จากนั้นสุวรรณสามก็ให้บิดามารดาเกาะไม้เท้าเดินกลับบรรณศาลาอาศรม แล้วสุวรรณสามก็ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาอย่างดีเลิศ นำเชือกมาผูกไว้เป็นราวยังที่เดินจงกรม และที่ต่าง ๆ รอบอาศรมเพื่อให้บิดามารดาเกาะแล้วเดินไปได้สะดวก
ยามเช้าปัดกวาดจัดที่นั่งที่นอนให้เรียบร้อยออกไปตักน้ำที่แม่น้ำมิคสัมมตา จากนั้นจึงออกไปขุดเผือกมันหาผลหมากรากไม้ ยามเย็นก่อไฟต้มน้ำล้างมือและเท้าให้บิดามารดา ตัวเองก็กินผลไม้ที่เหลือจากบิดามารดาแล้ว มีความสุขสงบด้วยกัน ๓ คน เป็นที่ตื้นตันแก่บิดามารดานัก
เคราะห์กรรม
ต่อมาได้มีพระเจ้ากบิลยักราช กษัตริย์กรุงพาราณสีได้เสด็จตามลำพัง เพื่อมาล่าสัตว์ในป่าด้วยความโปรดปราน ครั้นเมื่อพระราชาเสด็จประพาสผ่านมาทางแม่น้ำมิคสัมมตา ทรงพบ เห็นรอยเท้ากวางมากมาย จึงหลบซุ่มในพุ่มไม้หวังยิงกวาง ซึ่งในไม่ช้าหมู่เนื้อและกวางต่างก็ตามสุวรรณสาม มาที่ริมแม่น้ำราวกับเป็นบริวารที่จงรัก
พระราชามิเคยเห็นว่าจะมีผู้คนอยู่ในป่าลึกแห่งนี้ อีกทั้งความสง่างามของสุวรรณสาม พระราชาจึงทรงดำริว่า
"เออหนอ คนผู้นี้เป็นคนหรือเทพยาแห่งป่าหิมวันต์กันหนอนี่ หรือว่าเป็นนาคป่า หากเราเข้าไปใกล้คงจะเหาะเหินหายไป สู้เรายิงให้บาดเจ็บดีกว่าจะได้เข้าไปดูให้รู้แน่"
ดำริดังนั้นพระราชาจึงทรงธนูอาบพิษ แล้วน้าวคันศรยิงลูกธนูเล็งไปทางสุวรรณสาม ที่กำลังตักน้ำขึ้นแบกบ่าพอดี
ลูกธนูปักเข้าที่ร่างของสุวรรณสามหมู่ฝูงสัตว์ตกใจหนีกันไปสิ้น สุวรรณสามยกหม้อน้ำจากบ่าลงวางบนทรายแล้วร้องออกไปว่า
"ผู้ใดยิงเราขอให้ออกมาเถิด เราไม่ใช่เนื้อใช่สัตว์ ท่านจะยิงเพื่อประโยชน์ใดกัน ท่านจงออกมาเถิด เราไม่ทราบว่าท่านต้องการอะไรจากเรา"
พระราชาสดังฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัย ที่เห็นบุรุษหนุ่มรูปงามถูกยิงแล้วยังไม่ก่นด่าเคืองแค้น กลับร้องเรียกด้วยถ้อยคำอ่อนโยน พระราชาจึงเสด็จออกมาและตรัสว่า
"เราคือพระราชาแห่งเมืองพาราณสีมีความชอบธรรมและช่ำชองในเชิงธนู เจ้าละเป็นใครกันอยู่ในป่านี้กับใครบ้าง"
"ขอพระราชาทรงมีพระชนมายุยืนนานเถิด ข้าพระองค์ชื่อสุวรรณสามเป็นบุตรของฤาษี มิทราบว่าทำไมพระองค์จึงยิงข้าพระองค์เช่นนี้ ช้างถูกยิงเพื่อเอางา เสือถูกฆ่าเพื่อเอาหนัง และพระองค์ทรงต้องการอะไรในตัวข้าพระองค์เล่า"
"ก็เพราะเจ้าเดินมา ฝูงเนื้อกวางจึงแตกตื่นอลหม่าน เราตั้งใจจะยิงสัตว์" พระราชาทรงตรัสมุสา
