ต่อมาบัณฑิตทั้ง ๔ ร่วมกันคิดใส่ร้ายพระมโหสถ จึงแอบขโมย ปิ่นทองคำของพระราชา รองเท้าทองคำ ดอกไม้ทองคำ ผ้าคลุมบรรทมใส่ในสิ่งของธรรมดาต่าง ๆ เช่นผอบและหม้อน้ำมันให้นางทาสีนำไปให้นางอมรเทวีที่บ้าน นางอมรเทวีเอะใจที่ให้ฟรีแต่ไม่เอาเงิน จึงให้บ่าวไพร่ช่วยเป็นพยานเมื่อพบสิ่งมีค่าอยู่ในของนั้น
ครั้นพระราชาจะเอาโทษ พระมโหสถหนีไปปลอมตัวเป็นช่างปั้นหม้อ ๔ บัณฑิตก็แอบมาเกี้ยวนางอมเทวี นางจึงขุดหลุมเทอุจจาระลงไปแล้วปิดกระดานไว้ ล่อให้บัณฑิตทั้ง ๔ ตกลงไป แล้วจึงนำทั้ง ๔ โกนผม นำผูกเชือกเข้าวังไปทูลความจริงทั้งหมดให้พระราชาทรงทราบ พระราชาก็มิได้ลงโทษประการใด
เมื่อ ๔ บัณฑิตชั่วยังมิถูกผลกรรมตัดสิน เทวดาจึงมาปรากฎกายถามปริศนาพระราชา และว่าถ้าพระราชาตอบไม่ได้จะฆ่าให้ตาย พระราชาจึงถาม ๔ บัณฑิตแต่ไม่มีใครตอบได้ พระราชาจึงให้ทั้ง ๔ บัณฑิตไปตามรับตัวพระมโหสถกลับมา พระมโหสถจึงไขปริศนาว่า
๑ ผู้ที่ยิ่งทุบตี กลับยิ่งเป็นที่รัก นั้นก็คือทารกที่มักนอนตักแล้วดิ้นทุบตีอกมารดานั่นเอง
๒ ผู้ที่ปากดำแต่ใจรักใคร่ นั้นก็คือมารดาที่ด่าบุตรอบรมบุตรยามบุตรทำผิด
๓ ผู้ที่มักโกหกกันแต่รักใคร่นั้นก็คือสามีภรรยาที่ชอบให้โทษกันแต่ก็รักใคร่กัน
๔ ผู้ที่เอาข้าของไปแต่ถูกรักใคร่นั้น ได้แก่สมณชีพราหมณ์ที่รับเอาข้าวของจากเราไป
เหล่าเทวดาต่างแซ่ซ้องสรรเสริญพระมโหสถ และพระราชาก็ปีตินัก แต่ไม่นานทั้ง ๔ บัณฑิตก็คิดร้ายพระมโหสถอีก โดยทูลพระราชาว่า พระมโหสถอาจคิดแย่งบัลลังก์พระราชา หากไม่เชื่อให้ลองถามดูว่า อันความลับนั้นคนเราควรบอกแก่ใคร
เมื่อพระราชาตรัสถาม พระมโหสถก็ได้กราบทูลว่าความลับไม่ควรบอกแก่ใคร พระราชาสดับฟังเสียพระทัยคิดว่าพระมโหสถคิดกบฏจริง พระราชาจึงให้เสนกะฆ่าพระมโหสถในวันรุ่งขึ้น พระนางอุทุมพรรู้เข้าจึงส่งข่าวให้พระมโหสถทราบ และแนะให้พระมโหสถนำพสกนิกรมาด้วย
พระมโหสถจึงนำพลเมืองไปเฝ้าหน้าพระที่นั่ง แล้วทูลบอกความลับของทั้ง ๔ บัณฑิตที่ทำผิดอะไรบ้าง ลักขโมยของพระราชาบ้าง ซึ่งเสนกะ และบัณฑิตอื่นบอกความลับไว้แก่ญาติของตน พระราชาทรงกริ้วคิดประหาร ๔ บัณฑิต แต่พระมโหสถทรงทูลขอชีวิตไว้ ๔ บัณฑิตจึงเลิกคิดร้ายต่อพระมโหสถอีกต่อไป
มหาปราชญ์รักษานคร
เมื่อพระราชาทรงนับถือและเชื่อมั่นในพระปัญญาบารมี และความภักดีของพระมโหสถช่วยพิจารณา และยังให้พระมโหสถช่วยเทศนาสั่งสอนเรื่องธรรมดาความดี แก่พระราชาและข้าราชบริพารเป็นนิจอีกด้วย
