นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 6:56 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 28 ก.พ. 2012 4:33 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4803
อย่างหายกังวล ไม่คิดเป็นอารมณ์ห่วงใยผูกพันกับใครและสิ่งใด
นอกไปจากธรรมที่กำลังขุดค้นบำเพ็ญอยู่
ผ้าบังสุกุลในสมัยนั้นรู้สึกจะเป็นผ้าที่ไร้คุณค่าและความหมาย
จริง ๆ เช่น ผ้าพันศพ ผ้าที่ทิ้งอยู่ตามถนนหนทาง มิใช่ผ้าที่ศรัทธา
ตั้งใจถวายเป็นผ้าบังสุกุลดังที่เป็นอยู่ในเมืองเราทุกวันนี้ ผู้ที่สามารถ
ชักผ้าชนิดนั้นได้ก็ต้องเป็นผู้ตั้งหน้าสละความนิยมจากทางโลก
เปลี่ยนใจออกมาเป็นความมีคุณค่าและความมุ่งหมายในทางธรรม
นับแต่ชีวิตอัตภาพร่างกายลมหายใจทุกส่วน มอบเป็น พุทธทาส
ธรรมทาส สังฆทาส ด้วยความเทิดทูนโดยสิ้นเชิง การสลัดปัดทิ้ง
ซึ่งความมีคุณค่าและความนิยมทั้งหลายที่นับถือกัน แทนที่จะเป็น
ผู้หมดคุณค่าและความนิยมดังที่เข้าใจกัน แต่ใจกลับมีคุณค่าขึ้นมา
อย่างอัศจรรย์ผิดคาด เช่น พระพุทธเจ้าขณะที่สละราชสมบัติออก
ทรงผนวชที่เรียกว่าหมดคุณค่าแห่งความนิยมนับถือของโลกสมัยนั้น
แต่ผลกลับปรากฏขึ้นอย่างผิดคาดหมาย คือได้เป็นศาสดาของโลก
ทั้งสามมาจนปัจจุบันนี้ ซึ่งหมดทางที่จะแย้งได้ ธุดงควัตรที่เป็น
เครื่องพร่ำสอนพระให้ทำตนเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว ก็มีความมุ่งหมาย
ทำนองนั้นเหมือนกัน คือ เพื่อคุณค่าทางจิตใจ
ธุดงค์ข้ออยู่ป่าเป็นวัตร การอยู่ป่าเป็นวัตรเป็นธรรมเนียม
ของพระธุดงคกรรมฐานที่เคยปฏิบัติกันมา ในสายตาของท่าน
อาจารย์มั่น ท่านถือเป็นธุดงค์สำคัญข้อหนึ่งในบรรดาธุดงค์ทั้งหลาย
ธุดงค์ที่ท่านปฏิบัติกันมากมาเป็นประจำคือ ข้ออยู่ป่าเป็นวัตร
อยู่รุกขมูลร่มไม้เป็นวัตร ถือการบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันหนเดียว
เป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร แต่มิได้
ปฏิเสธคหบดีจีวรที่ท่านผู้มีศรัทธาถวาย สำหรับท่านอาจารย์มั่นท่านไม่รับครองจริง ๆ จนอวสานสุดท้ายแห่งชีวิต ข้อนี้ไม่ค่อยมี
ท่านที่ยึดจากท่านได้กี่องค์ ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถือเนสัชชิ คือ
ไม่นอนเป็นคืน ๆ ไป ตามแต่จะกำหนด ถือห้ามอาหารที่ตามส่ง
ทีหลัง ฯลฯ
ข้อเหล่านี้ ท่านชอบปฏิบัติมากในสายท่านอาจารย์มั่น
ส่วนข้ออื่น ๆ นอกจากนี้ก็ปฏิบัติบ้างเป็นครั้งคราว แต่จะขอผ่านไป
เพราะได้เคยอธิบายไว้ในประวัติท่านอาจารย์มั่นบ้างแล้ว ท่าน
