หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเมตตาสั่งสอนชี้แนะ มนุษย์ทั้งหลายก็คงไม่พ้นติดกับดักของสัญชาติญาณแห่งการแบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา ให้คุณค่าแก่ตน หรือแก่พรรคพวกของตน แล้วกดข่มหรือตีค่าคนอื่น กลุ่มอื่นให้ต่ำต้อย
พระพุทธองค์สอนให้เราพิจารณาและวางท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์ในความเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เสมอหน้ากันหมด กล่าวคือให้วางจิตด้วยเมตตา และพร้อมช่วยเหลือเกื้อกูลในยามทุกข์ยาก เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มีแนวโน้มไปในทางแบ่งแยก ไม่ว่าจะโดยชาติชั้น วรรณะ ศาสนา สีผิว ฐานะ หรือแม้แต่เพศ
ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกงานเป็นสัมมาอาชีวะ และมิจฉาอาชีวะ เพื่อมุ่งให้ประกอบแต่อาชีพที่เป็นคุณ และโดยที่ไม่เป็นโทษต่อเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย อื่น ๆ นั้น ยุคสมัยนี้ กลับมุ่งจำแนกงานไปในอีกทางหนึ่ง เช่น งานที่ต้องใช้ทักษะชั้นสูง (High Skill) งานที่ใช้ทักษะอย่างต่ำ (Low Skill) ทั้งนี้ ก็เพื่อยกว่างานไหนมีคุณค่าสูง งานไหนมีคุณค่าต่ำ ซึ่งแน่นอนว่าการจำแนกและสมมติเรียกนั้น ย่อมจะเป็นประโยชน์ในทางโลก ๆ แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ การหลงเข้าไปติดกับดักของการแบ่งแยกเพื่อยกตนข่มท่าน แบ่งเรา แบ่งเขา จนทำให้ความรู้สึกในใจนั้น ยิ่งห่างจากคำว่า "เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ออกไปทุกที ๆ "
เป็นเรื่องที่น่าสลดใจที่แม้แต่ในวงการผู้สนใจปฏิบัติธรรม ก็มีแนวโน้มไปอย่างโลก ๆ กล่าวคือ พยายามแบ่งแยกเพื่อยกตนข่มท่าน เช่น นี้สำนักวิปัสสนา นั้นแค่สำนักสมถะ สำนักนี้สอนการดูจิต สำนักนั้นยังสอนแค่การดูกาย
ทั้ง ๆ ที่พระพุทธองค์ก็สอนธรรมแบบองค์รวม การแยกแยะในชั้นหลักการหรือทฤษฎีก็เพียงเพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้นต้องเป็นไปแบบองค์รวม อันไม่อาจแบ่งแยก เหมือนควั่นเชือกที่ขมวดเป็นเกลียวรวมอยู่ด้วยกัน หรือเหมือนไม้ ๓ ท่อนที่วางพิงกันไม่ให้ล้ม ฉันใดก็ฉันนั้น
หลวงปู่ครับ ยิ่งนานวันผมยิ่งเข้าใจคำที่หลวงปู่สอนว่า
"ให้ปฏิบัติอย่างคนโง่"---------------------------------------------------------
บทความจากลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ดู่