พระมโหสถได้ทูลแนะนำให้พระราชาผูกมิตรกับแคว้นรอบ ๆ พระนครมิถิลาโดยให้นักรบนำเครื่องราชูปโภคไปถวาย พร้อมทั้งอยู่รับใช้เจ้าเมืองนั้น ๆ เพื่อเป็นการระวังการชิงเมือง เพราะมีสายคอยส่งข่าวอยู่แล้วในแต่ละเมือง พระราชาก็ทรงเห็นดี และจัดให้กระทำตามนั้นกับทั้ง ๑๐๑ เมือง รอบมิถิลานคร
ต่อมาสังขะพละกะราชแห่งเมืองกัมพลนครเตรียมทัพ พระมโหสถส่งนกแก้วไปดูจึงรู้ว่ากัมพลนครเตรียมทัพ เพราะเมืองของพระเจ้าจุลนีคิดยกทัพมาตี และนอกจาตีกัมพลนครแล้วก็ยังจะตีให้สิ้นทั้ง ๑๐๑ นคร รวมทั้งมิถิลาด้วยโดยมีเกวัฏจอมชั่วช้าคิดการเป็นใหญ่ พระมโหสถจึงให้ชาวมิถิลาเตรียมทำตามอุบาย
ในขณะที่เกวัฏยุยงพระจุลนีไปตีเมืองกัมพล และหัวเมืองต่าง ๆ ๑๐๑ กว่านครแล้ว พระมโหสถส่งคนไปทุบไหสุราในงานเลี้ยงจนสิ้น พระราชา ๑๐๐ กว่าคนก็รอดตายมิต้องเสวยยาพิษในสุรา เกวัฏกับพระเจ้าจุลนีแค้นนักยกทัพมาล้อมมิถิลา ก็เห็นชาวเมืองยังจัดมหรสพเริงรื่นมิกลัวอันใด เกวัฏคิดอุบายจะล้อมเมืองให้คนในเมืองอดอยาก แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะพระมโหสถแก้ไขได้ทั้งสิ้น
เกวัฏคิดสู้ด้วยธรรมะ พระมโหสถจึงทูลขอดวงแก้วพระราชาไปยื่นให้เกวัฏ แต่ดวงแก้วหนักมากจึงหล่นลง เกวัฏรีบก้มลงเก็บพระมโหสถจึงกดศีรษะไว้แล้วกล่าวว่า
"ท่านอาจารย์ผู้อาวุโส อย่าคารวะข้าผู้เป็นรุ่นหลานเลย ลูกขึ้นเถิดไม่ต้องไหว้ข้า"
บรรดาชาวบ้านต่างก็โห่ร้องชอบใจ เกวัฏเสียหน้าก็พาทัพกลับกันด้วยความอาย
ต่อมาเกวัฏวางอุบายอีก ส่งทูตมาเจรจาว่าจะยกพระธิดาของพระเจ้าจุลนีให้แก่พระราชาแห่งมิถิลา ขอให้พระองค์เสด็จไปรับด้วย พระมโหสถจึงเตรียมแผนไปสร้างวังที่เมืองใกล้ปัญจานคร และขุดอุโมงค์ไว้ด้วย พอพระราชวิเทหะเสด็จไปที่เมืองใหม่คืนแรก ก็ถูกเกวัฏกับพระเจ้าจุลนียกทัพมาล้อมจะจับตัว
แต่พระมโหสถกับไพร่พลลงใต้อุโมงค์ไปเข้าเมืองปัญจานคร จับกุมมเหสีและธิดาของพระเจ้าจุลนีมาไว้ในวังใหม่จนสิ้น พระเจ้าจุลนีถูกซ็อนกลดังนั้นก็ยอมแพ้แต่โดยดี ทั้งยังต้องตั้งสัตย์อธิษฐานกับพระมโหสถว่าจะไม่คิดร้ายใครอีก แล้วก็ยกพระธิดาปัญจาลจันทีให้พระราชาวิเทหะ
พระเจ้าจุลนีทรงชวนให้พระมโหสถไปอยู่ด้วย แต่พระมโหสถทูลว่ามิอาจเป็นข้า ๒ นาย หากพระราชาของตนสวรรคตเมื่อใดจึงจะไปอยู่ด้วยได้
ต่อมาเมื่อพระราชามีพระโอรสกับพระธิดาของพระเจ้าจุลนีได้ ๑๐ ปีผ่านไป พระราชาวิเทหะเสด็จสวรรคต พระมโหสถจึงไปอยู่ที่เมืองของพระเจ้าจุลนีตามสัญญา...