"พระองค์มิอาจกล่าวนั้น ตั้งแต่ข้าพระองค์เกิดมา ฝูงสัตว์ในป่าไม่เคยกลัวข้าพระองค์เลยแม้แต่น้อย ไปไหนก็ยังตามไปด้วยกันดั่งเพื่อน ข้าพระองค์ถูกยิงดังนี้สงสารก็แต่บิดามารดา ซึ่งตาบอดอยู่ลำพังมิอาจตักน้ำเองได้"
พระราชาสดับฟังดังนั้นก็รีบถามความเป็นไป สุวรรณสามจึงกราบทูลว่าตนมีบิดามารดาที่ดวงตามืดบอด และตนเองต้องปรนนิบัติบำรุง แม้จะมีอาหารอยู่อีก ๗ วัน แต่น้ำก็ไม่มีและคงจะเฝ้าห่วงเรียกหาตนผู้เป็นบุตรที่หายไปอย่างนี้
พระราชาทอดพระเนตรดูบุรุษกตัญญูที่นอนจมกองเลือดรำพันถึงแต่บิดามารดา ก็ทรงสลดหดหู่ใจและสำนึกในผิดที่ทำร้ายบุตรผู้ประพฤติเลิศล้ำเพียงนี้ จึงทรงตรัสด้วยดำริจะเปลื้องบาปของพระองค์ว่า
"ดูกร พ่อหน่มที่น่าสงสาร เราผิดนักที่ยิงเจ้าเช่นนี้ เจ้าอย่าห่วงกังวลใดเลย เราจะเลี้ยงดูบิดามารดาของเจ้าให้เหมือนกับที่เจ้าบำรุงเลี้ยง เจ้าจงบอกทางไปอาศรมของบิดามารดาให้เราด้วยเถิด"
"เป็นพระคุณยิ่งนักแล้ว"
เมื่อสุวรรณสามชี้ทางบรรณศาลาแล้วก็แน่นิ่งไป พระราชาทรงสลดใจยิ่งนักกับบาปที่พระองค์ก่อขึ้น ทรงโปรยมวลดอกไม้ปะพรมน้ำและทำทักษิณา ๓ รอบ ก่อนแบกหม้อน้ำกลับไปยังอาศรมฤาษี
แต่ฝีเท้าที่แตกต่างกันนั้น ทำให้ดาบสและดาบสินีรู้ว่ามิใช่สุวรรณสามจึงเอ่ยว่า
"ท่านเป็นใครกันหนอ ท่านมิใช่บุตรเราเป็นแน่"
พระราชาคิดจะดูแลดาบสทั้งสองแทนสุวรรณสาม แต่เมื่อถูกล่วงรู้เช่นนั้นจึงทรงยอมรัยว่า
"เราคือพระราชาแห่งพาราณสี มีวิชาธนูเป็นที่เลิศล้ำ"
"โอ พระราชาเสด็จป่า ขอพระองค์ทรงเสวยผลไม้เล็กน้อยนี้เถิด และมีน้ำเย็นที่ลูกสามของข้าพระองค์ไปตักมาจากแม่น้ำด้วย เดี๋ยวบุตรข้าพระองค์ก็คงจะกลับมาถึงแล้วพระเจ้าข้า"
พระราชาจึงตรัสความจริงว่า พระองค์ยิงสุวรรณสามตายแล้ว และพระองค์จะเป็นผู้บำรุงปฏิบัติแทนเองเพื่อไถ่บาปกรรมนี้
นางปาริกาได้ฟังดังนั้นก็ร่ำไห้คร่ำครวญ แต่ทุกูลดาบสก็กล่าวต่อนางว่ามิให้ถือบาปต่อพระองค์อีกเลย แล้วทั้งสองก็ขอให้พระราชาพาตนไปยังศพของสุวรรณสาม
ครั้นไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ นางปาริกาดาบสินีก็ยกเท้าของสุวรรณสามขึ้น วางบนตักนางพรางทุกขเวทนา
"ลูกสามเอ๋ย ใครเลยจะดูแลปัดกวาดอาศรม ตักน้ำตักท่า หาผลไม้มาให้พ่อแม่อีก ถ้าเจ้ามาจากไปอย่างนี้"
ขณะพร่ำอาดูรลูบคลำบุตรรัก นางก็พบว่าอกของพระสุวรรณสามยังอุ่นอยู่ จึงตั้งจิตทำสัจกิริยาแก่บุตร ขณะที่ตั้งสัตย์อธิฐานเทพธิดาซึ่งเป็นมารดาของสุวรรณสามปางก่อน ก็มาร่วมผสานจิตใจด้วย ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินีก็อธิษฐานว่า
