จันทร์ 05 ม.ค. 2009 5:14 pm
- lp7.jpg (59.41 KiB) เปิดดู 1255 ครั้ง
ในสมัยก่อน เวลาหลวงปู่กล่าวสอนธรรมเสร็จแล้ว บางครั้งหลวงปู่จะพูดปิดท้ายว่า
"ที่พูดมานี้ ข้าโกหกทั้งนั้น" ทำเอาลูกศิษย์งงไปตาม ๆ กัน
การปฏิบัติธรรมนั้นไม่เหมือนกับการศึกษาในทางโลก ๆ ที่เมื่อท่องจำ หรือคิดนึกให้เข้าใจตามหลักตรรกะแล้วก็เป็นอันสำเร็จวิชา แต่ในทางธรรมนั้น ท่านมุ่งผลการปฏิบัติที่ประจักษ์แจ้งแก่จิตเจ้าของเป็นสำคัญ เพียงแค่ว่าจำได้ หรือเข้าใจจากการใคร่ครวญเอานั้นยังไม่พอ มันยังไม่ใช่
"ภาวนามยปัญญา"ดังนั้น สิ่งที่หลวงปู่กล่าว จึงเป็นความจริงที่หลวงปู่ มิใช่ความจริงที่ใจลูกศิษย์
และตราบใดที่ความจริงนั้นยังไม่ปรากฏที่ใจลูกศิษย์ ตราบนั้นก็ได้ชื่อว่าหลวงปู่พูดโกหก เพราะลูกศิษย์ยังมิได้รู้เห็นตามท่าน
คนรู้มากแล้วทิฏฐิมานะมากตาม อันนี้เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างดีว่าได้แต่ความจำ ยังไม่ได้ความจริง เพราะหากได้ธรรมของจริง กิเลสต่าง ๆ ก็ควรเบาบาง
เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์แสดงธรรมเสร็จ ตรัสถามพระสารีบุตรว่าเชื่อหรือไม่ พระสารีบุตรทูลว่า ข้าพระองค์ยังไม่เชื่อ เท่านั้นแหล่ะ เหล่าภิกษุสงฆ์ก็พากันตำหนิพระสารีบุตร พระพุทธองค์ต้องการให้เหล่าภิกษุสงฆ์ได้ทราบถึงคุณธรรมของพระสารีบุตร จึงกล่าวถามเหตุผลของพระสารีบุตรว่าทำไมจึงยังไม่เชื่อ พระสารีบุตรจึงทูลว่า เพราะข้าพระองค์ยังมิได้น้อมนำคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติให้แจ่มแจ้งในตน พระพุทธองค์จึงกล่าวสาธุการ
เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ฯ เคยกล่าวว่า
"ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"สิ่งที่พูดออกมา เป็นแค่ชื่อเรียกหรือคำบรรยาย แต่ของจริงต้องเป็นสภาวะที่ปรากฏแก่ใจเจ้าของ
เล่ามาให้ผู้ไม่ทันหลวงปู่ได้ทราบปฏิปทาของท่านที่มุ่งธรรมะภาคสนาม คือการปฏิบัติให้ธรรมแท้ปรากฏแก่จิตเจ้าของ มิใช่ศึกษาเพียงเพื่อแค่รู้จักหรือจดจำได้
หลวงปู่เคยอุปมาไว้ว่าเหมือนเราเอาน้ำใส่กาไปต้ม ต้มแล้วตั้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้เอาไปชงชา กาแฟ สุกท้ายน้ำก็เย็นลงดังเดิม เสียถ่าน เสียเวลา ฯลฯ ไปเปล่า ๆ ในเมื่อเราได้มาทันคำสอนของหลวงปู่แล้ว ก็ขอให้อย่าขาดทุนกำไร รีบน้อมนำคำสอนของท่านมาปฏิบัติให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้านะ