สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐาน คือกรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ได้แก่การปฏิบัติธรรมด้วยการบริกรรม เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดย ใช้สมาธิเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับการใช้ปัญญาและ มุ่งให้จิตสงบ ระงับจากนิวรณ์ซึ่งเป็นตัวขัดขวางจิตไม่ให้บรรลุความดีเป็นสำคัญ สมถกรรมฐานเป็นอุบายวิธีที่หยุดความฟุ้งซ่านแห่งจิตซึ่งมักจะฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ กล่าวคือ หยุดความคิดของจิตไว้ วิปัสสนากรรมฐาน คือ กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา, กรรมฐานทำให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง หมายถึงการปฏิบัติธรรมที่ใช้สติ เป็นหลัก วิปัสสนากรรมฐานบำเพ็ญได้ โดยการพิจารณาสภาวธรรมหรือนามรูป คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะอินทรีย์ให้เห็นตามความเป็นจริง คือ เห็นด้วยปัญญาว่าสภาวธรรมเหล่านี้ ตกอยู่ในสามัญลักษณะหรือไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการ รวมตัวของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น วิปัสสนากรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่มุ่งอบรมปัญญาเป็นหลักคู่กับ สมถกรรมฐาน ซึ่งมุ่งบริหารจิตเป็นหลัก ในคัมภีร์ทางพระศาสนา ทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั่ว ๆ ไปมักจัดเอาวิปัสสนาเป็นแค่ สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา เพราะในวิภังคปกรณ์พระพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้อย่างนั้น ทั้งนี้ก็ยังพอจะอนุโลมเอาวิปัสสนาว่าเป็นภาวนามยปัญญา[ต้องการอ้างอิง] ได้อีกด้วย เพราะในฎีกาหลายที่ท่านก็ อนุญาตไว้ให้ ซึ่งท่านคงอนุโลมเอาตามนัยยะพระสูตรอีกทีหนึ่ง และในอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรคท่านก็อนุโลมให้เพราะจัดเข้าได้ใน ภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุข้อ 10. รายละเอียดวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเจริญปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ การปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 ดังบรรยาย ไว้โดยละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตร ในพระไตรปิฎกระหว่างปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อผู้ปฏิบัติกำลังมนสิการขันธ์ 5 อย่างหนึ่ง อย่างใดอยู่โดยไตรลักษณ์ ผู้ปฏิบัติอาจเกิดวิปัสสนูปกิเลส (คือ อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา 10 อย่าง) ชวนผู้ปฏิบัติให้เข้าใจผิด คิดว่าตนได้ มรรคผลแล้ว คลาดออกนอกวิปัสสนาวิถีได้โดยใช้สมาธิยึดดึงอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน40กองมาบริกรรมจนกระทั่งจิต แนบแน่นในอารมณ์นั้นและสงบระงับไม่ฟุ้งซ่านต่อไป
ภิกษุ ท. ! บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก เหล่านี้ มีอยู่หาได้อยู่ ในโลก. เจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ? คนตกน้ำ... พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบบุคคลในโลกนี้....เหมือนคนตกน้ำ ไว้ 7 ประเภท...นับว่าน่าสนใจ และอาจใช้เปรียบเทียบกับตัว เราได้ แต่สำนวนค่อนข้างจะฟังยาก.....จึงขอสรุปเป็นภาษา ชาวบ้านดังนี้.... บุคคลประเภทที่ 1 'ตกน้ำแล้วคราวเดียว ก็จมลงไปเลย'.... ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว ชีวิตทั้งชีวิตนี้ มีแต่การประกอบ อกุศลธรรมโดยส่วนเดียว.... บุคคลประเภทที่ 2 'ตกน้ำแล้ว ก็โผล่ขึ้นมา แต่กลับจมลงไปอีก'.... ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตัปปะ วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆในกุศลธรรมทั้งปวง แต่ธรรมเหล่า นั้น มีศรัทธาเป็นต้น ไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น ได้แต่เสื่อมไป... บุคคลประเภทที่ 3 'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมา แล้วทรงตัวอยู่ได้'... ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือศรัทธา หิริ โอตัปปะ วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง แต่ธรรมเหล่า นั้น มีศรัทธาเป็นต้น เป็นธรรมที่ไม่เสื่อม แต่ก็ไม่เจริญขึ้น... ทรงตัวอยู่เหมือนเดิม..... บุคคลประเภทที่ 4 'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ แล้วเหลียวไปมา'... ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง เพราะละสังโยชน์ 3 ได้ เป็นพระโสดาบันบุคคล มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า... บุคคลประเภทที่ 5 'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ กำลังเตรียมตัวจะข้ามน้ำ'... ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง เพราะละสังโยชน์ 3 ได้ และทำราคะ โทสะ และโมหะ ให้บางเบาลง เป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้... บุคคลประเภทที่ 6 'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมาก็ได้ที่พึ่ง'... ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง เพราะละโอรัมภา- คิยสังโยชน์ 5 ได้สิ้นไป เป็นพระอนาคามี จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา.... บุคคลประเภทที่ 7 'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำได้แล้ว กลายเป็นพราหมณ์ ข้ามพ้นฝั่ง และยืนอยู่บนบก'.... ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง กระทำ ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้ง หลายสิ้นไปด้วย..'ปัญญา' อันยิ่งเองในปัจจุบัน เป็น...'พระอรหันต์'... คนตกน้ำ 7 จำพวก ( อุทกูปมสูตร )
เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ
|