พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พฤหัสฯ. 23 ก.พ. 2012 4:39 am
และปรึกษาหารือกันเสมอ ผู้มีปัญหาจำเพาะตน ก็เรียนศึกษา
อาจารย์ตามจุดที่สงสัยในโอกาสอันควร เมื่อท่านชี้แจงให้ฟังเป็นที่
เข้าใจแล้วก็นำไปปฏิบัติ พยายามทำความรู้ความเห็นและการปฏิบัติ
ให้เป็นไปตามแนวทางที่ท่านแนะนำแล้ว ถ้ามีข้อข้องใจในวาระ
ต่อไปก็เรียนศึกษาท่านอีก นักปฏิบัติรูปอื่นก็ปฏิบัติโดยทำนอง
เดียวกันในเวลาเกิดข้อข้องใจขึ้นมา ไม่ให้เก็บความสงสัยนั้น ๆ
หมักหมมเอาไว้ ซึ่งเป็นการชักช้าต่อทางดำเนิน หรืออาจเป็นภัย
แก่ตนเองได้ เพราะเป็นทางไม่เคยเดิน ซึ่งอาจมีผิดพลาดได้โดย
เจ้าตัวไม่รู้ คณะปฏิบัติท่านถือกันอย่างนี้ ใครมีอะไรก็เปิดเผยต่อครู
อาจารย์หรือหมู่เพื่อนที่เห็นว่าจะพอแก้ไขความสงสัยได้
ในวงปฏิบัติท่านอยู่ร่วมกันด้วยความหวังพึ่งกันจริง ๆ
ไม่สักแต่อยู่ ความเกี่ยวเนื่องในการเป็นอยู่ระหว่างกันและกัน ท่าน
มีความสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกต่อกันมาก นับแต่อาจารย์
ลงมาถึงเพื่อนพรหมจรรย์ด้วยกัน มีความเคารพรักกันมาก เมื่อมี
สิ่งจะควรปรึกษาปรารภกัน ต่างหวังความรู้ความเข้าใจต่อกันจริง ๆ
โดยไม่มีทิฐิมานะใด ๆ แฝงอยู่ การอยู่ร่วมกันจึงเป็นความร่มเย็น
ผาสุก ไม่ค่อยมีเรื่องราวเกิดขึ้นในวงปฏิบัติ ความพร้อมเพรียง
สามัคคีกัน ความเมตตาเฉลี่ยเผื่อแผ่กันด้วยสังคหวัตถุและ
อรรถธรรมต่าง ๆ ความยอมตนต่อกัน นับว่าท่านปฏิบัติได้ดีเป็น
ที่น่าเลื่อมใส ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยมีความเคารพกันตามอายุพรรษาและ
คุณธรรม ไม่มีอาการจองหองพองตัว มีแต่ความอ่อนน้อมถ่อมตน
เจียมตัวอันเป็นมรรยาทดีงามต่อกันเป็นนิสัย อยู่ร่วมกันด้วยความ
หวังพึ่งสุขพึ่งทุกข์พึ่งเป็นพึ่งตายกันจริง ๆ ประหนึ่งเป็นอวัยวะอัน
เดียวกันปัจจัยสี่ที่เกิดขึ้นมีมากน้อยภายในวัด ท่านจัดการเฉลี่ย
เผื่อแผ่ให้ทั่วถึงพระภิกษุสามเณรทั่วทั้งวัด นอกจากสิ่งของมีน้อย
ไม่สามารถแจกจ่ายให้ทั่วถึง ก็แจกให้เฉพาะท่านที่จำเป็นไปก่อน
เมื่อเกิดมีขึ้นทีหลังค่อยพิจารณากันต่อไปตามความจำเป็นของผู้ที่จะ
ควรได้รับก่อนแลหลัง และพยายามแจกจ่ายให้ทั่วถึงตามปัจจัยสี่มี
มากน้อย สิ่งของที่มีผู้ถวาย พระเถระที่เป็นหัวหน้า จะต้องเรียก
พระในวัดมาจัดการแจกแบ่งให้ทั่วถึงพระเณรด้วยใจเมตตา ราวกับ