คติธรรมเรื่องนี้มีว่า ปัญญาอันล้ำเลิศนั้นย่อมทำคุณให้แก่บุคคลยิ่งกว่ามีทรัพย์นับแสน แม้มิมีปัญญาดั่งปราชญ์ แต่ถ้าเป็นผู้รู้จักคิดให้รอบคอบก่อน ก็ย่อมเป็นผู้มีปัญญาและประพฤติชอบแล้ว
ทศชาติที่ ๖ พระภูมิทัต... รายละเอียด : ในครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว พระเจ้าพรหมทัตแห่งพาราณสี ทรงเกรงว่าพระราชโอรสที่เป็นอุปราชจะคิดแย่งชิงราชสมบัติ จึงมีรับสั่งให้พระราชโอรสเดินทางออกท่องเที่ยวไป แล้วค่อยกลับมาครองเมืองเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว
พระมารดาเป็นธิดานาค
พระราชบุตรจึงทรงออกเดินทางไปถึงป่าแห่งแห่ง และครองเพศเป็นนักบวชอยู่ที่อาศรมริมฝั่งแม่น้ำยมนาตามลำพัง
ระหว่างนั้น นางนาคนาม "มานวิกา" มิอาจเห็นนาคอื่นมีคู่ครองเป็นสุข จึงออกจากบาดาลมาเที่ยวป่า คิดลองใจนักบวชรูปงาม จึงตกแต่งอาศรมด้วยดอกไม้และเครื่องหอมงดงามยั่วยวน เมื่อราชบุตรกลับมาพบก็พอพระทัยนัก ลงนอนในอาศรมอย่างปีติ นางนาคจึงรู้ว่าราชบุตรมิได้บวชด้วยศรัทธา ก็แอบมาจัดอาศรมให้ทุกวันจนราชบุตรแอบดักพบและชอบพอกัน จึงตกลงครองคู่กันจนมีพระโอรสและพระธิดานามว่า "สาครพรหมทัต" และ "สมุทรชา"
ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตเสด็จสวรรคต เสนาอำมาตย์มิรู้ว่า พระราชโอรสอยู่ที่ใดจึงคิดจะเสี่ยงทายราชรถ แต่พอดีมีพรานป่าผู้หนึ่งเคยไปพักพิงที่อาศรมของพระราชโอรสหลายวัน จึงบอกแก่เสนาอำมาตย์ว่าตนรู้ที่อยู่ของพระโอรส บรรดาเสนาอำมาตย์จึงจัดขบวนไปรับเสด็จราชบุตรในป่านั้น
หากทว่านางนาคมิยินยอมตามเสด็จเข้าวังด้วย นางกล่าวว่า
"ข้าแต่พระสวามีหม่อมฉันเป็นนางนาค มิอาจร่วมอยู่กับเหล่ามนุษย์ได้ หากมีอารมณ์โกรธแค้นนางสนมอื่น อาจพ่นพิษใส่ให้ตายได้ ขอพระองค์เสด็จพร้อมโอรสและธิดาของเราเถิด"
พระราชบุตรและพระกุมารต่างก็ขอร้องให้เข้าวังด้วยกัน แต่นางมิยินยอมได้แต่ร่ำไห้อาลัย สั่งความว่าให้โอรส และธิดาเล่นน้ำในเรือขณะเดินทาง เมื่อถึงวังก็ขอให้ขุดสระ เพื่อให้กุมารน้อยได้ลงเล่นน้ำ หากขาดน้ำและถูกแดดถูกลมมากไป ก็จะทำให้โอรสและธิดาวายชนม์ได้