"เราผู้เป็นบิดามารดาของสุวรรณสาม มีความเศร้าโศกเป็นที่ยิ่งนัก เราขอประกาศสัจจะว่า บุตรเราเลี้ยงดูบิดามารดาและประพฤติชอบธรรม ขอให้อานุภาพบุญกุศลของบุตรเรา ดลบันดาลให้พิษในตัวบุตรเราจงหายสิ้นไปด้วยเถิด"
ด้วยอำนาจอธิษฐานและแรงภาวนาแห่งสัจจวาจา ในที่สุดสุวรรณสามก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
พร้อมกันนั้นดวงตาทั้งสองของบิดามารดาสุวรรณสาม ก็พลอยสว่างไสวมองเห็นได้ดังเดิมอีกด้วย พระราชาเห็นดังนั้นจึงทรงตรัสอย่างปิติว่า
"แม้เทวดาก็ยังมาคุ้มภัย ให้แก่คนปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างชอบธรรมเช่นนี้ นับเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก"
ฝ่ายสุวรรณสามก็กราบทูลกษัตริย์กบิลยักขราชว่า การที่ตนฟื้นคืนสติมาได้นั้นด้วยเพราะอานิสงส์ผลบุญ ในการที่ปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดาให้เป็นอยู่สุขสบาย แลตัวพระองค์ผู้เป็นราชานั้นก็เสมือนดั่งร่มไม้ใหญ่ ที่ต้องแผ่ร่มเงาแก่ผู้คนทั้งปวง ดังนั้นพระองค์สมควรจะปฏิบัติอย่างดีต่อพระราชบิดาพระราชมารดา รวมไปถึงเหล่าโอรสธิดาและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง ให้พวกเขาเกิดความสงบสุขสบายทั่วหน้า
สุวรรณสามยังทูลขอให้พระองค์บำรุงเหล่าสมณพราหมณ์ มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ ตั้งอยู่ในกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต คือ การทำดี พูดดี และคิดดีนั่นเอง หากประพฤติให้งดงามดั้งนี้พระองค์ก็ย่อมมีเทวดารักษาคุ้มครอง และได้ไปเสวยสุขในภพสวรรค์ต่อไป
พระราชาสดับฟังแล้วเกิดศรัทธาและสำนึกในสัจธรรมนั้น พระราชาทรงขออภัยสุวรรณสาม แล้วเสด็จกลับนคร ทรงเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและบำเพ็ญกุศลอย่างมุ่งมั่นมิเคยขาดหาย
สุวรรณสามก็ได้บำรุงปรนนิบัติบิดามารดา และบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ตราบจนสู่ห้วงภพสุคติ
คติธรรมในชาดกนี้ว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใด ๆ ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้
