นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 7:43 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ไม่ควรประมาท
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 24 ก.ค. 2015 5:04 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
หลวงตามหาบัว
----------------------------------------
วันหนึ่ง "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" ไม่ควรให้ขาดจากหัวใจ ไปที่ไหนให้ระลึกเสมือน "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ ลากสัตว์ทั้งหลายให้ขึ้นจากนรกไปสวรรค์นิพพาน มีน้อยเมื่อไหร่.?. จึงไม่ควรประมาท


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
----------------------------------------
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระภิกษุ ไปเยี่ยมป่าช้ากัน เพื่อจะได้ตัด อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นใน ร่างกาย เพื่อจะได้ตัดความอยาก ในร่างกาย ความอยากให้ร่างกาย ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หรือ ความอยาก ในกามารมณ์ที่เห็นร่างกายว่าเป็น ร่างกายท่ีสวยงาม ถ้าไปเห็นสภาพ ของร่า งกายที่ตายไปแล้ว ก็จะไม่เกิดกามารมณ์ข้ึนมา



หลวงปู่ศรี มหาวีโร
----------------------------------------
ธรรมทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา.. ก็ให้รู้อยู่ในจิตใจ จิตก็รู้อยู่ในจิต ท่านให้อยู่ที่ความรู้.. คือให้ตั้งสติไว้ในสิ่งเหล่านี้ ร่างกาย เวทนา จิต ธรรม
นี้เป็นการฝึกหัดสติให้แก่กล้า ถ้าหากเราตั้งอยู่นานนานแล้วอาการของจิตที่ส่งหน้าส่งหลังไปตามสัญญาอารมณ์ ฟุ้งซ่านรำคาญไปเหล่านั้นมันก็จะหมดไป ค่อยลดละไปด้วย.. จิตใจเราก็ค่อยหดตัวเข้ามาสู่ตัวเอง
คล้ายๆกับว่าเป็นการดึงความรู้ทั้งหลายแหล่.. ให้มารวมความรู้อยู่ในจุดเดียว คือ จิตใจของเรา ถ้ามารวมได้สักครั้งสองครั้ง.. เราจะเห็นรสชาติของจิตใจ..ซึ่งมันวางจากอารมณ์ต่างๆ มีความสดชื่นเบิกบานขึ้นมา




"ถ้าจิตหรือปฏิสนธิวิญญาณยังไม่บริสุทธิ์อยู่ตราบใด ยังต้องอยู่ในกฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตที่ถอนอัตตานุทิฏฐิออกโดยสิ้นเชิง ไม่มีสมมุติเหลืออยู่แม้นิด จึงเรียกว่าจิตว่าง หรือจิตบริสุทธิ์"


หลวงตาตอบปัญหาธรรมให้แก่ชาวอังกฤษ
เมื่อวันเสาร์ วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ.๑๙๗๔)
ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

คำถามชาวอังกฤษ : เรื่องจิตไม่ตาย อยู่ถาวร เข้าใจว่าจิตเหมือนกับ SOUL วิญญาณในคริสตศาสนา ขอให้ท่านชี้แจงเพิ่มเติม

หลวงตาอธิบายธรรม : จิต มโน วิญญาณ ในขันธ์ ๕ ได้แก่ตัวรู้คือจิตใจ วิญญาณ ความรู้สึก จากการรู้สัมผัสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งเหล่านี้ เกิด-ดับๆ ๆ แต่ปฏิสนธิวิญญาณ เป็นจิตที่ไปเกิดในที่ต่างๆ ในลักษณะต่างๆ ไม่เหมือนกัน เพราะจิตนี้มีพืชพันธุ์ติดไปคือกรรมที่ทำไว้ ส่งให้ไปเกิดต่าง ๆ กันได้ ในพระพุทธศาสนาอธิบายว่า สัตว์เกิดมาไม่เหมือนกันเพราะปฏิสนธิวิญญาณหรือจิต ในวิญญาณหรือจิตนี้มีสภาพเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ กรรมเป็นเครื่องบังคับให้เป็นไป ต่อเมื่อได้ชำระฟอกจิตดวงนี้ให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม อันจะติดไปกับจิตดวงนี้ จิตนั้นก็บริสุทธิ์ รู้ตัวเองว่าไม่ไปเกิดอีก และเป็นวิมุตติพ้นจากกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างเด็ดขาด

