หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท -------------------------------------- "..ถ้าพิจารณากายไม่ได้.. ยังหยาบอยู่ อย่าเข้าใจว่าตัวเป็นผู้ประเสริฐ.. นี่.. ต้องเข้าใจอย่างนั้น.." หลวงปู่เจี๊ยะท่านว่า.. พิจารณากายขึ้นลงอย่างนั้น.. นั่นแหละมรรคตัวสำคัญ..
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ------------------------------------- การพิจารณาก็อย่างที่เคยเทศน์อยู่ว่าให้ตัดอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ตัดลงไปอย่างนี้ นึกต้องนึก เมื่อนึกถึงว่าขาหลุด ขาเราหลุดไปข้างหนึ่งไปเน่า อยู่ที่หน้าเท่านี้พอ แล้วก็เพ่งจิตของเรานี่ที่มันสงบตัวนั้นเพ่งไปดูสภาพอันนั้น
มันจะปรากฏไหม ถ้าไม่ปรากฏก็ไม่เป็นไร นึกอย่างนั้น แต่ถ้าว่ากำลังสมาธิมันดีบางทีมันก็เกิดปฏิภาคขึ้น ภาพนั้นขาที่เราบอกให้หลุดไปน่ะ มันก็หลุดไปอยู่ที่หน้า เห็นชัดเหมือนอย่างดูโทรทัศน์ หรืออย่างดูหนังญี่ปุ่นอย่างนั้นเลย นี่ลักษณะเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น จึงว่า ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของประเสริฐเมื่อบุคคลผู้นั้น ได้ประสบอย่างนั้นแล้ว ใครจะมาบอกว่าสมาธิไม่มี เราจะเชื่อไหม เราก็ไม่เชื่อซิ เพราะมันเกิดขึ้นกับตัวเราเอง มันประจักษ์ ขาเราให้หลุดมันก็หลุดออกไป กำหนดให้มันเปื่อย มันก็เปื่อยออกไปให้มันเป็นกระดูกมันก็เป็นกระดูก อยู่อย่างนั้น เอากลับเข้ามาตัวเราก็เข้ามาได้ แล้วทีนี้เอาหัวออกไปบ้างหัวก็หลุดออกไปอย่างนั้นนี่ นี่ลักษณะอย่างนี้ จึงเรียกว่าเป็นสมาธิ นี่ยังอยู่ในขั้นลักษณะของสมถะอยู่ ยังไม่ใช่วิปัสสนา
เมื่อเล่นอย่างนี้ จนชำนาญคล่องแคล่ว ลักษณะสมาธิอย่างนี้ เป็นสมาธิที่มีกำลังแข็งแรง กำลังที่มีความเด็ดเดี่ยวอย่างนี้ เมื่อถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็จำเป็นจะต้องใช้การค้นคว้าพินิจพิจารณา การค้นคว้าพิจารณาก็ต้องพิจารณากายนี่ หรือจะเอาอะไรอันหนึ่งมาพิจารณา เมื่อเราจะพิจารณากายก็ตัดส่วนออกไป เป็นชิ้น ๆ ส่วน ๆ อย่างนั้น แต่บางทีถ้าสมาธิมันยังกล้าแข็งอยู่มาก อย่างนั้น ในลักษณะที่ตัดอย่างนั้น บางทีก็ยังมีส่วนที่ปรากฏเป็นปฏิภาคอยู่ แต่เราอย่าไปเสวยในขณะที่เป็นปฏิภาคอยู่ให้เริ่มพิจารณา ไปให้จิตมันเดินอยู่อย่างนั้น แล้วมันเดินอยู่อย่างนั้นแล้วปฏิภาคตัวนั้นจะดับ
เมื่อดับอย่างนั้น เราอย่าเข้าใจว่าสมาธิเสื่อม ลักษณะไม่ใช่สมาธิเสื่อม ลักษณะนั้นมันจะลักษณะของการเดินปัญญา ถ้าเดินปัญญาแล้วลักษณะของปฏิภาคจะไม่ปรากฏขึ้น เมื่อเดินมากเท่าไร จิตยิ่งไม่ไปไหน เราจะนึกสิ่งใดก็ได้สมความปรารถนา อย่างนั้นตลอดเวลา เป็นเวลาตั้งชั่วโมงสองชั่วโมง ก็พิจารณาได้อย่างนั้น จิตเดินเฉพาะกายอยู่อย่างนั้น เดินขึ้นเดินลงเดินไปเบื้องซ้าย เดิน - เบื้องขวา ขึ้นจากเบื้องปลายเท้ามาถึงศีรษะเดินได้ตลอดตับไตไส้พุงทั่วไปหมดอย่างนั้น นี่ลักษณะนี้สติมันควบคุมอยู่ท่านเรียกว่าปัญญาเข้าไปพิจารณาเป็นอย่างนั้น