ทศชาติที่ ๔ พระเนมิราช... รายละเอียด : ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงบิณฑบาตแล้วเสด็จประทับ ณ อัมพวัน สวนมะม่วง กรุงมิถิลา และพระอานนท์กับ พระภิกษุทั้งมวลได้กราบทูลอาราธนาให้พระองค์ ทรงโปรดปรานเล่าเรื่องอดีตชาติดังต่อไปนี้
เมื่อครั้งอดีตกาล พระพุทธเจ้าทรงเสวยพระชาติเป็นพระราชาครองมิถิลานคร มีพระนามว่า "มะฆะเทวราช"
ซึ่งการครองบัลลังก์ของราชวงศ์นี้จะเป็นไปตามสัตย์อธิษฐานว่า เมื่อเกศาหงอกเมื่อใดก็จะทรงออกผนวชและยกราชสมบัติให้พระราชโอรสต่อไป ดังนั้นเวลาที่ช่างภูษามาลามาตบแต่งพระเกศาพระราชาก็จะทรงรับสั่งเสมอว่า ถ้ามีพระเกศาหงอกก็จงทูลให้ทรงทราบด้วย
เทพบุตรจุติ
ยามนั้นเทพบุตรบนสวรรค์นาม "เนมิราช" เล็งเห็นว่าราชวงศ์กษัตริย์นี้อาจจะมิมีผู้ใดสืบสันติวงศ์ต่อไป จึงจุติลงมากำเนิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ามะฆะเทวราช เมื่อประสูติออกมาก็ได้รับพระนามว่า "เนมิราช" ด้วยว่าเหล่าพราหมณ์คิดว่าพระราชโอรสประสูติมาแล้ว ก็ต้องกระทำตามกฎสัตย์อธิษฐานของราชวงศ์ที่ต้องขึ้นครองราชย์ และก็ต้องออกบรรพชาเมื่อพระเกศาหงอกแล้ว
พระเนมิราชเมื่อทรงเยาว์ก็มีพระทัยเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมทรงตั้งโรงให้ทาน และพระราชทานทรัพย์วันละหลายแสน พระองค์เองก็ทรงถือศีล ๕ ประพฤติปฏิบัติธรรมเคร่งครัด
ต่อมาพระเนมิราชทรงได้ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดาซึ่งออกบรรพชาไปแล้ว พระองค์ทรงสงสัยเรื่องการให้ทานกับการถือศีลว่าอานิสงส์สิ่งใดจะมากกว่ากัน พระอินทร์จึงเสด็จจากทิพย์อาสน์ลงมายังห้องบรรทมของพระเนมิราช แล้วตอบความคลางแคลงพระทัยนั้นว่า
"ดูกรสมมติเทพ ผลบุญของการถือศีลนั้นมากกว่าการให้ทานหลายร้อยเท่า หากถือศีลเจริญสมาธิแล้วก็จะได้นิพพาน ไปเกิดในพรหมโลก ดังนั้นขอให้ท่านจงอุตสาหะหมั่นถือศีลมิรู้เสื่อมสิ้น"
เมื่อพระเนมิราชสดับฟังดังนั้นก็นิมนต์สงฆ์มาเทศนาสั่งสอน ไฟร่ฟ้าข้าแผ่นดินเนือง ๆ พระองค์เองก็รักษาศีล และพร่ำอบรมให้เสนาอำมาตย์และพสกนิกรถือศีลให้เคร่งครัด
เสด็จชมสวรรค์-นรก
บรรดาไฟร่ฟ้าเมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาในพรหมโลก ต่างก็สำนักว่าเป็นเพราะพระเนมิราชสั่งสอนให้ตน รักษาศีลรักษาธรรมนั่นเอง จึงอยากชมพระบารมีพระเนมิราช พระอินทร์จึงให้พระมาตุลีเทพบุตรเทียมเวชยันต์ราชรถลงไปยังมิถิลาพระนคร เพื่อเชิญเสด็จพระเนมิราชขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์