ถ้าจิตหรือปฏิสนธิวิญญาณยังไม่บริสุทธิ์อยู่ตราบใดยังต้องอยู่ในกฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตนี้ละเอียดยิ่งนัก จะเป็นอนัตตาได้อย่างไรนั้น จิตที่ถอนอัตตานุทิฏฐิออกโดยสิ้นเชิง ไม่มีสมมุติเหลืออยู่แม้นิด จึงเรียกว่าจิตว่าง หรือจิตบริสุทธิ์ ได้เต็มภูมิ เพราะอัตตาและอนัตตาไม่มีในจิต จิตพ้นจากธรรมทั้งสองคืออัตตาและอนัตตาอย่างตายตัวแล้ว

(ภาพท่านพระอาจารย์ปัญญาวัฑโฒ ท่านพระอาจารย์เชอรี่ ติดตามองค์หลวงตาไปประเทศอังกฤษ เมื่อพ.ศ.๒๕๑๗)



หลวงตามหาบัว
---------------------------------------
ทุกท่านซึ่งกำลังนั่งฟังการพรรณานาถึงกฎของคติธรรมดาอยู่ด้วยความสนใจ โปรดใช้ปัญญาพิจารณาปลงธรรมสังเวชลงให้ถึงหลักความจริงของธรรมที่กล่าวมานี้ ซึ่งขณะนี้มีอยู่กับตัวของเราทุกท่านอย่างสมบูรณ์

อนิจจังได้อธิบายมาบ้างพอประมาณ แม้ทุกขัง อนัตตาก็โปรดทราบว่าอยู่ในจุดเดียวกัน เช่นเดียวกับเชือกสามเกลียวที่ฟั่นติดกันเป็นเส้นเดียวนั่นแล พูดถึงเรื่องของทุกข์แล้วไม่ควรจะเป็นสิ่งที่น่าสงสัยที่ไหน เพราะไม่ใช่เป็นของลี้ลับ แต่มีอยู่ในกายและในใจของมนุษย์และสัตว์ทุก ๆ ราย แม้แต่เด็กตัวแดงๆ ที่พึ่งคลอด เขายังต้องผ่านออกมากับความทุกข์และแสดงอาการให้เรารู้ว่าเขาเป็นทุกข์ ทุกอาการที่เขาแสดงออกมาในเวลานั้นล้วนเป็นเครื่องส่อให้เห็นว่า กองทุกข์เริ่มแสดงตัวออกมาอย่างเปิดเผย จากนั้นก็แสดงทุกข์ติดต่อกันไปตลอดสาย จนถึงวาระสุดท้ายก็แสดงตัวอย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง แล้วต่างอาการต่างก็แยกย้ายกันไปที่โลกให้นามว่าตาย

สิ่งทั้งนี้เป็นเรื่องแสดงออกแห่งกฎของไตรลักษณ์โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้พอจะให้เกิดความสงสัย เพื่อความแจ้งประจักษ์ใจ โปรดมองลงไปที่กายกับใจของเราเอง เราจะได้เห็นทุกข์แสดงตัวเป็นอาการต่าง ๆ เต็มอยู่ในกายในใจอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันและเวลาบกพร่อง ความเคลื่อนไหวไปมาต่าง ๆ ที่เราแสดงออก ล้วนเป็นวิธีหาทางบรรเทาทุกข์ในตัวเราทั้งนั้น ฉะนั้นทั่วโลกจึงไม่มีใครจะอยู่เหนือใคร และได้เปรียบใครในเรื่องความทุกข์ในขันธ์ เพราะแต่ละขันธ์มันเป็นบ้านเรือนของทุกข์ และเป็นที่อยู่หลับนอนของเขาเสมอกัน เวลาสงบบ้างก็สงบในที่นี้ ถ้าเทียบกับทางโลก เรียกว่าทุกข์พักผ่อนตัวเอง

เวลาเขาตื่นนอนก็แสดงขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เราก็เข้าใจว่าทุกข์เกิดขึ้นที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง แท้จริงคือเขาตื่นนอน และไม่ทราบว่าจะขับไล่ให้เขาออกจากร่างกายนี้แล้วไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะทุกข์มันเป็นเรื่องของเรา เนื่องจากร่างกายเราถือว่าเป็นของเรา ถ้าขับไล่เขาไปก็เท่ากับขับร่างกายเราไปด้วย ถ้าไม่ยอมขับไล่ร่างกายเพราะเป็นสิ่งที่รักและสงวน ก็เท่ากับยอมให้ทุกข์อยู่ด้วย เพราะกายกับทุกข์มันเป็นสิ่งอาศัยกันอยู่ เรื่องก็จำต้องลงเอยกันตรงที่ว่า ทุกข์กับเรายอมกอดคอกันตายเท่านั้นเอง

การพิจารณาทุกข์โดยทางปัญญา ควรให้รู้เห็นตามหลักความจริงของเขา ไม่ให้ขัดแย้งกันระหว่างเรากับทุกข์ ระหว่างทุกข์กับขันธ์ จะเป็นความราบรื่นของปัญญาซึ่งจะแสวงหาทางออกจากทุกข์ให้จิตโดยชอบธรรม แม้ที่ถือว่าร่างกายเป็นตัวเป็นตน ก็เนื่องจากอุปาทานในกายมันรัดตัวอย่างเต็มที่ จึงกลายเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมา ที่เรียกว่านั่นเป็นเรา เป็นเขา นั่นเป็นของเรา เป็นของเขา เมื่อถอนอุปาทานในกายออกได้แล้ว คำว่าตนก็ไม่มีปัญหา มันหายไปเอง เมื่อตนเองหายไปจากกาย เพราะอุปาทานถอนกรรมสิทธิ์ ทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเพราะอุปาทานในกายก็ไม่มี

ส่วนด้านจิตนั้นเป็นอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้บำเพ็ญพิจารณาร่างกายได้รับอุบายต่าง ๆ เข้าไปเป็นเครื่องสนับสนุนการพิจารณาทางด้านจิตใจ ให้มีความแยบคายขึ้นภายในใจ เรื่องของสติปัญญาที่เคยขาดวรรคขาดตอน ก็จะค่อยเชื่อมโยงถึงกันและติดแนบกันไปเอง เพราะอาศัยการสนับสนุนจากความเพียรไม่ลดละ จนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญาขึ้นมา และสามารถพิจารณาค้นคว้าไปโดยตลอดทั่วถึง

กิเลสอาสวะแทรกซึมและซ่องสุมอยู่ที่ไหน ปัญญาจะต้องทำการสอดส่องมองทะลุปรุโปร่งไปหมด และสามารถปลดเปลื้องออกได้เป็นลำดับ จนไม่มีกิเลสอาสวะแม้ส่วนละเอียดยิ่งเหลืออยู่ภายในใจได้ กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์เด่นดวงขึ้นมา

เมื่อถึงขั้นนี้แล้วอยู่ที่ไหนก็สบาย ไม่ว่าจะอยู่ในป่า ในภูเขา ไม่วาจะอดหรืออิ่ม ไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน เพราะนั่นมันเป็นเรื่องของขันธ์ที่จะต้องยอมรับกันทั่วโลก เนื่องจากเราต่างก็อยู่ใต้ฟ้าเหนือแผ่นดิน จำต้องประสบสัมผัสกับเย็น ร้อน อ่อน แข็ง และความทุกข์ ความลำบาก แต่ใจที่รู้เท่าทันแล้ว ย่อมไม่มีความพรั่นพรึงหวั่นไหวไปตาม ทรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในตัวเองและสิ่งทั้งปวง

ฉะนั้น ท่านนักปฏิบัติที่สนใจทุกท่าน โปรดมองดูตัวเอง อย่ามองข้ามไป เพราะใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากเหนือสิ่งใด ๆ ในตัวเรา พยายามบำเพ็ญประโยชน์ตนให้เต็มที่ อย่าให้เสียท่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างเต็มภูมิ พร้อมทั้งได้พบได้บวช และเป็นพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนาอันสมบูรณ์ด้วยเหตุและผล สมกับบทธรรมที่ว่า สวากขาตธรรม ธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว และบทว่า นิยยานิกธรรม เป็นธรรมที่สามารถนำผู้ปฏิบัติตามให้พ้นทุกข์ได้โดยแน่นอน

โปรดมองดูทางพ้นทุกข์ในธรรมที่เรียกว่า นิยยานิกธรรม แก้ไขดัดแปลงกาย วาจา ใจให้เป็นไปตามธรรมและตามเพศของตน ผู้ที่ได้บำเพ็ญเต็มความสามารถและได้บรรลุถึงผลอันสมบูรณ์แล้ว จะผ่านพ้นจากทุกข์ไปได้ในอัตภาพนี้ ผู้ที่กำลังบำเพ็ญเพื่อแดนพ้นทุกข์โดยไม่ลดละความเพียร ก็จะผ่านพ้นทุกข์ไปในวันหน้า ขออย่างเดียว คือ อย่ามองดูทางพ้นทุกข์เลยธรรมของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า มชฺฌิมา จะเป็นการชอบธรรม

ในอวสานแห่งธรรม จึงขออาราธนาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ องค์เป็นสรณะของโลก มาคุ้มครองรักษาท่านพุทธบริษัททั้งหลายให้มีความสุขกายสบายใจ และปฏิบัติตนด้วยความสะอาด ปราศจากอุปสรรคเครื่องกีดขวางทางดำเนินทุกประเภทจนถึงแดนแห่งความเกษมโดยสวัสดีเถิด


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 114 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO