พฤหัสฯ. 20 พ.ย. 2008 6:03 pm
เป็นธรรมดาที่คนปฏิบัติกรรมฐานย่อมอาจสัมผัสถึงพุทธคุณที่อยู่ในพระเครื่องพระบูชา ซึ่งในสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เคยให้ลูกศิษย์เอาพระมากำแล้วอธิษฐานขอชมบารมีในองค์พระ เวลาปีติเกิดขึ้นที่ผู้กำพระ หลวงปู่ก็จะทราบได้ ท่านจะบอกเลยว่าขณะนี้ปีติขึ้นมาตามแขนแล้วนะ ขึ้นมาที่หลังที่คอ กระทั่งถึงศีรษะ ฯลฯ ท่านทราบชัดกว่าเจ้าตัวเสียอีก สุดท้ายท่านก็มักสรุปว่า ทำเพื่อให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใสในคุณพระว่ามีอยู่จริง (ท่านไม่เคยบอกว่าเก่งหรือดีเพราะการเช็คพระ เพราะจะเก่งจะดีได้ ก็ด้วยจิตที่เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยต่างหาก)
การขอชมบารมีในองค์พระในสมัยนั้น โดยมากมักทำต่อหน้าหลวงปู่ และหลวงปู่เป็นผู้พาทำ เพราะถ้าทำไม่ถูกต้อง มันอาจสุ่มเสี่ยงต่อการปรามาสพระ เช่น แทนที่จะเป็นการขอชมบารมีเพื่อสร้างความเลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นการเปรียบเทียบพลังในองค์พระว่าองค์นี้เก่งกว่าองค์นั้น องค์นั้นยังไม่ดี ฯลฯ นี่หากว่าพระองค์นั้นเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ผู้ที่ปรามาสก็อาจมีบาปกรรมติดตัวโดยไม่จำเป็น ทั้ง ๆ ที่การขอชมบารมีนั้น แต่เดิมเราต้องอาศัยบารมีหลวงปู่ช่วยเปิดให้ แต่ทีนี้ เกิดการอวดเก่งจะกระทำเอง ก็เลยพลาดเพราะความที่จิตเจ้าของยังไม่พ้นจากสิ่งที่เรียกว่า อคติ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
มีศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ท่านหนึ่ง มีความสนุกเพลินกับการเช็คพระทั้งของตัวเอง รวมไปถึงของพรรคพวกเพื่อนฝูง กระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนสนิทคนหนึ่งนึกอยากลองของ จึงเอาพระเครื่อง 2 องค์ที่มั่นใจในพุทธคุณ กับก้อนพลาสติกอีก 1 ชิ้น ทั้งหมดรวมเป็น 3 ชิ้น ห่อทิชชู่แยกกันไว้ แล้วส่งให้นักเช็คพระ เช็คทีละองค์โดยไม่อาจทราบได้ว่าข้างในเป็นอะไร
นักเช็คคนนั้นเมื่อจับเอาองค์พระองค์ที่ 1 และ 2 ก็เกิดปีติไปตามลำดับ กล่าวยืนยันว่าดี ๆ พอถึงชิ้นที่ 3 ซึ่งเป็นพลาสติก เมื่อกำแล้วก็ยังกล่าวว่าปีติแรงเหลือเกิน ดีจริง ๆ แล้วให้เปิดทิชชู่ออกมาให้ชมหน่อยว่าเป็นพระเครื่องวัดไหน เพื่อนสนิทเจ้าของก้อนพลาสติกนั้นก็ไม่อยากให้เพื่อนเสียหน้าจึงบ่ายเบี่ยง แต่เมื่อถูกรบเร้ามากเข้าก็เลยจำต้องเปิดห่อทิชชูออกให้ดู ผลจะเป็นอย่างไรคงไม่ต้องอธิบายต่อ
นี่แหละ การจะทำอะไรไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และควรเป็นเป้าหมายที่ถูกที่ควรเป็นอันดับแรก ดังนั้น การสัมผัสพลังพระเพื่อจะเช็คคุณธรรมท่าน จึงถือว่าผิดตั้งแต่แรกแล้ว รวมทั้งโอกาสที่สัมผัสไม่ตรงตามความเป็นจริงก็มีสูง เพราะจิตของเราไม่เป็นกลาง (คือมีอคติ) อันอาจเกิดจากปีติที่ต่อเนื่องกันมา แล้วเจ้าตัวไม่สามารถจะปล่อยวางให้จิตกลับไปสู่ภาวะกลาง ๆ เพื่อการเริ่มต้นขอชมบารมีใหม่ หรือไม่ก็เพราะจิตคิดเลยองค์พระที่อยู่ในกำมือ ออกไปถึงหลวงพ่อหลวงปู่ที่เราคิดว่าเป็นผู้เสก เมื่อเลยไปถึงองค์จริงท่านดังนั้นแล้ว ทำไมปีติจะไม่เกิดล่ะ หากแต่เป็นปีติอันเกิดจากการระลึกถึงองค์หลวงพ่อหลวงปู่ มิใช่จากวัตถุมงคลในกำมือเรา