พระเนมิราชทรงลาเสนาอำมาตย์ขึ้นราชรถไป ครั้นถึงระหว่างทางพระมาตุลีเทพบุตรจึงกราบทูลว่า
"พระองค์จะเสด็จสู่นรกภูมิก่อนหรือไม่ บรรดาสัตว์ที่กระทำบาป หยาบช้าเมื่อพบพระองค์บำเพ็ญกุศลศีลทาน อาจได้ไปเกิดในสวรรค์บ้าง"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านจงพาเราไปชมนรกก่อนเถิด จากนั้นค่อยไปทางสวรรค์"
เมื่อพระเนมิราชตกลงดังนั้น พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จไปยังชั้นนรก ในภูมินรกนั้นมีธารน้ำอันเดือดเป็นนิจ มีเปลวรุ่งโรจน์แผดเผาให้เร่าร้อนมิมีวันดับ นายนิรยบาลก็ยืนถือดาบใหญ่และหอกยาวคอยทิ่มแทง สัตว์นรกทั้งปวงเมื่อเจ็บปวดก็กระโดดลงแม่น้ำเวคะตะระณีนัทที ซึ่งมีแต่หนามหวายคมดั่งกรด เมื่อถูกเนื้อตัวส่วนใดเนื้อก็ขาดแหว่งทันที หากหนีจากหนามหวายก็เจอฉมวกหลาวเสียบเข้าร่างกาย ตกลงไปสู่บัวเหล็กก็ถูกบาดให้ขาดเป็นท่อน ตกลงไปในน้ำร้อนเดือดเป็นพวยพุ่ง หนีขึ้นฝั่งก็ถูกทิ่มแทงสกัดไว้ มีคีมคีบถ่านแดงใส่ปากให้แสบร้อนทุรนทุราย เป็นนรกขุมที่คนผู้เคยรักแกคนที่อ่อนแอกว่าต้องมารับกรรม
อีกด้านหนึ่งมีสุนัขตัวดั่งช้างคอยไล่กัดกิน มีนกแร้งคอยรุมแทะไส้พุงและกระดูก เหล่าสัตว์นรกร่างกายฉีกขาด ต่างก็ร่ำร้องคร่ำครวญโหยหวนไปทั่วทุกแห่ง
คนที่ฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ก็จะถูกหิ้วคอด้วยพรนเหล็ก ถูกกวัดแกว่งแล้วโยนใส่น้ำร้อนจนตายไป ไม่นานก็ฟื้นใหม่มาถูกรัดคอจนตายแล้วตายอีก
คนที่เคยคดโกงเงินทาน ก็จะถูกโยนลงไปในถ่านเพลิงให้ไฟไหม้ท่วมตัว
คนที่ใจบาปหยาบช้า ก็จะถูกทุบตีด้วยกระบองเหล็กจนตัวแหลกราญ ร่างลุกเป็นเปลวไฟดิ้นพล่านอย่างปวดแสบเจ็บแสน
คนที่ฆ่าบุพการี ก็จะกลายเป็นสัตว์นรกเหม็นเน่า ต้องดื่มกินเลือดหนองของตัวเองต่างน้ำยามหิวกระหาย
คนที่มีชู้ ก็ถูกไล่ทิ่มแทงให้ปีนต้นงิ้วที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม ตกลงมาก็ถูกฝังทับด้วยภูเขาเหล็กจนร่างปี้ป่น เกิดเสียงดังกำปนาทน่าระทึกหวาดผวา
นรกขุมต่าง ๆ ๑๕ ขุมนั้นมีดังนี้คือ เวตรณีนรก นรกสุนัข นรกทองแดง นรกหม้อทองแดง นรกถ่านเพลิง นรกโซ่ทองแดง นรกแหลมหลาว นรกทุบตี นรกแม่น้ำแกลบ นรกน้ำหนอง นรกคูถ นรกเป็ด นรกสัตว์อุบาทว์ นรกบ่อไฟ นรกภูเขา-เหล็กไฟ