ผู้ประสงค์อยากทราบโดยละเอียด โปรดดูหมวดธุดงค์ ๑๓ ใน
ธรรมวิภาค ปริเฉท ๒ หากจะอธิบายบ้างก็ขอยกออกมาเป็น
ตอน ๆ ที่เกี่ยวกับปฏิปทาของพระธุดงค์แต่ละรายไป สำหรับสาย
ท่านอาจารย์มั่น ท่านชอบปฏิบัติเป็นประจำก็มีดังที่ระบุมานี้ ส่วน
ขันธวัตร ๑๔ มีเสนาสนวัตรเป็นต้น ก็จะไม่ขออธิบาย เพราะมีอยู่
ในหนังสือทั่วไป หาดูได้ง่าย เช่น วินัยมุขเล่ม ๒ เป็นต้น ถ้า
ประสงค์อยากทราบก็กรุณาหาดูตามนั้น
พระกรรมฐานท่านปฏิบัติตามธุดงค์ ๑๓ และขันธวัตร ๑๔
นี้เป็นประจำ แม้จะมีปลีกย่อยออกไปบ้างก็อยู่ในหลักใหญ่ที่
กล่าวแล้ว มิได้ปฏิบัตินอกลู่นอกทางไปอื่น แต่การปฏิบัติและ
ประสบเหตุการณ์นั้นมีแปลกต่างกันไปบ้างเป็นราย ๆ ตามจริต
นิสัยที่ไม่เหมือนกัน โดยมากรายที่ชอบอยู่ป่าอยู่เขาเป็นนิสัย มักจะ
ประสบเหตุการณ์มากกว่าการอยู่ป่าธรรมดา แม้ท่านอาจารย์มั่น
ผู้เป็นต้นตระกูลของพระธุดงคกรรมฐานสายนี้ ก็ชอบอยู่ป่าอยู่ถ้ำ
อยู่เขาเป็นนิสัย และชอบสั่งสอนพระให้สนใจในการอยู่ป่าอยู่เขา
มากกว่าจะสอนให้อยู่ในที่ธรรมดา ฉะนั้นการประสบเหตุการณ์ของ
พระผู้ชอบอยู่ป่าเปลี่ยวนั้นจึงมีมากและมีอยู่เสมอ เช่นเกี่ยวกับพวกภูตผี เทวดา อินทร์ พรหม นาค พวกสัตว์เสือต่าง ๆ บ้าง
พระสาวกอรหันต์มาเยี่ยมและอบรมสั่งสอนบ้าง
พูดมาถึงนี้ ก็จะขออาราธนาเรื่องพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็น
ศิษย์ท่านอาจารย์มั่นมาลงบ้าง พอท่านผู้อ่านได้ข้อคิดเล็กน้อย ที่
ท่านมีประสบการณ์คล้ายคลึงกับท่านอาจารย์มั่น ว่าจะมีความจริง
เพียงไรในความรู้สึกของพวกเรา ผู้เพียงอ่านเรื่องท่านผู้อื่นไป
ก่อน มิใช่เรื่องของตัวประสบเอง เมื่อถึงเวลาเราประสบบ้างถ้ามี
ความสามารถ จะมีความคิดความรู้สึกอย่างไรบ้าง จึงขอฝากข้อคิด
ไว้ พระเถระรูปนั้นปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านชอบเที่ยวอยู่ในป่า
ในเขาเป็นนิสัย ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ชนพระเณร ท่านเห็น
ประโยชน์ในการอยู่โดยลำพังในป่าในเขาลึก ทั้งเพื่อประโยชน์ท่าน
เองและประโยชน์ผู้อื่นที่เป็นภูมิลึกลับ คือ พวกเทวบุตร เทวดา
อินทร์ พรหม ภูตผี นาค อสุรกาย ต่าง ๆ
ภพภูมิเหล่านี้เป็นสัตว์ลึกลับในสายตามนุษย์ทั้งหลาย
คล้ายกับไม่มีความหมายและไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์และในตัวใน
สามภพนี้เลย สัตว์พิเศษเหล่านี้อาราธนาท่าน ขอให้เห็นแก่พวกเขา
ที่มีความเชื่อกรรมดีชั่ว บุญบาป นรกสวรรค์ และนิพพาน เช่น
