหัสถ์ ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุ
นั้น ท่านเป็นผู้ที่เห็นโทษเห็นภัยของอกุศล เห็นโทษเห็นภัยของการอยู่ครองเรือนว่า
เป็นที่หลั่งไหลมาของอกุศลประการต่าง ๆ มากมาย เมื่อบวชแล้ว มีความจริงใจที่จะ
ศึกษาพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว
น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ความเป็นบรรพชิตรักษายากมาก ต้องเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปจริง ๆ ถึงจะรักษาได้
ทำให้ตนเองดำรงมั่นในพระธรรมวินัยและได้ประโยชน์สูงสุดคือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่ประพฤติตามพระ
ธรรมวินัย รักษาความเป็นบรรพชิตไม่ได้ หรือ รักษาไม่ดี ย่อมเป็นที่แน่นอนว่ามีแต่จะ
คร่าไปสู่นรก เท่านั้น ซึ่งเป็นอันตรายมาก ข้อความบางตอนอยู่ในพระสุตตันตปิฎก คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๑ หน้า ๔๔๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒
หน้าที่ 448
"ตนนั่นแล บุคคลชนะแล้ว ประเสริฐ, ส่วน หมู่สัตว์นอกนี้ บุคคลชนะแล้ว ไม่ประเสริฐเลย, (เพราะ) เมื่อบุรุษฝึกตนแล้ว ประพฤติสำรวมเป็น นิตย์, เทวดา คนธรรพ์ มาร พร้อมทั้งพรหม พึง ทำความชนะของสัตว์เห็นปานนั้น ให้กลับแพ้ไม่ได้เลย."
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ตอน ๑ หน้า ๔๒๔
"เรื่องบัณฑิตจอบเหี้ยน "
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี บุรุษผู้หนึ่ง
ชื่อกุททาลบัณฑิต บวชเป็นนักบวชภายนอกอยู่ในป่าหิมวันต์ ๘ เดือน เมื่อภูมิภาคชุ่ม
ชื้น ในสมัยที่ฝนตกชุก คิดว่า " ในเรือนของเรายังมีข้าวฟ่างและลูกเดือยประมาณ
ครึ่งทะนาน และจอบเหี้ยน (อีกอันหนึ่ง), พืชคือข้าวฟ่างและลูกเดือยอย่าเสียไป"
จึงสึก เอาจอบเหี้ยนปรับพื้นที่แห่งหนึ่ง หว่านพืชนั้น ทำรั้วไว้ ในเวลาที่เมล็ดพืชแก่ก็
เหี่ยว เก็บพืชไว้ประมาณทะนานหนึ่ง เคี้ยวกินพืชที่เหลือ. ท่านคิดว่า "บัดนี้ ประ-
โยชน์อะไรด้วยเรือนของเรา, เราจักบวชอีก ๘ เดือน" จึงออกบวชแล้ว.
ท่านอาศัยข้าวฟ่างและลูกเดือยเพียงหนึ่งทะนานและจอบเหี้ยน เป็นคฤหัสถ์ ๗ ครั้ง
บวช ๗ ครั้ง โดยทำนองนี้แล แต่ในครั้งที่ ๗ คิดว่า "เราอาศัยจอบเหี้ยนอันนี้
เป็นคฤหัสถ์แล้วบวชถึง ๗ ครั้ง, เราจักทิ้งมันในที่ไหน ๆ สักแห่งหนึ่ง." ท่านไปยัง
ฝั่งแม่น้ำคงคา คิดว่า " เราเมื่อเห็นที่ตก คงต้องลงงมเอา; เราจักทิ้งมัน โดย
อาการที่เราจะไม่เห็นที่ซึ่งมันตก" จึงเอาผ้าเก่าห่อพืชประมาณทะนานหนึ่ง แล้วผูกผ้า
เก่าที่แผ่นจอบ จับจอบที่ปลายด้าม ยืนที่ฝั่งแห่งแม่น้ำ หลับตาแกว่งเวียนเหนือ
ศีรษะ ๓ ครั้ง ขว้างไปในแม่น้ำคงคา หันไปดู ไม่เห็นที่ตก ได้เปล่งเสียงว่า "เรา
ชนะแล้ว เราชนะแล้ว(ชิตํ เม ชิตํ เม)" ดังนี้ ๒ ครั้ง.
ในขณะนั้น พระเจ้ากรุงพาราณสี ทรงปราบปัจจันตชนบทให้สงบราบคาบแล้ว
เสด็จมา โปรดให้ตั้งค่ายพัก ใกล้ฝั่งแม่น้ำ เสด็จลงสู่แม่น้ำ เพื่อทรงประสงค์จะ
สรงสนาน ได้ทรงสดับเสียงนั้น. ก็ธรรมดาว่า เสียงที่ว่า " เราชนะแล้ว เราชนะ
แล้ว" ย่อมไม่พอพระหฤทัยของพระราชาทั้งหลาย. พระองค์จึงเสด็จไปยังสำนักของ
กุททาลบัณฑิตนั้น ตรัสถามว่า " เราทำการย่ำยีอมิตร มาเดี๋ยวนี้ ก็ด้วยคิดว่า 'เรา
ชนะ' ส่วนเธอร้องว่า ' เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว,' นี้ชื่อเป็นอย่างไร ?"
กุททาลบัณฑิต จึงทูลว่า "พระองค์ทรงชนะพวกโจรภายนอก, ความชนะที่
พระองค์ทรงชนะแล้ว ย่อมกลับเป็นไม่ชนะอีกได้แท้; ส่วนโจรคือความโลภ ซึ่งมี
ในภายใน อันข้าพระองค์ชนะแล้ว, โจรคือความโลภนั้น จักไม่กลับชนะข้าพระองค์
อีก ชนะโจรคือความโลภนั้นอย่างเดียวเป็นดี" ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถานี้ว่า
"ความชนะใด กลับแพ้ได้ ความชนะนั้น มิใช่-
ความชนะที่ดี, (ส่วน) ความชนะใด ไม่กลับแพ้
ความชนะนั้นแล เป็นความชนะที่ดี"
เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทานมาหลายวัน อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่และเจริญอาโปกสิน ศึกษาการรักษาโรค วันนี้ได้สนทนาธรรมกับเพื่อนกัลยาณะมิตร และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
ขอเชิญร่วมทำบุญบูชารูปเหมือนหลวงปู่เสาร์ กันตสีโร และรูปเหมือนหลวงปู่วัง ฐิติสาโร ขนาดหน้าตัก 7 นิ้ว เพื่อสมทบทุนบูรณะศาลาอนุสรณ์หลวงปู่วัง ฐิติสาโร บนยอดภูลังกา
โทร. 083 - 3755761
|