ภาพขุมต่าง ๆ ในนรกทั้ง ๑๕ ขุมทำให้พระเนมิราชสลดหดหู่พระทัย และประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ขณะนั้นองค์อินทร์ได้ส่งเทวบุตรมาเตือน ให้พระมาตุลีเทพรีบเชิญเสด็จพระเนมิราชสู่ภพของสวรรค์ ด้วยเกรงว่าเวลาของพระชนมายุจะหมดลงเสียก่อน หากใช้เวลาในนรกภูมินานเกินไป พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับรถเวชยันต์สู่สวรรค์
บนชั้นวิมานแมนนี้ มีเทพธิดาเทพบุตรมากมาย คนบางคนเคยเป็นทาสรับใช้พราหมณ์ ได้รับทรัพย์จากพราหมณ์นำไปซื้อเครื่องไทยทานถวายภิกษุ เมื่อตายก็ได้จุติเป็นนางฟ้านางสวรรค์
พระมาตุลีเทพบุตรได้นำราชรถเสด็จผ่านสวรรค์ทั้ง ๗ ขั้น แต่ละชั้นวิมานนั้นมีแต่แสงรุ่งเรืองพราวพราย ดั่งรัศมีทรงกลดของดวงอาทิตย์
ในวิมานแก้ววิมานทองนั้นมีเทวบุตร ๑ องค์ แวดล้อมพร้อมพรักด้วยเหล่านางอัปสร
เทวบุตรในวิมานหนึ่งเคยเป็นคหบดีนาม "โสณทินนะ" อยู่ที่เมืองกาสักราช ได้หมั่นทำบุญสร้างอุโบสถ ๗ อุโบสถ ถวายจตุปัจจัยทั้ง ๔ แก่ภิกษุสงฆ์ จิตใจยึดมั่นรักษาศีลประพฤติชอบด้วยธรรม เมื่อดับจิตแล้วจึงมากำเนิดเป็นเทวบุตรอยู่ในวิมานแก้วดังนี้เอง
เมื่อเล่าความแต่ละหนทางที่เคลื่อนรถผ่านแล้ว พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จพระเนมิราชไปชมวิมานแก้วสูง ๒๕ โยชน์ ประดับ ๗ แก้วแวววาว ฉัตรเงินฉัตรทองส่องแสงรุ่งรัศมี มีสระโบกขรณีที่ผนังล้วนเป็นผลึกแก้ว มีเทพบุตรเทพธิดาเสพย์ทิพย์อยู่ทั่วสถาน
พระเนมิราชทรงตรัสถามว่า เทพเหล่านั้นประพฤติชอบใดเมื่อยังเป็นมนุษย์
พระมาตุลีเทพบุตรกราบทูลว่า เทพเหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์ได้รักษาศีลบำเพ็ญทานอยู่ตลอดชีวิต เมื่อตายจึงได้มาเกิดเป็นเทพอยู่บนวิมานชั้นนี้
วิมานแก้วไพฑูรย์และวิมานแก้วผลึกก็เป็นของเทพที่เคยบริจาค ถวายจีวรให้สงฆ์ในฤดูหนาว วิมานทองนั้นเป็นของเทพที่เคยรักษาศีล ถวายทานบิณฑบาตให้ทานคนยากไร้อนาถา สร้างพระอารามถวายสงฆ์
ในแต่ละชั้นวิมานมีแต่เสียงมโหรีไพเราะ และกลิ่นหอมฟุ้งขจรของมวลพฤกษาบุปผชาติสวรรค์ แต่มิทันจะครบถ้วนทุกวิมานพระอินทร์จึงให้มหาชวนะเทพบุตร มาตามด้วยเกรงว่าจะหมดพระชนมายุพระเนมิราชเสียก่อน
พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับราชรถผ่านภูเขาและแม่น้ำสีทันดร ซึ่งมีสายน้ำลึกนักมิอาจมีสิ่งใดข้ามได้แม้แต่เรือ แพ หรือเกล็ดแววนางนกยูง ริมน้ำมีเขา ๗ ชั้น เรียงดั่งอัฒจันทร์ เป็นที่อยู่ของกินนร วิทยาธร คนธรรพ์ และยักษ์
หน้าประตูชั้นดาวดึงส์มีรูปพระอินทร์ประดิษฐ์ไว้ ในเมืองกว้างกว่า ๑ หมื่นโยชน์ เหนือยอดเขาพระสุเมรุ ล้อมรอบด้วยซุ้มทวารแก้วและกำแพงทองประดับแก้ว ๗ ประการ