เดียวกับมนุษย์ผู้เชื่อกรรมทั้งหลาย เป็นแต่ไม่สามารถแสดงตน
และความคิดเห็นต่าง ๆ ให้โลกรู้เห็นได้อย่างเปิดเผยเหมือนโลกที่
เปิดเผยทั้งหลายเท่านั้น นาน ๆ จะมีท่านที่มีสายตายาว คือ
ความรู้พิเศษ ไม่อคติลำเอียงต่อสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย มาโปรดสักครั้ง
สัตว์พิเศษเหล่านี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์หญิงชาย
ผู้หยาบทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ค่อยมีความให้อภัยสัตว์โลกกัน
แทรกอยู่ในจิตเลย นอกจากมนุษย์ที่มีศีลธรรมในใจ แม้กายจะหยาบก็ถือว่าเป็นหลักธรรมชาติของผู้อยู่ใต้กฎของกรรมจะยอมรับ
โดยทั่วกัน เทวดาทั้งหลายมิได้ถือมิได้รังเกียจ แต่มนุษย์จำพวกนี้
มีน้อยมากและหาคบได้ยาก แม้เขาจะสามารถให้ความร่มเย็นแก่
เรา เพราะความดีของเขาที่สละเพื่อผู้อื่นด้วยวิธีต่าง ๆ แต่เขาก็
ไม่สามารถรู้เรื่องและติดต่อกับเราโดยตรงได้ นอกจากความดีที่
ประสานกันอยู่เท่านั้น
มนุษย์พวกนี้ทำความร่มเย็นแก่โลกได้อย่างกว้างขวาง ทั้ง
ทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่แจ้งแลที่ลับ ไม่มีกาลสถานที่ ไม่มี
ประมาณ แม้พวกภูตผีที่มีกรรมเบาพอประมาณ ก็ได้รับความเย็น
จากมนุษย์จำพวกนี้แผ่ส่วนความดีให้เป็นประจำ พวกกายทิพย์
พลอยอนุโมทนากับเขาอยู่โดยสม่ำเสมอ ขอให้เขามีความเจริญ
รุ่งเรืองและทำประโยชน์แก่โลกได้นาน ๆ กว่าจะละโลกนี้ไปเสวย
สมบัติอันมีค่าของตน ๆ สำหรับพระคุณเจ้าเป็นมนุษย์พิเศษ มีทั้ง
ศีลทั้งธรรม งามทั้งใจ สว่างไสวด้วยความรู้และคุณธรรม น่าเคารพ
เลื่อมใสมาก พวกข้าพเจ้าทั้งหลายขออาราธนาอยู่ที่นี่โปรดสัตว์ไป
นาน ๆ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกผู้อาภัพ ความมีภพภูมิตามสายตา
ของมนุษย์ทั้งหลาย จะได้พากันมาฟังโอวาทคำสั่งสอนแลเพิ่มพูน
บุญญาบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และเป็นปัจจัยแก่มรรคผลนิพพานอัน
เป็นธรรมสุดโลกดังนี้
ท่านเล่าว่า เวลาท่านพักอยู่ในภูเขาลึก โดยมากมีแต่พวก
กายทิพย์มาเกี่ยวข้องทั้งใกล้ทั้งไกล ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ตลอด
นาคและภูตผีทั้งหลายแทบไม่เว้นแต่ละคืน การทำความเพียรก็
เป็นไปตามเวลามิได้หยุดหย่อน การพักผ่อนร่างกายก็สะดวกสบาย
การต้อนรับแขกลึกลับก็มิได้หยุด วันคืนหนึ่ง ๆ ไม่ค่อยมีเวลาว่างอยู่เฉย ๆ แต่เป็นความสะดวกผิดธรรมดาที่อยู่กับผู้คนพระเณร
มาก ๆ ซึ่งหาความสงบไม่ค่อยได้ขณะที่มาเกี่ยวข้องกัน ส่วนพวก