เป็นลูกในหัวอกของท่านเองจริง ๆ ความรักสงสารพระเณรตลอด
การวางตัว ท่านทำเหมือนพ่อแม่กับลูกปฏิบัติต่อกัน เป็นแต่ท่าน
ไม่นำกิริยาโลกของพ่อแม่กับลูกที่อาจมีการหยอกเล่นกัน ตาม
ประสาของความรักสงสารกันมาใช้ในวงศาสนาเท่านั้น
การดูแลสอดส่องมรรยาทอัธยาศัยของพระเณรในปกครอง
และการแนะนำสั่งสอนตักเตือนว่ากล่าว ท่านถือเป็นกิจสำคัญ
ประจำหน้าที่ไม่ให้บกพร่องตลอดไป แม้พระเณรในปกครองก็กลัว
อาจารย์มาก เคารพมาก รักมาก เลื่อมใสมากพอ ๆ กัน ทางฝ่าย
อาจารย์ก็เมตตารักสงวนมากเช่นกัน ใครผิดต้องเรียกมาว่ากล่าว
สั่งสอนและดุด่าโดยไม่มีการเกรงใจใด ๆ เลย เพราะถือเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกันอย่างสนิท ชนิดแยกไม่ออกด้วยกันทั้งสองฝ่าย การ
ปกครองจึงง่ายเพราะต่างฝ่ายต่างเป็นธรรมด้วยกัน การทำผิดด้วย
เจตนานั้นคณะปฏิบัติถือกันมาก แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ไม่เป็นที่
ไว้วางใจครูอาจารย์และหมู่เพื่อนเลย นอกจากระบายรายนั้นออก
เสีย หมู่คณะจึงจะมีความสงบสุข ที่ท่านแสดงความรังเกียจผู้ทำผิด
ด้วยเจตนานั้นเป็นความชอบธรรมแล้ว เพราะคนเราเมื่อผิดด้วย
เจตนา แม้ในเรื่องเพียงเล็กน้อย ก็คงเพื่อเรื่องใหญ่ในวาระต่อไปอย่างไม่สงสัย ที่ท่านพยายามตัดต้นเพลิงเสียแต่ต้นมือ จึงเป็น
สามีจิกรรมที่ควรเห็นด้วย
การประชุมฟังการอบรม ในพรรษาโดยมากเจ็ดวันต่อครั้ง
ดังที่เขียนไว้ในประวัติท่านพระอาจารย์มั่น วันธรรมดาท่านผู้ใด
มีข้อข้องใจจะไปเรียนถามท่านก็ได้ตามโอกาสที่ท่านว่าง เวลาพัก
อยู่ในสำนัก ท่านต่างองค์ต่างหาที่เหมาะสมในป่านอกวัดเป็นที่
เดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาตามอัธยาศัยทั้งกลางวันกลางคืน
หลายรายเวลานอกพรรษาท่านชอบออกไปแขวนกลดอยู่ห่าง ๆ
จากสำนักเพื่อสะดวกแก่ความเพียร แต่เวลาปัดกวาดลานวัดและทำ
กิจต่าง ๆ ตลอดการบิณฑบาตการขบฉัน ท่านมารวมกับหมู่คณะ
เป็นปกติ การเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิภาวนาของท่าน ไม่มีกำหนด
เวลาตายตัวว่าต้องทำเวลาใดเท่านั้น พอว่างเมื่อไรท่านก็ทำของ
ท่านเมื่อนั้น
การกำหนดเดินหรือนั่งทำความเพียรนานเท่าไรก็เช่นกัน
ไม่มีกำหนดตายตัว บางองค์ท่านเดินจงกรมแต่หัวค่ำจนสว่างก็มี ใน
บางคืนเดิน ๒, ๓, ๔, ๕ ชั่วโมงก็มี ๖, ๗ ชั่วโมงก็มี การนั่ง