เมื่อพร่ำรำพันจากกันด้วยความโศกาอาดูรนักแล้ว พระราชบุตรก็เสด็จกลับนครขึ้นครองราชสมบัติ และทำตามที่นางนาคมานวิกาสั่งทุกประการ
คราวหนึ่งพระราชโอรสและพระธิดาลงเล่นน้ำในสระโบกขรณี เห็นเต่าตัวหนึ่งก็ตกพระทัยไปทูลบิดาว่าเห็นยักษ์ ครั้งอำมาตย์จับได้เต่ามาพระราชาก็ให้ฆ่าเต่าเสีย อำมาตย์จึงนำไปถ่วงน้ำวนที่แม่น้ำยมนา
เมื่อเจ้าเต่าถูกปล่อยลงกลางน้ำวน ก็ตกลงไปในปล่องเมืองบาดาล พวกนาคที่อยู่ในเมืองใต้น้ำก็พากันจับเต่ามาโยนเล่นส่งต่อ ๆ อย่างสนุกสนาน เจ้าเต่าจึงวางอุบายกล่าวว่า
"พวกท่านอย่าทำร้ายข้านะ ข้าคือเจตตจุณ เป็นราชทูตกรุงพาราณี และพระเจ้าพรหมทัตส่งเข้ามาเจรจากับพระยาทศรถจ้าวเมืองบาดาลนี้ เรื่องจะยกพระธิดาให้จ้าวเมือง"
เมื่อนาคมานพพาเต่าไปเข้าเฝ้า ท้าวทศรถจ้าวเมืองก็หัวร่อตรัสว่า
"ราชทูตแห่งพระราชาเมืองพาราณสีไฉนมีรูปกายเป็นเต่าอัปลักษณ์เช่นนี้"
"ข้าแต่พระองค์ ราชทูตมีหลายลักษณ์หลายรูป ข้าพระองค์เป็นทูตทางน้ำพระเจ้าข้า"
แล้วเต่าเจ้าเล่ห์ก็ทูลว่า พระราชาปราถนาจะผูกสัมพันธไมตรี ขอให้ท้าวทศรถเตรียมเสด็จขึ้นไปรับพระธิดาด้วย
ท้าวทศรถทรงหลงเชื่อกลอุบายนั้น จึงทรงรับสั่งให้นาคมานพ ๔ นาย ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระราชาพร้อมเต่าราชทูตก่อนล่วงหน้า เมื่อเดินทางจวนจะเข้าใกล้ประตูเมืองแล้ว เต่าก็เห็นมีสระบัวใหญ่อยู่ริมทาง จึงกล่าวแก่นาคเสนาทั้ง ๔ ว่าให้รีบเข้าเมืองโดยเร็ว ตนจะเก็บเหง้าบัวไปฝากพระธิดา เมื่อเสนานาคยอมล่วงหน้าไปก่อน เต่าร้ายก็ลงซ่อนภายในสระบัวนั้นเอง
ครั้นเมื่อนาคมานพผู้เป็นเสนาได้กราบทูลเรื่องราวทั้งปวงว่า จะมาตกลงเรื่องเตรียมงานรับพระธิดาไปอภิเษก พระราชาทรงงุนงงจึงตรัสว่า
"อันมนุษย์กับนาคนั้นจะแต่งงานครองคู่กันได้อย่างไร ย่อมเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ"
นาคมานพได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจจึงกราบทูลว่า
"หากพระองค์รังเกียจนาค แล้วทรงส่งเจตตจุณราชทูตลงไปส่งสาส์นนี้ไปเพื่อเหตุใด"
พระราชาทรงยืนยันว่าไม่ได้ส่งใครไป เพราะนาคกับมนุษย์ มิอาจแต่งงานกันได้ แล้วจะทรงส่งทูตไปได้อย่างไร นาคทั้ง ๔ จึงทูลลากลับด้วยความโกรธแค้น เมื่อพระยาทศรถทรงทราบก็ให้แค้นนัก จัดประชุมทัพนาคแล้วยกขึ้นบุกเมืองพาราณสี
จ้าวเมืองบาดาลเนรมิตกายเป็นนาคยาวโอบล้อมเมืองด้วย ขนดหาง ๗ ชั้น ๗ รอบ สั่งให้นาคน้อยใหญ่กระจายไปทั่วเมือง แต่มิให้ทำร้ายประชาชนพลเมือง
คืนนั้นทั้งเมืองก็โกลาหล ชาวบ้านตกใจพากันแตกตื่นที่นาคเข้ามาเต็มบ้าน แม้ในวังต่างก็มีแต่เสียงกรีดร้องวิ่งหนีนาคงูกันทั่ว งูสีต่างหลากหลายขู่ฟ่อ ๆ แขวนอยู่ทั่วไป มิมีผู้ใดกล้าทำร้ายเพราะกลัวถูกพิษ
พระเจ้าพรหมทัตเองก็ทรงตกพระทัยเมื่อพบงูใหญ่แผ่พังพานเหนือเศียร รอบพระราชวังก็มีแต่เสียงร่ำร้องให้ทรงถวายพระธิดาให้นาคเสียเถิด
ในที่สุดพระราชาจึงพ่ายฤาธานุภาพ ทรงตรัสยินยอมถวายพระธิดาให้โดยดี
กำเนิดจากเผ่าพันธุ์นาคี
ต่อมาเมื่อท้าวทศรถอภิเษกกับพระธิดาสมุทรชา ทั้งคู่ก็ครองรักกันมีสุขดี และพระธิดาประสูติพระราชโอรส ๔ พระองค์ อันมี พระสุทัศนะกุมาร ทัตกุมาร สุโภคะกุมาร และอริฏฐะกุมาร
การอยู่ในเมืองบาดาลนั้น ท้าวทศรถมิให้ชาวบาดาลจำแลงร่างเป็นงูเป็นนาค ด้วยความที่เกรงว่าพระมเหสีสมุทรชาจะตกพระทัย แต่พี่เลี้ยงของอริฏฐะกุมารน้อยสอนว่าพระมารดาเป็นมนุษย์ พระอริฏฐะจึงเนรมิตรกายเป็นงูเลื้อยไปเสวยนมพระมารดา พระสมุทรชาตกพระทัยปัดโอรสน้อยไป และเล็บบังเอิญจิกดวงตาพระโอรสจนมืดบอดไปข้างหนึ่ง ท้าวทศรถจะประหารแต่งพระนางทรงขอชีวิตไว้ และได้ทรงทราบว่าตนอยู่ในเมืองนาคตั้งแต่บัดนั้นเอง
ฝ่ายท้าวทศรถนั้นต้องเข้าเฝ้ามหาราช คือ ท้าววิรูปักข์ ๑ ครั้ง ทุก ๑๕ วัน ท้าวทศรถได้นำพระโอรสที่ ๒ คือ ทัตกุมารไปด้วย คราวหนึ่งท้าววิรูปักข์นำนาคขึ้นเฝ้าพระอินทร์ บังเอิญมีปริศนาที่มิมีใครแก้ได้ แต่ทัตกุมารสามารถแก้ได้ ทัตกุมารได้รับการสรรเสริญถึงความมีปัญญาปราดเปรื่อง จึงได้นามว่า "ภูริทัต" นับจากครั้งนั้น
ถือศีลเพื่อสู่สวรรค์