กายทิพย์จะเป็นภูมิใดก็ตาม แม้มีมาเป็นจำนวนมากก็เป็นเหมือน
ไม่มี การแสดงธรรมก็เป็นมาจากใจล้วน ๆ ไม่ได้ใช้กำลังกาย
ขณะที่แสดงธรรมก็ไม่ปรากฏว่ากายมีในความรู้สึก มีแต่ความรู้
กับธรรมที่สัมผัสกันออกมาเท่านั้น ความเหน็ดเหนื่อยไม่ปรากฏใน
เวลาแสดงธรรมให้พวกนี้ฟัง ขณะฟังธรรมจบลงรู้สึกมีความยิ้มแย้ม
แจ่มใส และพร้อมกันสาธุการสามครั้ง เสียงสะเทือนไปทั่วโลกธาตุ
เช่นเดียวกับที่ท่านอาจารย์มั่นเคยเล่าให้ฟัง
การสนทนาธรรมก็มุ่งความรู้ความเข้าใจจริง ๆ เช่นเดียวกับ
ผู้เดินทางสายที่ตนยังไม่เคยเดิน กลัวผิดทาง ถามเขาด้วยความ
สนใจอยากรู้ทางจริงๆ ฉะนั้น บางพวกก็สนทนาด้วยภาษาใจ
ธรรมดา แต่บางพวกสนทนาด้วยภาษาบาลีเหมือนพุทธพจน์ แต่ก็
ทราบความหมายของบาลีนั้นๆ อันอยู่ในความหมายแห่งภาษาใจ
อันเดียวกัน ท่านเล่าว่าเวลาออกจากสมาธิแล้ว ท่านพยายามจด
บาลีปัญหาที่เทวดาถามไว้มากมาย สมัยท่านอาจารย์มั่นยังมีชีวิต
อยู่ ก็ไปเรียนถามให้ท่านแปลให้ฟัง
ท่านอาจารย์มั่นว่าบาลีเป็นศัพท์ตายตัวเวลาสู่โลกทั่ว ๆ ไป
แต่บาลีที่ผุดขึ้นมาก็ดี เทวดาถามก็ดี เป็นคำเฉพาะบุคคล กาล
สถานที่เท่านั้นจะนำออกไปใช้ทั่วไปย่อมไม่สะดวก แม้ได้ความชัด
เจนตามที่แปลออกจากบาลีทั่ว ๆ ไปก็จริง แต่บาลีที่ผุดขึ้นเฉพาะ
บุคคลในความหมายก็มุ่งเฉพาะบุคคลนั้นเท่านั้น มักไม่ทั่วไปแก่
ผู้อื่น แม้ผมแปลให้ท่านฟังได้ แต่ก็อาจไม่ตรงกับความหมายที่ท่าน
เข้าใจมากับบาลีนั้น ผมจึงไม่อยากแปล เพราะคำที่ผุดขึ้นมาจากใจจะเป็นคำบาลีก็ดี เป็นภาษาใจก็ดี เป็นคำห้ามหรือตักเตือนใด ๆ
ก็ดี ย่อมเข้าใจและแน่นอนเฉพาะผู้นั้น ผู้อื่นจะแยกความหมาย
ที่เกิดขึ้นเพื่อผู้นั้นไปเป็นอื่น ย่อมขัดต่อความมุ่งหมายของธรรมซึ่ง
ผุดขึ้นเพื่อผู้นั้น
ผมพอเข้าใจธรรมที่ผุดขึ้นภายในทั้งเพื่อตนเองทั้งเพื่อ
เทวบุตรเทวดา และเพื่อผู้อื่นใดที่มาเกี่ยวข้องได้พอสมควร เพราะ
ธรรมเหล่านี้เคยเกิดกับผมอยู่เสมอ แม้จะเรียกว่าเกิดคู่เคียงกับ
ปฏิบัติสมาธิภาวนาโดยสม่ำเสมอก็ไม่ผิด นอกจากนั้นเวลาปกติ
ธรรมดา ธรรมดังกล่าวยังเกิดได้ บางทีเดินจงกรมอยู่ก็เกิด นั่งอยู่
ธรรมดาก็เกิด เดินไปบิณฑบาตก็เกิด ฉันจังหันอยู่ก็เกิด พูดคุยอยู่
กับหมู่คณะพอหยุดพูดก็เกิด กำลังแสดงธรรมอยู่พอหยุดชั่วขณะ
เท่านั้นก็เกิด เกิดไม่เลือกกาลสถานที่และอิริยาบถ
ถ้าจะเรียกว่าเกิดประจำนิสัยก็ไม่ถนัดใจ เพราะแต่เริ่มแรก
ปฏิบัติที่ยังไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ธรรมเหล่านี้ก็ไม่เห็นเกิด เพิ่งเริ่ม
เกิดบ้างก็เมื่อปฏิบัติพอรู้อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ขึ้นบ้าง จนจิตเป็น
สมาธิและปัญญาเรื่อยมา ธรรมเหล่านี้ก็ค่อย ๆ เกิดเป็นคู่เคียงกัน
มาตามกำลังของจิต จนตลอดปัจจุบันนี้ ธรรมเหล่านี้เกิดไม่มี
ประมาณ ทั้งไม่เลือกว่าอิริยาบถใดสถานที่ใด เกิดได้ทั้งนั้น แต่จะ
เกิดในอิริยาบถใดสถานที่ใดก็ตาม ย่อมถือเป็นธรรมเฉพาะตัว
เข้าใจจำเพาะตัว ไม่คิดจะให้ใครแปลให้ฟัง นอกจากต้องการทราบ
ความหมายจากผู้อื่นที่แปลจากธรรมบทนั้น เพื่อเทียบเคียงกับ
ความเข้าใจของตนบ้างเท่านั้น จึงถามท่านผู้อื่นบ้างในบางครั้ง แต่
มิได้ถามด้วยความอยากรู้เพราะตนไม่รู้ความหมายของธรรมบท
นั้นมาก่อนที่ท่านเล่าให้ฟังผมเข้าใจดีทั้งหมดว่า เป็นธรรมจำเพาะตัว
ใครตัวเรา ฉะนั้น ผมจึงไม่อยากแปลให้ท่านฟัง แม้ผมจะเป็น
อาจารย์ท่าน แต่สาระสำคัญที่ท่านจะพึงรู้พึงเข้าใจจากธรรมที่ผุดขึ้น
กับท่าน เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าผมแปลให้ฟัง แล้วท่านก็ไม่แปล
ให้ฟังเสีย แต่เราก็มิได้ข้องใจสงสัยอะไรเลย ความจริงก็เป็นดังท่าน
พูดไม่มีผิด ผมยอบรับคำอย่างเทิดทูนไม่มีที่แย้ง
เทวดามาเยี่ยมฟังธรรมจากพระเถระรูปนี้เสมอ
เช่นเดียวกับท่านอาจารย์มั่น
ท่านเล่าว่าเทวดามาเยี่ยมฟังธรรมท่านแต่ละครั้งมีจำนวน
มากบ้างน้อยบ้าง แต่ไม่มากเหมือนที่มาเยี่ยมฟังธรรมท่านพระ
อาจารย์มั่น บางครั้งมาในราว ๕๐-๖๐ บางครั้งราว ๑๐๐-๒๐๐
บางครั้งราว ๕๐๐-๖๐๐ บางครั้งก็เป็นพัน ๆ แต่ห่าง ๆ มา
เครื่องนุ่งห่มของเทวดาทั้งเบื้องบนเบื้องล่างที่มาในบางครั้ง มีสีขาว
ล้วนบ้าง สีแดงล้วนบ้าง เป็นแบบเดียวกันหมดไม่ก้าวก่ายกัน
ทุกพวกและทุกครั้งที่มาไม่มีเครื่องประดับตบแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น เวลา
เข้ามาหาพระผู้ทรงศีลทรงธรรมเป็นที่เคารพมาก เทวดาถือกัน
หัวหน้าประกาศห้ามไม่ให้ใส่เครื่องประดับตบแต่งเข้าไปหาพระ ให้
นุ่งห่มแบบเรียบ ๆ เหมือนพุทธมามกะชาวพุทธ มีกิริยามารยาท
สวยงามมาก ติดตาติดใจ เห็นแล้วไม่จืดไม่จาง มนุษย์เราน่ายึดเอา
แบบอย่างของเขามาใช้ เมื่อเวลาเข้าไปหาพระหาสงฆ์ในวัดหรือ
ที่ใดก็ตาม จะน่าดู ไม่อุจาดบาดตาบาดใจเกิดไป เห็นแล้วทุเรศ
ปลงไม่ตก กลัวตกนรกมากกว่าแต่ใครล่ะจะสามารถนำเรื่องของเทวบุตรเทวดามาเล่า
มาสั่งสอนมนุษย์ให้เชื่อถือและยอมรับปฏิบัติตามได้บ้าง ใครจะกล้า
ยอมรับทำหน้าที่นี้เล่า เพียงได้ยินใครเล่าเรื่องเทวดาเปรตผีให้ฟัง
บ้าง ไม่ทราบว่าเล่าเล่นเล่าจริงก็จะถูกหัวเราะเยาะเย้ยแล้ว ขืนเอา
กฎระเบียบของเมืองเทพเมืองผีมาใช้ในเมืองมนุษย์ เขาก็จะหาว่า
บ้าไม่มีสติ โรงพยาบาลปากคลองสานก็จะไม่ยอบรับเป็นคนไข้ แล้ว
จะไม่ตายทิ้งเปล่า ๆ ทั้งที่บ้ายังติดตัวไปด้วยละหรือ ท่านพูดแล้ว
หัวเราะกันไปพักหนึ่ง ผู้เขียนก็ปากอยู่ไม่เป็นสุข จึงเรียนเล่นบ้าง
จริงบ้างเป็นการหยั่งเสียงดูว่าท่านจะว่าอย่างไร ก็ท่านอาจารย์เอง
จะเป็นไรไป โลกเขาไปเห็นอะไรในเมืองนอกเมืองนา เขายังนำ
มาเล่ากันฟังได้ และนำเอากิจการจากเมืองนอกมาปรับปรุงแก้ไข
ในบ้านเมืองของตน โดยออกกฎเกณฑ์ให้คนในประเทศปฏิบัติ
ตามได้
เช่น เมืองไทยเราการแต่งเนื้อแต่งตัวเวลานี้ ก็กำลังจะกลาย
เป็นเมืองนอกไปหมดแล้วทั้งหญิงชาย ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ เพราะ
คนไทยเราสั่งสอนง่าย ไม่เป็นคนหัวแข็งหัวดื้อรั้นเหมือนคนเมือง
อื่น ๆ ยิ่งการแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยแล้วคนไทยยิ่งชอบและถอดแบบ
ของใคร ๆ มาปฏิบัติได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หรือยิ่งกว่าครูเสียอีก
ทั้งจำอะไร ๆ ที่แปลกหูแปลกตาได้อย่างอัศจรรย์ ยิ่งการแต่งกาย
แบบเมืองเทพซึ่งใคร ๆ ไม่เคยไปเห็น แม้พวกนักท่องเที่ยวอวกาศ
ก็ไม่มีหวังจะได้เจอได้ชมการแต่งกายของพวกเทพพอจะนำมา
อวดโลกได้เลยด้วยแล้ว ถ้ามนุษย์ได้รับการแนะนำแนวทางบ้างแล้ว
เข้าใจว่าจะมีผู้สนใจไม่น้อย เพราะเป็นแบบของคนชั้นสูงพอจบประโยคต่างคนต่างหัวเราะกันพักใหญ่ แล้วท่านว่า
ให้ผู้เขียนว่า คำพูดของท่านมักพิสดารเกินไป ถ้าขืนทำตามท่าน
ผมต้องไม่ได้อยู่ในเมืองไทยแน่ จะต้องถูกเนรเทศไปอยู่กับพวกเปรต
พวกผีโดยไม่ต้องสงสัย เพราะเขาจะหาว่าผมเป็นเพื่อนกับพวกนั้น
แล้วจะขับไล่ให้ไปอยู่กับพวกเปรตพวกผีนั้นแน่นอน ส่วนจะให้ไปอยู่
กับพวกเทพพวกพรหมคงไม่มีหวังแน่ ๆ เพราะภูมินี้เป็นภูมิดีมี
ศักดิ์สูง แต่ภูมิเปรตผีนั้นซิที่เขาจะไล่ผมไปอยู่ด้วย เพราะเป็นภูมิที่
ต่ำต้อยด้อยศักดิ์ศรีไม่มีใครปรารถนา เพื่อเป็นการประณาม ถ้า
เรื่องเป็นอย่างนี้ท่านจะว่าอย่างไร
ตอนนี้ทั้งท่านทั้งผู้เขียนต่างหัวเราะกันพักหนึ่ง แล้วท่านพูด
ต่อไปว่า ท่านกรุณาอย่าหาญคิดจะให้ผมเอาระเบียบของเทพของ
พรหมมาใช้ในเมืองมนุษย์เลย แม้แต่พวกดังกล่าวนี้ก็ยังเคารพ
ศาสนา เคารพพระพุทธเจ้าอย่างเทิดทูน ธรรมดังกล่าวก็อยู่ใน
มนุษย์เรานี้เอง ถ้าใครจะสนใจปฏิบัติตาม ก็ไม่เห็นอะไรบกพร่องใน
บรรดาธรรมสอนโลกที่มีอยู่ในแดนมนุษย์เรา ถ้าเราไม่โง่จนเกินไป
เท่าที่ผมเล่าให้ฟังก็ถือเป็นกันเอง มิได้คิดจะไปพูดไปเล่าที่ไหน แต่
พอเล่าให้ฟังตามเหตุการณ์ที่ปรากฏบ้าง ท่านกลับขอให้ผมนำเอา
ขนบธรรมเนียมของเทวดามาสั่งสอนมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องซวยที่สุด
สำหรับผู้จะเริ่มคิดนำธรรมเนียมลึกลับมาสอนโลก ผมทำไม่ลง
แม้แต่คิดก็ไม่เคยคิด ผู้เขียนเรียนท่านว่า กระผมก็เรียนไปตาม
ภาษาอย่างนั้นเอง ถ้าท่านอาจารย์ไม่สะดวกก็ไม่ควรฝืน เราคุยกัน
สนุกตามแบบพระโดยลำพังที่ถือเป็นกันเอง
บรรดาเทวดาหลายพวกที่มาเยี่ยมท่านในวาระต่าง ๆ กัน
นั้น มีความคิดเห็นรักชอบธรรมต่าง ๆ กัน บางพวกชอบรับศีลก่อนฟังธรรม บางพวกขอฟังธรรมเลยทีเดียว บางพวกชอบธรรม
สังโยชน์เบื้องบน บางพวกชอบฟังสังโยชน์เบื้องต่ำ แต่ที่ชอบฟัง
สังโยชน์เบื้องต่ำมากกว่า บางพวกชอบฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
บางพวกชอบฟังกรณียเมตตสูตร บางพวกชอบฟังสังคหธรรม
เกี่ยวกับการสงเคราะห์กัน ชอบแปลก ๆ ต่าง ๆ กันตามจำนวน
ของพวกเทพที่มานั้น ๆ ต่างมีความรักชอบธรรมไปตามนิสัย
เหมือนมนุษย์เรา บางพวกชอบฟังเมตตาพรหมวิหาร บางพวก
ชอบฟังสูตรที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยก็มี เราจนใจต้อง
บอกกับเขาว่าไม่เคยรู้ไม่เคยเรียนมา เขาก็ขอฟังสูตรอื่น ๆ ที่เขา
ชอบต่อไป
ท่านว่าเทวดาเคารพรักท่านมาก ไม่อยากให้ท่านหนีไป
ที่ไหนเลย อยากให้ท่านพักอยู่กับเขานาน ๆ ขณะที่ท่านพักอยู่ที่
นั้น เทวดาว่ามีความสงบเย็นใจมาก กลางคืนก็ได้ยินเสียงท่าน
สวดมนต์และเจริญธรรมบทเมตตา เขามีความซาบซึ้งในธรรมที่ท่าน
สวดมาก ไม่อยากให้จบลงง่าย ๆ ท่านว่าการสวดมนต์ก็เพียงนึก
อยู่ในใจ มิได้สวดเสียงดังพอจะได้ยินถึงใครๆ แต่เวลาเทวดามา
เยี่ยม เขาขอให้สวดมนต์สูตรนั้น ๆ ให้มากกว่าสูตรอื่น ๆ เขา
เป็นสุขใจและชอบฟังมากกว่าสูตรอื่น ๆ ขณะท่านสวดมนต์เขา
สนใจฟังอย่างเพลิดเพลินดังนี้ ท่านถามเขาว่าทราบได้อย่างไรว่า
อาตมาสวดมนต์สูตรนั้น ๆ เขาตอบท่านทันทีว่าเสียงสวดมนต์
ของพระคุณท่านสะเทือนไปทั่วพิภพ จะไม่ให้ได้ยินอย่างไรได้ ธรรม
เป็นของละเอียดอ่อนอยู่แล้ว เมื่อยกขึ้นประกาศด้วยการสวดหรือ
สังวัธยาย ก็ต้องดังกังวานไปทั่วพิภพ ให้รู้ทั่วถึงกันทั้งโลกธาตุ
บรรดาผู้ควรจะทราบได้


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 130 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO