Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ปฏิบัติธรรมต้องใช้ขันติ

พุธ 03 มิ.ย. 2015 3:03 pm

....ในการปฏิบัติธรรม..ยากก็ทน..ลำบ­ากก็ทำ..ทุกข์ก็ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้หน้า บูชาพระศาสดา กู้พระ­ศาสนา กู้เพศแห่งสมณะ กู้ผ้าเหลือง ­ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้ชนะมา­ร..มีป่าช้าอยู่กับตัวกลัวอะไร สิ้นลมที่ไหนก็ปล่อยร่างวางไว้ที่นั่น อย่าอาลัยเสียดายชีวิตยิ่­งไปกว่าธรรม
เราเป็นนักรบในวงค์ป­ฎิบัติหากมัวแต่หดหัวกลัวทุกข์ ไ­ม่บุกทำลายรังกิเลสให้เด็ดขาด มั­วขลาดมัวเขลาเบาปัญญาไม่กล้าเข้­าเผาทลายกิเลสด้วยการปฎิบัติธรรม­อันเลิศล้ำและยอดยิ่งแล้ว จะรู้จ­ะได้ความจริงมาจากไหน แม้พระพุทธ­เจ้าพระองค์ใดก็ตาม กว่าจะได้บรร­ลุธรรมทรงพยายามฟันฝ่ากล้าต่อสู้ หากยังไม่ตรัสรู้ธ­รรมนำเฉลย ก็อย่าหวังเลยว่าจะถอย­หนี ให้กิเลสน้อยใหญ่ย่ำยีเยาะเย้ยเหยียบย่ำทำลายลง....."


***โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน



ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฎิบัติเพื่อให้จิตใจบรรลุถึงความรู้สภาพความเป็นจริงของสภาวธรรมนั่นเอง .......

ทีนี้การทำสมาธิตามหลักการ เราอาจจะทำโดยที่ไม่ต้องมีศีลก็ได้ เช่น อย่างสมาธิของพวกนักไสยศาสตร์ ผู้ที่ทำวิชาอาคมครอบหนังบังฟัน ทำคุณคนคุณไสย เขาใช้พลังของสมาธิเหมือนกัน แต่วิชาการอันนี้เป็นสมาธิเพื่อทำร้ายคนอื่น แต่เขาก็ทำสำเร็จได้ อาศัยพลังสมาธิ แต่สมาธิไม่มีศีล จึงย่อมจะสามารถใช้ไปในทางที่ผิดได้ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า สมาธิมี ๒ อย่าง


มิจฉาสมาธิ หมายถึงสมาธิผิด เป็นมิจฉาสมาธิ

สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ถูกต้อง เป็นสัมมาสมาธิ

ทีนี้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมเพื่อจะให้บรรลุมรรคผล หรือจะให้เป็นแนวทางที่จะนำสมาธิไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ผิดกฏหมายและศีลธรรม เราต้องอาศัยศีล มีสมาธิที่มีศีลเท่านั้น ที่จะนำวิถีจิตของผู้บำเพ็ญให้ดำเนินไปสู่สัมมาสมาธิโดยถูกต้อง

ดังนั้นวันนี้ท่านผู้ที่มาฟังธรรมอยู่ในสมาคมนี้ บางทีอาจจะได้อธิษฐานจิตสมาทานอุโบสถศีล หรือบางท่าน หรือหลาย ๆ ท่าน หรือทุกท่านอาจจะได้สมาทานศีล ๕ เป็นหลักปฏิบัติประจำ

อาตมาเห็นว่า การที่เรามาตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์นี้เป็นการถูกต้องและเป็นการชอบแล้วและยังเหมาะสมกับภาวะความเป็นอยู่ของเราที่เป็นคฤหัสถ์ ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ตามชั้นภูมิของความเป็นคฤหัสถ์ ได้ชื่อว่าเป็นการปรับพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่คู่ควรแก่การที่จะบำเพ็ญคุณความดีเพื่อให้เกิดมรรค ผล นิพพาน หรือ รู้จริงเห็นจริงในธรรมะตามความเป็นจริง เราจะต้องอาศัยศีล ๕ เป็นพื้นฐาน อย่าเพิ่งทะเยอทะยานว่าเราจะต้องรักษา ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เมื่อเรามีความมั่นใจในการรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ พร้อม ๆ กับทำสมาธิเจริญปัญญาให้เกิดขึ้น ศีลอื่น ๆ ซึ่งจำนวนมากกว่านั้น แม้เราไม่ได้ตั้งใจที่จะเพิ่ม โดยกฎธรรมชาติแห่งความดีที่เราบำเพ็ญให้ถึงพร้อม เราจะเพิ่มขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

จากหนังสือ: ฐานิยปูชา
ตอบกระทู้