พื้นทั่วไปนั้นมิมีฝุ่นผง มีแต่มวลบุปผานานาพันธุ์ออกดอกโต และส่งกลิ่นหอมรวยรินทั่วทุกหน
พระเนมิราชถูกเชิญเสด็จสู่โรงสุธัมมาเทวสถาน เหล่าทวยเทพยดาและเทพธิดาพากันนำดอกไม้ และเครื่องหอมทิพย์มาสักการะบูชาพระเนมิราช และอันเชิญเสด็จให้เสวยสิริสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ อันเป็นทิพย์นิรันดร์
หากทว่าพระเนมิราชทรงตรัสว่า
"เรามิมีประสงค์เช่นนั้น เราได้เห็นผลกรรมของมนุษย์ที่น่าทุกขเวทนายิ่งนัก ให้รู้สึกสลดหดหู่ใจเหลือเกิน และเราก็ปีตินัก ที่ได้เห็นคนได้ผลบุญจนมาเสวยสุขในชั้นวิมาน เราจึงปราถนาจะได้สั่งสอนคนให้รู้จักประกอบคุณงามความดีไว้ เพื่อมิต้องมาตกนรกหมกไหม้ดังนี้"
จากนั้นพระเนมิราชก็ทรงแสดงธรรมและสรรเสริญพระมาตุลีเทพบุตร แล้วจึงร่ำลากลับมายังเมืองมนุษย์
พระเนมิราชทรงตรัสเล่าเรื่องราวที่ทรงทอดพระเนตรมาในเมืองนรก และเมืองสวรรค์อย่างละเอียดให้แก่ข้าราชบริพารและชาวเมือง เมื่อได้ฟังความน่ากลัวของนรกและความงดงามของสวรรค์แล้ว เหล่าชาวเมืองก็ตื้นเต้นและตระหนักในเรืองบุญและกรรมกันยิ่งขึ้น
พระเนมิราชได้ทรงปฏิบัติมโนปณิธานของพระองค์ รักษาศีลส่งสอนไพร่ฟ้าเสนาอำมาตย์ให้หมั่นทำความดีทำการกุศลมิได้ขาด แล้วจึงเสด็จออกบรรพชาอยู่ในอัมพวันอุทยานของมิถิลาพระนคร และได้เสด็จจุติในสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อทรงสวรรคตแล้ว
เนมิราชชาดกเรื่องนี้มีคติธรรมสอนถึงการหมั่นรักษาความดี ประพฤติชอบโดยตั้งใจ โดยมุ่งมั่น หากทำความดีแล้วย่อมได้ดี ประพฤติชั่วย่อมได้ผลชั่วตอบแทน นี้เป็นเรื่องที่สมควรยึดมั่นโดยแท้
ทศชาติที่ ๕ พระมโหสถ... รายละเอียด : บรรดาพระภิกษุที่มาประชุมสรรเสริญพระปัญญาบารมี ของพระบรมศาสดา ณ เชตวันวนารามได้กราบทูล ขอให้พระองค์ทรงประทานเล่าเรื่องอดีตชาติ เมื่อครั้งพระองค์ทรงเสวยพระชาติ เป็นผู้ประพฤติเพื่อประโยชน์โพธิญาณ พระพุทธเจ้าทรงโปรดเป็นพระธรรมเทศนาดังนี้
เมื่อครั้งสมัยอดีตกาล กรุงมิถิลามีพระราชาองค์หนึ่งพระนาม "วิเทหะ" พระองค์ทรงมีราชบัณฑิต ๔ คน มีนามว่า เสนกะ ปุตกุสะ กามินท์ และเทวินทะ เป็นราชบัณฑิตประจำสำนักคอยถวายทางธรรมแก่พระราชานานมา
คืนหนึ่ง พระเจ้าวิเทหะทรงสุบินว่า มีกองไฟกองใหญ่สุมโชนโชติช่วงอยู่ที่มุมพระลานมุมละ ๑ กอง และตรงกลางพระลานมีกองไฟน้อย ๑ กอง ที่ลุกรุ่งโรจน์กว่าไฟกองใหญ่ บรรดาเทวะและผุ้คนต่างก็มาสักการบูชากองไฟนั้นด้วยบุปผชาติ และเครื่องหอมนานา เมื่อสะดุ้งตื่นบรรทมขึ้นมาพระราชาจึงให้ ๔ บัณฑิต แห่งสำนักทำนายพระสุบินนั้น
ราชบัณฑิตทั้ง ๔ ถวายคำทำนายว่า ในมิถิลาจะมีคนมีบุญญาธิการมากำเนิด คือกองไฟกองน้อยกลางลานนั้นเอง และที่ลุกโชนรุ่งโรจน์ยิ่งกว่า ๔ กองไฟมุมพระลานนั้น ก็หมายความว่าบัณฑิตผู้เปี่ยมบุญนั้นจะมีปัญญาเหนือกว่าพวกตน คือบัณฑิตทั้ง ๔ แห่งพระนครนี้อีกด้วย
ในเวลานั้น ทางทิศตะวันออกของนคร มีบ้านของเศรษฐีนาม "สิริวัฒกะ" และนางสุมนาเทวีผู้ภรรยา ได้คลอดทารกชายที่มีผิวเปล่งปลั่งดั่งทองทา อีกทั้งในมือทารกน้อยยังถือแท่งโอสถติดมา ๑ แท่ง เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก อันตัวเศรษฐีสิริวัฒกะผู้มีโรคปวดศีรษะเรื้อรังมา ๗ ปีแล้ว เมื่อได้แท่งยานั้นทาศีรษะก็ปรากฎว่าโรคหายขาดทันตาเห็น อานุภาพของยานี้ทำให้ผู้คนต่างพากันมาขอยาวิเศษนี้กันทั่วถ้วน
กุมารน้อยสร้างศาลาธรรม
กุมารน้อยนี้จึงได้นามว่า "มโหสถ" และในวันที่กำเนิดก็มีเด็กกำเนิดพร้อมกันอีก ๑ พันคนด้วย เด็กทั้งพันคนต่างก็ได้ของกำนัลจากเศรษฐีสิริวัฒกะ เพื่อเป็นมงคลโดยทั่วกัน
เมื่อพระมโหสถอายุ ๗ ปีเต็ม พระมโหสถเล่นหัวกับเพื่อน ๆ ทุกวันก็เห็นว่าถูกแดดถูกฝน จึงให้ทุกคนนำเงินมาคนละ ๑ ตำลึง รวบรวมได้ ๑๐๐๐ ตำลึง จึงนำไปให้ช่างสร้างศาลาเป็นส่วน ๆ
ในศาลานั้นมีห้องสำหรับหญิงอนาถามาคลอดทารก ห้องสำหรับสมณพราหมณ์มาพักพิง ห้องสำหรับคนเดินทางแวะพักและห้องสำหรับเล่นกัน รวมเป็น ๔ ห้องใหญ่
ภายในศาลาก็ให้มีภาพจิตรกรรมผนัง รอบศาลาให้ขุดสระบัว ปลูกสวนไม้ดอกให้ชื่อว่า "สวนนันทวัน"
ฝ่ายพระราชานั้นก็ให้ราชบัณฑิตทั้ง ๔ ออกตามหาเด็กผู้มีบุญที่ทรงสุบินเมื่อ ๗ ปีก่อน เสนกะบัณฑิตไปทางตะวันออก ก็พบบุตรเศรษฐีสร้างศาลา และเปิดวินิจฉัยคดีความแก่ชาวบ้านอยู่เนือง ๆ จึงไปกราบทูลพระราชาทราบ พระราชาเชื่อมั่นว่าเด็กคนนี้แหละคือผู้มีบุญญาธิการแน่ แต่เสนกะบัณฑิตกลับทูลคัดค้าน ด้วยเกรงจะมีบัณฑิตอื่นที่มาเป็นปราชญ์แทนที่หรือเหนือกว่าตน จึงทูลว่ายังไม่อาจกล่าวได้ว่ามีปัญญาบารมีจริง
พระราชาจึงทรงยับยั้งไม่รับตัวพระมโหสถเข้าวัง แต่ทรงให้เสนาอำมาตย์ไปเฝ้าดูปัญญาบารมีของพระมโหสถ แล้วให้นำเรื่องราวมากราบทูลเพื่อความมั่นพระทัย เรื่องราวต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ
|