ภูริทัตตามพระบิดาไปเฝาพระอินทร์เสมอ เมื่อเห็นเวชยันต์ปราสาท และสมบัติทิพย์วิมานก็คิดถึงพอพระทัยนัก ใคร่ปรารถนาจะได้ไปเกิดเป็นเทพเสวยสุขเช่นนั้นบ้าง จึงคิดออกบวชหากทว่าพระมารดามิยินยอม พระภูริทัตจึงทรงรักษาศีลอุโบสถอยู่ในวังนาค แต่ต่อมาจึงคิดหาที่สงบกว่าแวดล้อมด้วยนางสมเช่นนี้ จึงขึ้นไปรักษาศีลอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำยมนาใต้ต้นไทรใหญ่ สั่งให้นำดอกไม้และดุริยางค์ไปบูชาทุกวันด้วย โดยตั้งสัตยาอธิษฐานว่าหากใครปรารถนาในหนัง กระดูก เอ็น เลือดเนื้อของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงยินดีสละโดยสิ้น
วันหนึ่งมี ๒ พรานป่านามว่า เนสาทและโสมทัต พ่อลูกเข้าป่ายิงเนื้อล่าสัตว์ไปขายเพื่อยังชีพเนืองนิจ ครั้นตามรอยเนื้อไปใกล้บริเวณที่พระภูริทัตถือศีลอยู่ พรานทั้งสองได้ยินเสียงดุริยางค์และเห็นเหล่านางนาค จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ นางตกใจหนีไปเหลือพระภูริทัต ซึ่งจำแลงองค์เป็นมนุษย์
ด้วยความที่กลัวจะถูกพรานทำร้าย พระภูริทัตจึงพาเนสาท และโสมทัต ๒ พรานพ่อลูกลงไปชมเมืองบาดาล พระราชทานทรัพย์และให้อยู่เป็นสุขในเมืองนาคใต้พิภพ แต่ทว่าพรานมิมีบุญญาพอจะอยู่ในเมืองนาคได้นาน จึงทูลขอกลับบนโลกมนุษย์ เมื่อเวลา ๑ ปีผ่านไป พระภูริทัตก็พระราชทานทรัพย์ให้ ครั้งพอขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ทรัพย์สมบัติก็อันตรธานหายไปทั้งสิ้น เนสาทกับโสมทัตจึงต้องเป็นพรานล่าสัตว์ตามเดิม
ภัยจากคนโลภ
ในเวลานั้นครุฑหนึ่งบินลงจากวิมาน โฉบมาจับนาคไป ด้วยความกลัวนาคจึงเอาหางรัดต้นไทรแน่น เมื่อครุฑบินเหาะไปต้นไทรก็ลอยติดขึ้นไปด้วย ใต้ต้นไทรนั้นก็มีฤาษีถือศีลอยู่ใต้ต้นไทรนั้นด้วย
เมื่อกินนาคแล้วต้นไทรก็ตกลงสู่มหาสมุทรเสียงดังกัมปนาท ครุฑเกิดวิตกถึงผลบาปจึงแปลงเป็นมานพน้อย เข้าไปถามพระฤาษีว่าตนบาปหรือไม่ที่เอาต้นไทรไปเช่นนั้น เมื่อฤาษีตอบว่าผู้ไม่มีเจตนาย่อมไม่มีบาป พระยาครุฑดีใจจึงมอบดวงแก้วให้ฤาษีและมอบเวทมนตร์บทหนึ่งชื่อ "อาลำพายนะ" และยาทิพย์ก่อนจะจากไป
เวลาต่อมาฤาษีนั้นได้รับเอาพราหมณ์อนาถาผู้หนึ่ง ซึ่งหลบหนีเจ้าหนี้มาซุกซ่อนตัวอยู่ในอาศรม อาสาขอดูแลรับใช้พระฤาษีด้วยดี ฤาษีจึงเมตตาสอนมนตร์บทนั้นและมอบยาทิพย์ให้ แรกนั้นพราหมณ์มิยินดีรับไว้แต่ก็จนใจต้องยอมรับเพราะฤาษีวิงวอน