เมื่อถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้ว มันก็แจ้งชัด ถ้าเมื่อเราพิจารณาอย่างนั้นชั่วโมงหนึ่ง วางจิตลงไปให้มันเข้าไปสงบอย่างนั้น เป็นเวลาได้ชั่วโมงหนึ่งเต็มที่ไม่มีการปรุงไปไหนเลย นั่นใจอย่างนั้นแล้ว ถีนมิทธะก็ไม่มีเข้ามาครอบงำ จิตผ่องใสสว่างสะอาดหมดจดแจ่มใสชื่นเบาหมดอย่างนั้น นี่สมาธิอย่างนี้เรียกว่าสมาธิสมควรแก่การงานที่เราจะต้องพิจารณาอย่างนั้น นี่สมาธิต้องเป็นอย่างนั้น พักตั้งสองชั่วโมงก็ได้เมื่อเรารู้พัก การพักอย่างนั้นเข้าไปเสวยความสุข มันไม่ใช่ทำงาน
(หลวงปู่ขาว อนาลโย)
ทำความดีมีการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ซึ่งเป็นเหมือนดาบอันคมกล้า ตัดกิเลส ตัณหา ตัดภพ ตัดชาติให้เบาบางและสั้นเข้ามา
เมื่อบำเพ็ญอยู่โดยสม่ำเสมอไม่ลดละปล่อยวาง ความดีเหล่านี้ย่อมจะมีกำลังกล้าขึ้นโดยลำดับ และตัดกิเลสตัดภพชาติให้สั้นเข้ามาจนถึงภพชาติปัจจุบัน
และรู้เท่าทันพร้อมทั้งตัดกิเลสอันเป็นเชื้อแห่งภพ ที่ฝังอยู่ภายในใจให้ขาดกระเด็นออกเป็นผุยผง ไม่มีชิ้นต่อกันกับใจอีกเลย
แล้วภพชาติจะเรียกโคตรแซ่ที่ไหน จะมาพาให้เกิดแก่เจ็บตาย เพื่อหาบหามกองทุกข์น้อยใหญ่อีกต่อไปเล่า
ถ้าลงใจได้บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้ว เมื่อใจได้ถึงขั้นนี้แล้ว กิเลสอย่างไรก็เรียกไม่กลับแน่นอน
ปู่กับกิเลสมันเคยฟัดกันมาอย่างโชกโชน ถึงขนาดใครดีใครอยู่ ใครไม่เก่งจงบรรลัย สุดท้ายกิเลสบรรลัย
พระพุทธเจ้าบรมศาสดาของพวกเราเพียงสลบเท่านั้น สำหรับปู่เองเมื่อลมหายใจสิ้นเมื่อไร ไม่อยู่ ปู่ต้องไป ขี้เกียจแบกหามธาตุขันธ์อันนี้เต็มประดาแล้ว
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร --------------------------------------- ความขัดข้องวุ่นวายเกิดจากอะไร เกิดจากใจที่ไปยุ่งเกี่ยวกับสัญญาอารมณ์ต่าง ๆ เราก็หักห้ามเอาไว้ไม่ให้ใจมันไปปรุงไปคิด ไปติดไปข้องด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ จะบริกรรมก็ได้ จะกำหนดลมก็ได้ จะเพ่งกระดูก เพ่งหนัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ หรือจะบริกรรมเรื่องความตายก็ได้ เพราะความตายนั้นทุกคนมีเหมือนกัน แขวนคอเราอยู่ ไม่ว่านั่ง ว่านอน ว่ายืน ว่าเดิน จิตใจที่ฟุ้งปรุงเพลิดเพลินต่าง ๆ ก็เพราะความไม่ได้คิดถึงความตายของเรา คิดว่าเราจะมีอายุยืนยงคงอยู่เป็นระยะยาวนาน ถ้าหากเห็นความตาย ความเจ็บไข้เป็นประจำกาย ประจำใจอยู่แล้ว มันก็ไม่มีทางเพลิดเพลินไปได้ เพราะคนจวนจะตาย ถึงข้าวของเงินทองมากมาย ก่ายกองขนาดไหน เขาก็ไม่มีความสุข ความสบายให้ เพราะทุกข์มันรุมบีบคั้นกายใจ
ทุกคนก็จะไปสู่จุดหมายเดียวกันคือ ความตาย เมื่อเราพิจารณาความตาย มรณสติ อยู่สม่ำเสมอ จิตใจเราจะไม่เพลิดเพลินไม่มัวเมาในสิ่งของภายนอก จิตใจจะสงบ จิตใจจะเยือกเย็น จิตใจจะเบื่อหน่ายในภพชาติ แสวงหาอยู่ตลอดเวลาได้มาก็หึงหวง เก็บรักษา เป็นทุกข์ทั้งในเวลาที่แสวงหา เป็นทุกข์ในเวลาได้มาเพราะรักษาเอาไว้ กลัวมันจะหายไป แต่เมื่อตายไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นทั้ง ๆ ที่เราหึงหวงอยู่ขนาดนั้น มันได้อะไรติดตัวของเราไปไหม เราทำไมจึงไปหลงใหล ไปเกี่ยวข้องจนเกินเหตุเกินผล ไม่มีวันเวลาที่จะภาวนาละกิเลส นี่เป็นเรื่องของเราจะสอนเราเอง พิจารณาด้วยตัวเราเอง เพราะทุกคนจะไปสู่ความตายด้วยกันทั้งนั้น
|