สำหรับผู้ฝึกหัดใหม่ นั่งได้ราวชั่วโมงและค่อยเขยิบขึ้นไปเรื่อย ๆ
ตามความชำนาญและความสามารถทางจิตใจ ผู้ที่เคยนั่งอยู่แล้ว
ก็นั่งได้นาน ยิ่งจิตมีภูมิสมาธิหรือปัญญาด้วยแล้วก็ยิ่งนั่งได้นาน
ครั้งหนึ่ง ๆ ตั้ง ๓, ๔ ชั่วโมงบ้าง ๕, ๖ ชั่วโมงบ้าง ๗, ๘ ชั่วโมง
บ้าง นั่งได้ตลอดรุ่งบ้าง การเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิภาวนาครั้งละ
๓, ๔, ๕ ชั่วโมงสำหรับท่านที่เคยทำมาเป็นประจำแล้ว ท่านถือ
เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไม่มีการเจ็บปวดเมื่อยขบอะไรเลย เพราะการ
เดินหรือการนั่งก็เพื่อปฏิบัติต่อจิตใจโดยเฉพาะ และมีความสนใจต่องานทางใจ มากกว่าจะมาสนใจกังวลกับความเจ็บปวดต่าง ๆ ของ
ร่างกาย ฉะนั้น เวทนาทางกายจึงไม่ค่อยรบกวนท่านเหมือนนั่ง
ธรรมดาไม่ได้ภาวนา
ท่านที่มีภูมิจิตสูงทางสมาธิ เวลาเข้าที่ภาวนา พอจิตรวมลง
แล้ว พักอยู่เป็นเวลาตั้งหลาย ๆ ชั่วโมงจึงถอนขึ้นมา เช่นนี้เวทนา
ไม่มีมารบกวนได้ ถ้าจิตยังไม่ถอนขึ้นมาตราบใด เวทนาก็ยังไม่เกิด
อยู่ตราบนั้น ด้วยเหตุนี้การเดินหรือการนั่งของผู้มีภูมิจิตกับผู้ยังไม่มี
ภูมิจิตจึงต่างกันอยู่มาก ในบุคคลคน ๆ เดียวกันนั่นแล เดินจงกรม
หรือนั่งสมาธิทั้งที่จิตยังไม่มีภูมิธรรมอะไรเลย กับเวลาจิตมีภูมิธรรม
แล้วยังต่างกันอยู่มากมาย เช่น เวลาฝึกหัดใหม่ ๆ เดินหรือนั่ง
เพียงชั่วโมงเดียวก็แย่อยู่แล้ว พอจิตมีภูมิธรรมแล้ว เดินหรือนั่ง
ตั้งหลาย ๆ ชั่วโมงก็ไม่มีเวทนามารบกวน จึงทำให้เห็นได้ชัดว่า
เรื่องใหญ่ขึ้นอยู่กับใจมากกว่ากาย อีกประการหนึ่ง อากาศพอเย็น
สบายหรือมีฝนพรำเล็กน้อย ทำให้ร่างกายสบาย จิตใจปลอดโปร่งดี
ขณะเข้าที่ภาวนา จิตจะผิดปกติกว่าเดิมทั้งทางสมาธิและทางปัญญา
คือ จิตจะลงได้เร็วและพักอยู่ได้นานจึงจะถอนขึ้นมา ขณะจิตถอน
ขึ้นมาร่างกายจะไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ไหนเลย ใจจึงสำคัญในตัวคน
ท่านทำความเพียร ท่านทำอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งหน้าต่อ
งานในหน้าที่อันเดียว ไม่มีอะไรมายุ่งเกี่ยว ความเพียรจึงสืบต่อกัน
ทั้งเหตุแลผลกลมกลืนไปโดยสม่ำเสมอ ความเจริญทางใจก็ปรากฏ
ชัดขึ้นทุกระยะ จะเป็นสมาธิก็ทราบชัดว่าจิตลงได้ละเอียดลออ
ทางปัญญาก็ทราบชัดว่า มีความแยบคายไปทุกระยะที่เกี่ยวข้องกับ
อารมณ์ เครื่องพิจารณาใจก็ค่อย ๆ ผุดโผล่ขึ้นจากเปือกตมคือ
กิเลสชนิดต่าง ๆ โดยลำดับ เหมือนพระอาทิตย์อุทัยขึ้นจากพื้นพิภพส่องแสงสว่างมาสู่โลกฉะนั้น ผลเหล่านี้แลทำให้ท่านนักปฏิบัติ
ทั้งหลายเพลินในความเพียรจนลืมมืดลืมสว่าง ลืมวันคืนเดือนปี
นาทีโมง เพราะความไม่สนใจคำนึง สิ่งที่จดจ่อต่อเนื่องอยู่ตลอด
เวลา ก็คือความเพียรกับสติปัญญา ที่จะนำชัยชนะมาสู่ตนอยู่
ทุกระยะที่บำเพ็ญ เห็นความพ้นทุกข์ปรากฏอยู่กับใจดวงกำลังถูก
เวิกจอกแหนคือกิเลสชนิดต่าง ๆ ที่ปกคลุมออกด้วยสติปัญญา
ไม่ขาดวรรคขาดตอน นั่งอยู่ก็เวิก ยืนอยู่ก็เวิก เดินอยู่ก็เวิก
นอนอยู่ก็เวิก เว้นแต่หลับ พอตื่นนอนขึ้นมาก็เตรียมเวิกจอกแหน
คือกิเลสออกจากใจเท่านั้น เป็นกิจที่จำเป็นคู่กับชีวิตท่านจริง ๆ
บรรดาครูอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา ก่อนจะได้มาเป็นอาจารย์
สั่งสอนประชาชน รู้สึกมีความเข้มแข็งบึกบึนและได้รับความทุกข์
ลำบากจากการฝึกทรมานคล้ายคลึงกัน ทั้งที่ล่วงไปแล้วและยังมีชีวิต
อยู่ ฉะนั้นผู้มีความมุ่งหวังต่อธรรมดังที่ท่านรู้เห็นและแสดงให้ฟัง
จึงไม่ควรปฏิบัติลัดคิวเอาตามใจชอบแบบที่โลกเขาทำกันได้ผล ควร
ทราบว่าธรรมกับโลกผิดกันมาก ถ้าไม่เดินตามแบบที่ท่านพาดำเนิน
มา แต่จะเอาความสะดวกเข้าว่าแบบลัดคิวให้เป็นธรรมสมัยใหม่
ขึ้นมาในใจนั้น น่าจะไม่มีหวัง เพราะธรรมมิได้เป็นไปตามสมัย
เก่าและใหม่ แต่ธรรมก็คือธรรม โลกก็คือโลกมาดั้งเดิมมิได้
เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติธรรมจึงควรดำเนินตามเหตุที่เหมาะสม
ผลที่พึงหวังจึงจะมีทางเกิดได้
การจะดัดแปลงธรรมเอาตามชอบใจ ไม่คำนึงดูความควร
หรือไม่ควร จึงเป็นเหมือนการปฏิบัติแบบลัดคิว ส่วนผลที่มุ่งหวังจะ
เป็นความขาดคิวหรือตกรอบไปใช้ไม่ได้จะเกิดความเสียใจ และเหมา
เอาว่าตนทำรอดตายไม่ได้รับผลเท่าที่ควร ไม่ทำเสียดีกว่า คำว่า“ดีกว่า” ด้วยการไม่ทำ เพราะความเข้าใจผิด ก็จะกลายเป็นพิษ
เผาตนไปนาน กลายเป็นผิดสองซ้ำย้ำสองหน ซึ่งล้วนเป็นการ
ทำลายตนให้เสียไปเปล่า เพราะความมักง่ายชอบปฏิบัติแบบลัดคิว
จึงขอเตือนไว้พอเป็นข้อคิดว่า ธรรมเป็นธรรมชาติที่มีกฎ
เกณฑ์ทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล ผู้บำเพ็ญธรรมเพื่อหวังประโยชน์และ
ความเป็นสิริมงคลแก่ตน จึงควรสังเกตวิธีปฏิบัติด้วยดี ไม่เห็นแก่ได้
แก่การกระทำอันเป็นลักษณะแผลง ๆ แฝงเข้ามาในวงการปฏิบัติ
เนื่องจากความเป็นคนสมัยใหม่ และอยากดังเป็นตัวจักรพาหมุน
ให้ผิดทาง ปราชญ์ที่ท่านปฏิบัติและรู้เห็นมาก่อนจึงเลือกเฟ้นแล้ว
เฟ้นเล่าด้วยปัญญาอันแหลมหลัก กว่าจะนำธรรมออกในนาม
สวากขาตธรรมว่าตรัสไว้ชอบแล้ว ถูกต้องสมบูรณ์เต็มที่แล้ว
เหมาะสมแก่กาลสถานที่และสมัยธรรมนิยมเต็มที่แล้ว สมบูรณ์ทั้ง
อรรถทั้งพยัญชนะ ถือเอาใจความก็ว่า สมบูรณ์เต็มที่แล้วทั้งเหตุ
และผล ควรแก่การปฏิบัติตามไม่มีเคลือบแคลงสงสัย
ผลที่จะพึงได้รับก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากความสุขความสมหวัง
ไปโดยลำดับ นับแต่ขั้นกัลยาณธรรมถึงขั้นอริยธรรม ถ้าเป็นนาม
ของผู้ได้รับผลก็เป็นกัลยาณชนและอริยชนไปตามลำดับ จนถึง
อรหันตบุคคล ไม่มีบกพร่องทางคุณธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติเป็น
มัชฌิมา ผู้ปฏิบัติเป็นมัชฌิมาตามหลักธรรมมีแสดงไว้ว่าศีล
สมาธิ ปัญญา คือ กาลที่ควรมีศีลก็ควรสนใจในศีล กาลที่ควรมี
สมาธิความสงบใจก็ควรสนใจในการทำสมาธิให้เกิด กาลที่ควร
มีปัญญาก็ควรเจริญปัญญาให้เกิด ไม่ส่งเสริมหรือลบล้างส่วน
ใดส่วนหนึ่งให้เสียไป อันเป็นการลบล้างตนให้เสียไปในขณะ
เดียวกัน เพราะศีล สมาธิ ปัญญาเป็นธรรมสมบัติเกี่ยวเนื่องกันที่ผู้ปฏิบัติจะควรสนใจเสมอกันตามกาลเวลาที่ควรจะเจริญในธรรม
ใดเวลาใด ไม่เป็นสิ่งที่ควรผลักออกหรือคัดเลือกเอาตามชอบใจ อัน
เป็นความเห็นผิด
เนื่องจากธรรมทั้งนี้มิใช่สมบัติต่างชนิดกัน โดยเป็นกองเงิน
กองทอง และกองเพชรนิลจินดา ว่าตนชอบสิ่งนั้นไม่ชอบสิ่งนี้แล้ว
ตัดออก แต่เพราะศีล สมาธิ ปัญญาเป็นคุณธรรมเกี่ยวเนื่องกันกับ
การปฏิบัติของผู้ต้องการคุณธรรมนั้น ๆ จะควรปฏิบัติให้กลมกลืน
กันไปตามความจำเป็นของศีล สมาธิ ปัญญาแต่ละประเภท คือศีล
นั้นเป็นพื้นของผู้มีศีลที่รักษาอยู่ประจำ ส่วนสมาธิกับปัญญานั้นจะ
ควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสม เพื่อกำลังจะได้เพิ่มขึ้นเป็นคู่เคียง
กันไปไม่ให้บกพร่องด้านใดด้านหนึ่ง การปฏิบัติต่อธรรมทั้งสอง
ประเภทนี้มีดังนี้ คือ ถ้าสมาธิยังไม่มีเลย ก็ควรพยายามให้มีขึ้น
ด้วยการบริกรรมภาวนาหรือวิธีใดที่ถูกกับจริตนิสัยซึ่งควรจะ
ทำให้สมาธิเกิดขึ้นได้ ถ้ามีบ้างแล้วก็ควรเจริญวิปัสสนาปัญญา
ไปด้วยกัน ตามโอกาสที่สมาธิถอนขึ้นมาและมีกำลังพอควรแล้ว
การพิจารณาทางปัญญานั้นควรแยกแยะธาตุขันธ์ มีรูป
ขันธ์เป็นต้น ออกพิจารณาโดยอนุโลมปฏิโลมถอยหน้าถอยหลัง
กลับไปมา โดยทางปฏิกูลหรือทางไตรลักษณ์ จนมีความชำนิ
ชำนาญคล่องแคล่ว อันดับต่อไปก็พักจิตโดยทางสมาธิดังที่เคย
ทำมา อย่างนี้เรียกว่าการบำเพ็ญสมาธิและปัญญาให้เป็นไป
โดยสม่ำเสมอ ไม่หย่อนในธรรมนั้นยิ่งในธรรมนี้ เพราะสมาธิ
กับปัญญาทั้งสองนี้เป็นธรรมพยุงจิตให้เจริญขึ้นโดยลำดับไม่มีวัน
เสื่อมคลาย ผู้บำเพ็ญจึงควรสนใจทั้งสองอย่างให้สม่ำเสมอกันแต่ต้น
จนอวสานแห่งการบำเพ็ญเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มิใช่ธรรมล้าสมัยและมิใช่
ธรรมเลยสมัย แต่เป็นธรรมที่เหมาะกับทุกยุคทุกสมัยตลอดมาและ
ตลอดไปเป็นอนันตกาล ไม่มีกาลสถานที่และบุคคลมาบังคับให้
ธรรมเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นธรรมที่เหมาะกับ
กิเลสทุกประเภทที่มีอยู่ในใจสัตว์ไม่มีสิ่งใดยิ่งไปกว่า ผู้ปฏิบัติจึงควร
ทำให้เหมาะสมกับธรรมที่จะนำไปแก้กิเลสชนิดต่าง ๆ ให้หลุดลอย
ไปจากใจเป็นพัก ๆ คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นธรรมที่
แหลมคมยิ่งในศาสนา ที่ใช้เป็นเครื่องมือแก้กิเลสทุกประเภทให้
หมดสิ้นไป ไม่มีกิเลสตัวใดเหนืออำนาจธรรมนี้ไปได้ และธรรม
ทั้งสามนี้เป็นธรรมเกี่ยวเนื่องกัน จะแยกเอาแต่ธรรมใดธรรมหนึ่งไป
แก้กิเลสให้สิ้นไปโดยสิ้นเชิงย่อมไม่ได้ ต้องพร้อมองค์กัน
การเขียนปฏิปทาของพระธุดงค์ รู้สึกสับสนวกเวียน ทำให้
ท่านผู้อ่านเวียนศีรษะไปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากการปฏิบัติของท่านมี
หลายแขนง และรวมคำว่าปฏิปทาของพระธุดงค์ไว้ด้วย จึงได้แยก
ออกแสดงเป็นแขนง ๆ ของแต่ละท่านที่ฝึกทรมานตน เพียงการอยู่
ป่าของท่านก็ยังเขียนไม่จบ จำต้องพักไว้เขียนเรื่องอื่นที่เกี่ยวเนื่อง
กันไปก่อน แล้วค่อยวกมาเขียนต่ออีก จึงขออภัยท่านผู้อ่านไว้ด้วย
ที่เรื่องหนึ่ง ๆ ควรจะจบแต่ก็ยังจบไม่ได้ดังที่เรียนแล้ว
บัดนี้จะเริ่มเรื่องการฝึกทรมานตนโดยวิธีต่าง ๆ ของท่าน
ต่อไปอีก คือท่านที่ทรมานตนด้วยวิธีใดรู้สึกว่าได้กำลังใจกว่าวิธี
อื่น ๆ ท่านก็สนใจทรมานวิธีนั้นต่อไปไม่ลดละ จนเป็นที่แน่ใจว่า
จิตไม่แสดงอาการพยศอีก เวลาไปอยู่ตามสถานที่ดังกล่าวเป็น
ความรู้สึกธรรมดาเหมือนสถานที่ทั่ว ๆ ไป แล้วท่านถึงจะหยุดการ
ทรมานแบบนั้น และบำเพ็ญไปตามปกติธรรมดา
เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