''' การให้ทาน คนมีทานคือคนมีความชุ่มเย็นภายในใจ มีที่รับรองภพชาติของตน ทั้งปัจจุบันก็อบอุ่นเย็นใจ ในอนาคตชีวิตจิตใจจะล้มจะตายไปเหมือนโลกทั่วๆไป แต่สถานที่คือความดีทั้งหลายที่กลายเป็นแก้วสารพัดนึกเป็นของทิพย์นั้น จะรอรับเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ปัจจุบันที่มีชีวิตอยู่นี้จนกระทั้งชีวิตหาไม่แล้ว บุญกุศลผลงานอันเลิศเลอของเรานี้ จะตามสนับสนุนเราไปในภพชาติต่างๆ ''' ''' คติธรรม ''' ::: องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน :::
“ภาวนาอยู่ถ้ำผาบิ้งนั่นล่ะ ไปอยู่ได้ ๓ คืน พอคืนที่ ๔ เรากำหนดลมหายใจเข้าออกรู้อยู่จนลมแผ่วเบาลมดับไปเหลือแต่ผู้รู้ ขณะเหลือแต่ผู้รู้นั้นก็เกิดแสงสว่างจุดเล็กๆ แล้วก็ขยายวงกว้างขึ้นๆ จนเต็มโลกมองไปทางไหนไกลขนาดไหนรู้จักได้ เห็นได้หมด
มันเหมือนกันกับจุดเทียน แสงสว่างเริ่มขึ้นขยายขึ้นเรื่อย ๆ มันแจ้งไปหมด แต่มันแจ้งในสัตว์โลก แล้วก็ตั้งความสว่างอยู่อย่างนั้น เราก็พิจารณาดูอยู่อย่างนั้น นานประมาณ ๒๐ นาที
แสงสว่างก็ค่อยๆ ลดลงลดลง จนเหลือจุดเล็กแล้วดับไป เราก็รู้ตัวอยู่พอแสงนั้นดับไปแล้ว เราก็ถอนจิตออกมา
นั่งพิจารณาวิจารอยู่ว่าอย่างนี้เราจะเรียกว่าเป็นอย่างใด พิจารณาอยู่นานหรืออย่างนี้หรือที่เรียกว่า อาโลกกสิณ พอพิจารณาได้อย่างนั้น จิตใจก็ปลอดโปร่งดี
สักพักหนึ่งก็มีหมู่เทวดา ๓ หมื่นมาหา “ มาทำไม ” “ มาตามแสงสว่างนี้ ” “ เหตุผลอันใด ” “ ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้า เคยเป็นญาติสายโลหิต เคยเป็นผู้ทำความดีมานานหลายภพหลายชาติ” “ อยู่ที่ไหน” “ อยู่เพชรบูรณ์” “ ยุคสมัยใด” “ ยุคสมัยที่เป็นพระเจ้าจักพรรดิ์ อยู่ ๗ ชาติ”
เวลาเขามาแล้วก็เข้ามาหากราบไหว้คนที่ร้องห่มร้องไห้ บ่นว่าคิดถึงนานแล้ว ไม่เห็นมาสักที เขาก็เรียกเราต่างๆกัน บางคนก็เรียกว่า เจ้าพี่, เจ้าน้อง, พระองค์เจ้า, บางคนก็จะเข้ามากอดรัดคลอเคลียแข้งขา ผู้เป็นหัวหน้าก็ห้ามไว้ว่า
“ ชีวิตนี้เป็นนักบวชเป็นศิษย์ของพระองค์พุทธเจ้าแห่งเรา อย่าได้แตะเนื้อต้องกายของท่านนะ” เราก็พูดคุยเขาอยู่นาน แล้วเขาก็ลากลับไป
วันใหม่ก็มาอีก วันมากวันน้อย หลายแสนหลายล้านอยู่กันเต็มไปหมด มาจากเพชรบูรณ์บ้าง ผาม่านบ้าง ภูกระดึงบ้าง เมืองราดบ้าง นครศรีเทพบ้าง เอราวัณบ้าง นาแห้ว ด่านซ้าย มากัน เราก็บอกสอนให้ระลึกถึงในคุณงามความดีของตน อันตนทำไว้แล้ว เป็นอยู่อย่างนั้น ๑๕ คืน จึงหมดไม่มาหาอีก
หมู่พระที่อยู่ด้วยกัน เขาว่า “ ท่านจามเป็นบ้าไปแล้ว พูดอยู่ได้คนเดียวดึกดื่นค่อนคืน” ยิ่งพระสิงห์ คนกันทรวิชัย ยิ่งว่าให้เราหนักฯ หาว่า “ ธรรมแตก” “ ประสาทกินหัวขมอง ” “ พระผีบ้า”
เราก็เฉยอยู่เพราะเขาไม่ได้ยินด้วยไม่ได้เห็นด้วยกับเรา หากจะอธิบายอย่างไรเขาก็คงไม่เชื่อได้
พระสิงห์ รูปนี้อยู่ด้วยกันก็ปรามาสเจ้าถิ่นเจ้าที่ว่า “ไหนเขาว่าถ้ำผาบิ้งศักดิ์สิทธิ์ มาอยู่แล้วไม่เห็นมีอะไร” เราก็ห้ามอย่าไปว่าอย่างนั้นเรานักบวชมาอยู่มาอาศัยก็ขออยู่ไปวันๆ เท่านั้น บอกว่าอย่างใดก็ไม่เชื่อเรา เพราะถือว่า บวชก่อนพรรษามากกว่าเรา สุดท้ายก็เฉยไม่ว่าไม่กล่าวอันใด
หลังจากหมดภาระในการต้อนรับพวกหมู่เทวดาที่เคยเป็นญาติพี่น้องนั้นแล้ว เราก็ตั้งใจภาวนา เพราะบอกพวกเขาไม่ให้มาหาอีก ขอให้อยู่เป็นสุขตามภูมิสถานของตน
เราก็ตั้งใจภาวนา เพราะภาวนาสบาย สงบง่าย คล่องทุกอย่าง เพราะได้สัปปายะดี
จนวันสุดท้ายก่อนจะเดินทางต่อ กำหนดภาวนาจึงรู้ได้ว่า “ ถ้ำผาบิ้งนี้เคยเป็นโรงอุโบสถสังฆกรรมมาก่อนของยุคหลังพุทธะ และเป็นที่นิพพานดับรูปขันธ์ของพระอุบาลีเถรเจ้า เมื่อครั้ง พ.ศ. ๔
ก่อนไปเราก็ขอขมาในเขตสงฆ์แต่โบราณและเขตสงฆ์ในยุคต่อๆ มาจนปัจจุบัน
หลวงพ่อเฒ่าผู้ใหญ่บ้านบ้านนาแกที่บวชอยู่ไม่ต้องการให้ไปหนีจาก เราก็อธิบายให้คนเฒ่าฟัง จนคนเฒ่ายอมก็เป็นอันว่าไปต่อเดินทางต่อ ค่ำไหนนอนนั่น”
ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
|