เมื่อพราหมณ์ออกจากอาศรมก็เดินทางผ่านแม่น้ำยมนา พบเห็นนางนาคของพระภูริทัตลงเล่นน้ำริมฝั่งแม่น้ำ แต่ละนางวางดวงแก้วไวบนหาดทราย
เหล่านางนาคเห็นพราหมณ์ผ่านมาก็หนีกันไปด้วยนึกว่าเป็นครุฑ พราหมณ์จึงเก็ฐดวงแก้วถือไปจนพบกับ ๒ พรานพ่อลูก เนสาทกับโสมทัต ๒ พรานพ่อลูกจำได้ว่าเป็นดวงแก้วของเมืองบาดาล ก็เกดโลภเข้าไปวางอุบายหลอกขอแก้ว แต่ทว่าพราหมณ์ก็มิยินยอมให้ไม่ว่าจะแลกกับอะไร ซ้ำยังคุยว่าตนมีเวทมนตร์และยาทิพย์ หาก ๒ พ่อลูกพาไปเมืองนาคได้ก็จะยอมให้แก้วนั้น
พรานโสมทัตผู้บุตรได้ทัดทานพ่อมิให้พาไป เพราะพระภูริทัตมีบุญคุณนัก แต่พรานเนสาทผู้พ่อโลภนัก โสมทัตจึงแยกทางไปบวชเป็นฤาษี พรานพ่อจึงพาพราหมณ์ ไปยังที่จำศีลของพระภูริทัต เมื่อพราหมณ์โยนดวงแก้วให้พรานเนสาท ดวงแก้วพลัดตกลงพื้นหายลงดินไป พรานจึงอดได้ดวงแก้วและ ก็ทำสิ่งเนรคุณต่อผู้มีคุณซ้ำยังเสียบุตรไปอีก
พระภูริทัตจำได้ว่าพรานผู้นี้เคยได้เสพย์สุขในบาดาล แต่กลับพาพราหมณ์มาปองร้าย หากพระองค์จะตอบโต้ ก็เกรงจะผิดศีล จึงทรงหลับพระเนตรนิ่งเฉยเสีย ด้วยเพราะตั้งจิตอธิษฐานสละชีวิตไว้แล้ว
ถูกทรมานแสนสาหัส
ด้านพราหมณ์ชั่วจึงกินยาทิพย์และ ร่ายเวทมนตร์เข้าจับพระภูริทัต กรอกยาให้สิ้นฤทธิ์จนสำรอกออกสิ้น จากนั้นจับพระองค์มัดด้วยเถาวัลย์ ทำทารุณย่ำเหยียบจนโลหิตโทรมพระวรกาย นำพระองค์ใส่เถาวัลย์ถักแล้วพาเข้าหมู่บ้าน ป่าวร้องเรียกคนมาดูนาคเพื่อหาทรัพย์
ชาวบ้านต่างพากันมามุงดู พราหมณ์ก็บังคับให้พระภูริทัตทำตัวใหญ่บ้าง ตัวเล็กบ้าง ให้แผ่พังพานจนถึง ๗ ชั้นบ้าง เปลี่ยนสีตามตัว เป็นหลายสีบ้าง ให้พ่นพิษบ้าง จนได้ทรัพย์มากมาย
พราหมณ์นำเขียดมาเลี้ยง พระภูริทัตก็ไม่ยอมกิน จนกระทั่งถูกนำมาถึงเมืองพาราณสี ก็เข้ากราบทูลพระราชาว่าวันรุ่งขึ้นจะเล่นงูถวายหน้าพระที่นั่ง
ด้านเมืองบาดาลนั้นพระนางสมุทรชาทรงสุบินว่าถูกฟันเอาแขนขวาไป ครั้นทราบความว่าพระภูริทัตหายไป จึงส่ง ๓ พระโอรส ออกตามหาด้วยร้อนพระทัยยิ่งนัก
เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ
|